ตอนที่ 362 ประหาร
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ยังคงมีไข้ต่ำ พร้อมกับอาการไอ ในปากยังมีแผลผุพอง ตอนเปิดปากพูดก็เจ็บ ตอนดื่มน้ำก็เจ็บ
หมอหลวงบอกว่าเนื่องจากไฟในใจร้อนรุ่มเกินไป จำเป็นต้องใช้ยาที่มีสรรพคุณดับร้อน
ดื่มยาต่อเนื่องมาสิบกว่าวัน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้โกรธจนอาละวาด ไม่ยอมดื่มยาอีก
เขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว ริมฝีปากแห้งจนแตก
นับแต่ข่าวกองทัพเหนือพ่ายแพ้ แม่ทัพกองทัพเหนืออู๋ฝ่าเทียนรบตายส่งมาถึงเมืองหลวงเป็นต้นมา เขาก็ไม่ได้รับประทานอาหารอย่างสบายใจสักมื้อ ไม่เคยนอนหลับสบายใจสักครั้ง
คนซูบผอมลงทันตาเห็น
เป็นฮ่องเต้ลำบากเกินไป!
ตำแหน่งบนตัวนี้เป็นตำแหน่งที่ลำบากที่สุดในโลก
แต่ภายนอกของตำแหน่งนี้ถูกปกคลุมด้วยสีสันแพรวพราว ส่องแสงพร่างพราวจนกระทั่งทุกคนต่างต้องการตำแหน่งนี้
หากรู้ไม่ว่าหลังจากนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้จึงได้พบว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นการทรมาน
แต่ละวันเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในนรก ถูกไฟนรกแผดเผา
เจ็บปวดรวดร้าวใจเจียนตาย!
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ก้มหน้า หัวใจของเขาเจ็บเกินไป เศร้าเกินไป โกรธเกินไป…
เขาไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเดินอย่างไรต่อไป
เขามองไปนอกหน้าต่าง อากาศเดือนหก ร้อนจนใจคนสั่น
แดดออกมากว่าครึ่งเดือน พื้นดินราวกับแห้งจนแตกร้าวไปแล้ว
เขาพึมพำ “ข้ายังสามารถอดทนได้อีกนานเพียงใด”
ขันทีใหญ่ หลัวเสี่ยวเหนียนตกใจมาก “ฝ่าบาทอย่าทรงหลอกกระหม่อม! เมื่อเรื่องร้ายมาจนถึงจุดสูงสุด เรื่องดี ๆ ก็จะเกิดขึ้น ทุกอย่างจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้หัวเราะเยาะตนเอง “ข้าไม่คู่ควรที่จะนั่งบนตำแหน่งนี้ใช่หรือไม่ เพราะข้าไม่อาจแบกรับหน้าที่หนักนี้ได้แม้แต่น้อย”
“ฝ่าบาททรงระวังคำพูด! ฝ่าบเป็นทรงเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงแต่งตั้งเอง เพียบพร้อมด้วยความสามารถและคุณสมบัติ ความยากลำบากในเวลานี้เป็นแค่เรื่องชั่วคราว ฝ่าบาทอย่าทรงดูถูกตัวเอง ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่เดือน กองทัพใหญ่ราชสำนักก็จะสามารถเอาชนะกองกำลังอูเหิง คืนแผ่นดินที่สงบสุขให้แก่ต้าเว้ยได้”
เซียวเฉิงอี้ถอนหายใจ
เวลานี้ เขาไม่มีความมั่นใจที่จะเอาชนะกองกำลังอูเหิง
เขาพูด “เวลานี้ สงครามทางเหนือไม่มีแม้แต่แม่ทัพใหญ่ กองกำลังจากหลายหลายทิศทางต่างปกครองตนเอง ไม่อยู่ภายใต้บัญชาของกันและกัน สงครามนี้จะทำต่อได้อย่างไร”
“ฝ่าบาทสู้เรียกบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์มารวมตัวกัน ทุกคนหารือร่วมกัน อย่างไรก็ย่อมจะหาทางแก้ไขได้”
“ให้ข้าอยู่อย่างเงียบๆ ก่อน”
เวลานี้ ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ไม่อยากเห็นหน้าของบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ เขารู้สึกขยะแขยง อีกทั้งยังรู้สึกกดดันอย่างมาก
หลัวเสี่ยวเหนียนกลุ้มใจเมื่อเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ
“อย่างน้อยฝ่าบาทก็เสวยยาก่อนเถิด”
“ดื่มยามานานเพียงนี้แล้ว อาการของข้าดีขึ้นหรือไม่ พวกหมอไร้ความสามารถ ข้าอยากจะฆ่าพวกเขาเสียจริง”
หลัวเสี่ยวเหนียนไม่กล้าเอ่ยปากอีก
ทำได้เพียงมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างกับฮ่องเต้อย่างเงียบๆ
ไม่มีสิ่งใดน่าดู!
ดูทิวทัศน์ที่เหมือนกันทุกวัน ไม่เบื่อหรือ
มีขุนนางฝ่ายในเดินเข้ามา “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาขอเข้าเฝ้า!”
ภายในห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด ฮ่องเต้ราวกับไม่ได้ยินเสียงของขุนนางฝ่ายใน
เมื่อหลัวเสี่ยวเหนียนเห็นสถานการณ์นี้ เขาจคงตะโกนใส่ขุนนางฝ่ายในเสียงต่ำทันที “ไม่เห็นฝ่าบาททรงยุ่งอยู่หรือ ทูลฮองเฮา ให้พระองค์มาใหม่ในภายหลัง วันนี้ฝ่าบาททรงไม่มีเวลาว่าง”
ขุนนางฝ่ายในทำท่าจะตอบรับด้วยความลังเล…
แต่ไม่คาดว่าฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้จะเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันในเวลานี้ “เชิญฮองเฮาเข้ามา!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขุนนางฝ่ายในรีบจากไป
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้กวาดตามองหลัวเสี่ยวเหนียน
หลัวเสี่ยวเหนียนกลัวจนคุกเข่าลงบนพื้น “กระหม่อมสมควรตาย!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ฉีกมุมปากด้วยสีหน้าซับซ้อน “ต่อไปอย่าตัดสินใจโดยพลการ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หลัวเสี่ยวเหนียนลุกขึ้น พลันเดินไปยืนอยู่ตรงมุมเหมือนนกกระทา พยายามหดตัวเองเอาไว้ไม่ให้คนพบเห็น
…
จ้งซูอวิ้นนำข้าหลวงเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร
“วันนี้ฝ่าบาททรงมีพระอาการดีขึ้นหรือไม่ เวลานี้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่เสวยยา”
ชามยาที่บรรจุยาเอาไว้วางอยู่บนโต๊ะ อีกทั้งยังมีไอร้อนลอยขึ้นมา ยาในชามไม่ลดลงแม้แต่น้อย แค่มองก็รู้ว่าไม่ได้แตะต้องมาก่อน
“ฮองเฮามาแล้ว นั่งเถิด!”
“หม่อมฉันปรนนิบัติฝ่าบาทเสวยยา!”
“ไม่จำเป็น” ยานี้ไม่ดื่มก็ไม่เป็นอันใด!” เซียวเฉิงอี้กวาดตามองชามยาด้วยสีหน้ารังเกียจอย่างมาก!
จ้งซูอวิ้นผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจอย่างรวดเร็ว
นางเข้าใกล้เซียวเฉิงอี้ “ฝ่าบาททรงกริ้วเพราะพระอาการไม่ดีขึ้นใช่หรือไม่”
เซียวเฉิงอี้ส่งเสียงไม่พอใจ แต่ไม่พูดสิ่งใด
จ้งซูอวิ้นพลางสำรวจเขา พลางพูด “เอาเช่นนี้ ข้าให้หมอหลวงเปลี่ยนสูตรยา แต่หมอหลวงเคยบอกว่าฝ่าบาทยังทรงอายุน้อย ทางที่ดีอย่าใช้ยาแรง เพื่อไม่ให้ทิ้งโรคเอาไว้ อีกทั้งยังบอกว่าพระอาการของฝ่าบาทนี้ เพียงแค่ฝ่าบาททรงยอมปล่อยใจให้กว้าง ย่อมจะดีขึ้นมา”
เซียวเฉิงอี้ชี้ไปที่นอกหน้าต่าง “ภัยทั้งภายในและภายนอก มีแต่ข่าวร้ายส่งมาอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีผู้ใดช่วยข้าบรรเทาความทุกข์ได้ เจ้าจะให้ข้าปล่อยใจให้กว้างได้อย่างไร ฮองเฮาอย่าพูดจาเหลวไหล เจ้ากลับไปเถิด! ร่างกายของข้า ข้ารู้ดี”
ดวงตาของจ้งซูอวิ้นแดงก่ำในทันที นางรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
นางเบนหน้าหนี แอบเซ็ดน้ำตา หลังจากนั้นจึงพูดขึ้น “เพราะข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจบรรเทาความทุกข์แทนฝ่าบาทได้”
เมื่อเห็นนางเสียใจ เซียวเฉิงอี้ก็ใจอ่อน
เมื่อนึกถึงระยะเวลาทีพระราชบุตรเขยจ้งรับตำแหน่งหัวหน้าสำนักเส้าฝู่มานี้ เขาต้องเหน็ดเหนื่อยกับการหารายได้ ทำให้สถานการณ์การเงินของสำนักเส้าฝู่ดีขึ้นไม่น้อย เขาก็ไม่อาจชักสีหน้าใส่จ้งซูอวิ้นต่อไปได้
เขายื่นมืออกไปเช็ดแก้มให้นางแผ่วเบา “เหตุใดจึงร้องไห้ ข้ายังไม่ตาย”
“ข้าไม่ได้ร้องไห้! ข้าแค่รู้สึกอึดอัดใจ ความรู้สึกที่ไร้เรี่ยวแรงมันแย่มาก”
เมื่อเขาได้ยินก็มีแต่เสียงถอนหายใจ
“ใช่ ความรู้สึกที่ไร้เรี่ยวแรงแทบจะทรมานคนจนกลายเป็นบ้า เมื่อข้านึกถึงสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้น แผ่นดินนี้อาจล่มสลายในมือของข้า หัวใจของข้าก็เจ็บปวดราวกับถูกไฟเผา ข้าเป็นคนบาป ข้าทำผิดต่อบรรพบุรุษ!”
“ฝ่าบาทอย่าทรงพูดเช่นนี้” จ้งซูอวิ้นกุมมือของเขาแน่น “ฝ่าบาทเสวยยาก่อน พยายามเข้มแข็งขึ้นมาโดยเร็ว รวบรวมกำลังพลใหม่ ถึงแม้กองทัพเหนือจะแพ้แล้ว แต่กองทัพใหญ่ราชสำนักยังไม่แพ้ เวลานี้ทุกอย่างยังทัน ทุกอย่างจะดีขึ้น”
เซียวเฉิงอี้ส่ายหน้า “ข้ารู้สึกขัดแย้งในใจอย่างมาก กองกำลังจากหลากหลายทิศทางต่างปกครองตัวเอง ไม่มีผู้ใดยอมผู้ใด ข้าควรให้แม่ทัพคนใดเป็นผู้นำกองทัพ บัญชากองทัพจากหลากลหายทิศทาง”
จ้งซูอวิ้นพูดด้วยความลังเล “ข้าไม่รู้เรื่องกองทัพ ฝ่าบาททรงเรียนบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์มาร่วมหารือเรื่องนี้จะดีกว่า บางทีอาจมอบหมายให้ขุนนางที่รู้เรื่องทหารเป็นผู้นำกองทัพ หลีกเลี่ยงบรรดาพลทหารที่หยิ่งยโสไม่ฟังคำสั่งให้มากที่สุด”
เซียวเฉิงอี้เคาะโต๊ะเบาๆ
ขุนนางที่รู้เรื่องกองทัพ มี!
ในขุนนางตระกูลชนชั้นสูง มีขุนนางที่รู้เรื่องกองทัพอยู่หลายคน
แต่…
เชื่อใจพวกเขาได้หรือ
เขาก็อยากมอบหมายให้เชื้อพระวงศ์ แต่ภายในเชื้อพระวงศ์ บางคนประสบการณ์เพียงพอแต่ไม่รู้เรื่องกองทัพ บางคนก็ไม่มีหัวสมอง บางคนก็รู้เรื่องกองทัพแต่ประสบการณ์ไม่เพียงพอ…
โดยรวมแล้ว พวกเขาไม่มีคุณสมบัติบัญชาพลทหารที่หยิ่งยโสเหล่านั้น
หาก…
ตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ทรงปลงพระชนม์เหล่าท่านอ๋อง เขาก็ไม่ต้องกลุ้มใจเพราะเรื่องนี้
แม้เหล่าท่านอ๋องที่ถูกปลงพระชนม์จะหยิ่งยโสและฟุ่มเฟือย ไม่สร้างประโยชน์อันใด แต่พวกเขาก็มีฐานะที่เพียงพอ อย่างน้อยก็รู้เรื่องทหาร…
เหล่าท่านอ๋องนี้เพียงพอที่จะบัญชาการพลทหารที่ยโสโอหังเหล้านั้น ต้านทานกองกำลังอูเหิงเอาไว้
เสียดายเพียง ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงออกรับสั่งให้ปลงพระชนม์เหล่าท่านอ๋องที่รู้เรื่องทหารทั้งหมด
ทำให้เชื้อพระวงศ์เสียหายอย่าวหนัก ไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี
เซียวเฉิงอี้นวดคลึงขมับด้วยความปวดหัว
เขาอึดอัดยิ่งนัก
แต่เวลานี้ ขุนนางฝ่ายในก็เข้ามาทูลรายงาน บอกว่าบรรดาขุนนางรวมตัวกับเชื้อพระวงศ์ขอเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอก
บรรดาขุนนางต่างมีอารมณ์รุนแรง พวกเขาบอกว่าหากฮ่องเต้ไม่ยอมพบพวกเขา พวกเขาจะบุกตำหนักซิงชิ่ง
“บังอาจ!” จ้งซูอวิ้นตวาด “ผู้ใดให้ความกล้าแก่พวกเขา ให้ราชองครักษ์กีดกันพวกเขาไว้ด้านนอก ไม่อนุญาตให้รบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาท”
ขุนนางฝ่ายลังเล
ภายในตำหนักซิงชิ่ง พระบารมีของฮองเฮาจ้งซูอวิ้นยังไม่พอให้ข้าหลวงเหล่านี้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม
เมื่อเห็นขุนนางฝ่ายในไม่ขยับ จ้งซูอวิ้นโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ อับอายอย่างมาก
มือของนางที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น อดทนไม่อาละวาดขึ้นมา
โชคดีที่เซียวเฉิงอี้ช่วยนางแก้ไขสถานการณ์
“ฮองเฮาถอยออกไปก่อน เรียกบรรดาขุนนางทั้งหลายเข้าเฝ้าที่ตำหนักเซวียนเจิ้ง!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขุนนางฝ่ายในรับพระราชโองการจากไป
จ้งซูอวิ้นน้อยใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ยอมแสดงออกมา
เซียวเฉิงอี้กุมมือของนางแผ่วเบา “เจ้ากลับไปก่อน รอข้าจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ พวกเขาไปพักที่พระราชฐานสักระยะ”
“ฝ่าบาทจะเสด็จไปพระราชฐานจริงหรือ”
เซียวเฉิงอี้พยักหน้า “ลำบากเจ้าดูแลวังหลังแทนข้าแล้ว”
“ฝ่าบาททรงพูดเกินไปแล้ว ดูแลวังหลังเป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน ข้าไม่รบกวนฝ่าบาททรงพบกับบรรดาขุนนางแล้ว ขอทูลลา!”
…
เซียวเฉิงอี้ลากร่างกายที่เหนื่อยล้ามายังตำหนักเซวียนเจิ้ง
ในหูมีแต่เสียงอื้ออึง บรรดาขุนนางพร่ำบ่นอยู่ต่อหน้าเขา ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก
เขามักควบคุมไม่ได้ที่จะเหม่อลอย บางครั้งก็ตามความคิดของบรรดาขุนนางไม่ทัน ทำให้เขายิ่งรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
การหารือในครั้งนี้กินเวลาไปกว่าสองชั่วยาม ทำให้เขาทุกข์ทรมานแทบบ้า
เขาไม่อาจทนความรำคาญได้อีก ดังนั้นจึงตัดสินใจ
อู๋ฝ่าเทียนมีความผิดมหันต์ ถูกลงโทษประหารทั้งครอบครัว!
มอบหมายให้ท่านมหาเสนา ใต้เท้าชุยเป็นขุนพลปราบเชลย บัญชาการกองกำลังจากทุกฝ่าย นำทำต่อต้านราชวงศ์อูเหิง
แม่ทัพชุยรับพระราชโองการ “กระหม่อมย่อมไม่ทรยศต่อความไว้วางพระทัยของฝ่าบาท!”
“ใต้เท้าชุยรีบร่างแผนการเดินทัพ เลือกวันออกเดินทาง!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ภายใต้ความปวดหัวของเซียวเฉิงอี้ เรื่องใหญ่ทั้งสองที่ถกเถียงกันมานาน ในที่สุดก็มีข้อสรุป
ข่าวถูกส่งออกไปนอกวัง มีคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนแม่ทัพกองทัพเหนือ อู๋ฝ่าเทียน!
“อู๋ฝ่าเทียนแม้ตายก็ตายอย่างไม่สงบ! ตายแล้วยังต้องเดือดร้อนตระกูล ทำให้ตระกูลถูกประหาร ช่างเจ็บปวดเสียจริง!”
“แม่ทัพอู๋ก้าวพลาด หากเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้จะคิดอย่างไร”
“ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยประหารทั้งตระกูล ไม่โหดเหี้ยมเกินไปหรือ! ถึงแม้แม่ทัพอู๋จะไม่มีความดีความชอบ แต่เขาก็เหน็ดเหนื่อย ไม่คิดว่าสุดท้ายต้องตายในสนามรบ อีกทั้งตระกูลยังต้องถูกประหาร”
…
องครักษ์จินอู่เคลื่อนไหวจับกุมคนตระกูลอู๋
มีคนมุงดูกว่านับหมื่นคน ทำให้การจราจรทั้งถนนติดขัด
ภายในตรอกแห่งหนึ่ง รถม้าคันหนึ่งจอดนิ่ง
ท่านอ๋องผิงชิน เซียวเฉิงเหวินนั่งอยู่ในรถม้า มองออกไปนอกรถ องครักษ์จินอู่คุมตัวคนตระกูลอู๋จากไป ความรู้สึกของเขาซับซ้อนอย่างมาก
ในปากของเขาต่อว่าอู๋ฝ่าเทียน บอกว่าสมควรประหารเขาเก้าชั่วโคตร แต่ความจริงในใจของเขาก็ไม่อยาก
ความดีความชอบของอู๋ฝ่าเทียนไม่อาจลบไปได้
จะต้องมาถูกประหารทั้งตระกูลเพียงเพราะพ่ายแพ้สงครามแค่ครั้งเดียวได้อย่างไร
แต่พระราชโองการออกมาแล้ว เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้กู้คืนได้อีก
คนตระกูลอู๋…
บางคนชินชา บางคนไม่ยอม บางคนหวาดกลัว บางคนร้องไห้…
เมื่อเดินผ่านฝูงชน มีคนในตระกูลอู๋ตะโกนขึ้นมา “ข้าไม่ยอม! ตระกูลอู๋ก็ไม่ยอม! คนทั่วแผ่นดินก็ไม่ยอม! ฮ่อวงเต้ทรงไร้ความสามารถ…อ้าก”
เมื่อกระบอกหนึ่งกระทบลงไป ทำให้อีกฝ่ายเงียบปากได้สำเร็จ