ตอนที่ 363 น้องอวิ๋นเกอ
พายุฝนเทกระหน่ำลงมาบรรเทาอุณหภูมิที่ร้อนระอุในเมืองหลวง
แดดออกหลังจากฝนตก บนท้องฟ้าปรากฏสายรุ้ง
เยียนอวิ๋นเกอกลับมาจากเรือนพัก เนื้อตัวมอมแมมจากการเดินทาง
เซียวฮูหยินสงสารอย่างมาก “ในเมื่อเรือนพักเป็นระบบระเบียบแล้ว เจ้าก็กังวลใจน้อยลงบ้าง มีเรื่องใดก็ให้พ่อบ้านด้านล่างไปจัดการ เจ้าดูเรือนพักผู้อื่น สามห้าปีไม่เคยเห็นไปดูสักครั้ง”
เยียนอวิ๋นเกอได้ยินก็หัวเราะออกมา “ขอบพระคุณท่านแม่ที่เป็นห่วง ข้าไม่เหนื่อย! ผู้อื่นจัดตั้งเรือนพักก็เพื่อเพาะปลูกเสบียง ไม่ทำเรื่องอื่น แต่เรือนพักร่ำรวยแตกต่างกัน ไม่เพียงต้องปลูกเสบียง ยังมีกิจการอื่นด้วย
ข้าไม่กี่เดือนก็เดินทางไปดูที ก็ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้คนด้านล่าง ให้พวกเขาทำงานอย่างสบายใจ เพียงแค่ทำงานได้ดี ข้าก็จะมองเห็น ย่อมจะมีรางวัล”
เซียวฮูหยินยิ้มพลันถาม “ปีนี้ถือว่าราบรื่นหรือไม่ เข้าสู่ฤดูร้อน มีฝนตกลงมาหลายรอบ ปีนี้ย่อมไม่ขาดแคลนน้ำฝนอย่างแน่นอน”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า พลันพูด “ปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ไม่ขาดแคลนน้ำ พื้นดินก็มีผลผลิต น้ำฝนเพียงพอ แนวโน้มการเติบโตของนุ่นก็น่ายินดี ผ้านุ่นและผ้าป่านในปีนี้คงมีคุณภาพไม่เลว ทางใต้ก็ถือว่าดินฟ้าอากาศราบรื่น ใยไหมที่ตระกูลหลิงจัดหาให้ คุณภาพดีกว่าปีที่แล้วอย่างชัดเจน”
“พูดถึงตระกูลหลิง หลิงฉางจื้อส่งเทียบเยือนมา หลังจากนี้สองวัน เขาและฮูหยินจะมาเยือน เจ้าเตรียมตัวเอาไว้ สองวันนี้อย่าออกจากจวน”
เมื่อเยียนอวิ๋นเกอได้ยินก็อยากรู้อย่างมาก “ในที่สุดหลิงฉางจื้อก็ยอมรับฮูหยินของเขามาเมืองหลวงแล้วหรือ ไม่รู้ฮูหยินของเขาหน้าตาเป็นอย่างไร อดทนที่จะอยู่แยกกันกับสามีมานานหลายปีเช่นนี้”
เซียวฮูหยินตักเตือน “ฮูหยินของหลิงฉางจื้อมีชาติกำเนิดจากตระกูลเซี่ย เป็นบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่ หลายปีนี้ เรื่องภายในจวนของตระกูลหลิงล้วนมีเซี่ยฮูหยินจัดการ ได้ยินว่าบิดามารดาของหลิงฉางจื้อวางใจและพอใจต่อเซี่ยฮูหยินอย่างมาก”
“ท่านแม่วางใจเถิด ข้าย่อมไม่ทำให้ท่านขายหน้า”
…
สองวันหลังจากนี้ หลิงฉางจื้อพาภรรยาเซี่ยฮูหยิน รวมทั้งบุตรมาเยือน
เซียวฮูหยินต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
เยียนอวิ๋นเกอมองเซี่ยฮูหยินด้วยความสงสัย ผิวขาวละเอียด ดูอายุน้อยอย่างมาก ไม่เหมือนสตรีที่มีบุตรสามคนแล้ว
เมื่อนางยิ้ม ดวงตาของนางเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ทำให้คนรู้สึกเข้าถึงง่าย
สตรีที่ดูเป็นมิตรเช่นนี้เป็นนายหญิงของตระกูลหลิงที่กว้างใหญ่ เป็นสตรีประจำตระกูลหลิง
คนเดียวดูแลตระกูลใหญ่ที่มีคนนับพันนับหมื่น มีความสามารถ!
“ทักทายฮูหยิน”
“เจ้าคือคุณหนูสี่ใช่หรือไม่ รูปลักษณ์ดีเสียจริง ไม่รู้จะแทนเจ้าว่าน้องอวิ๋นเกอได้หรือไม่ ข้ารู้สึกว่าเรียกเช่นนี้จะดูสนิทกันมากกว่า”
เยียนอวิ๋นเกอตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เป็นเกียรติของข้า!”
“เจ้าอย่าเรียกข้าว่าฮูหยิน หากเจ้าไม่รังเกียจ เรียกข้าว่าพี่สาวตระกูลเซี่ยก็ได้”
“ข้าขอหน้าด้านเรียกฮูหยินว่าท่านพี่”
“จ้ะ!”
เซี่ยฮูหยินยิ้มเบิกบาน ดวงตาเต็มไปด้วยความดีใจ
เซียวฮูหยินพูดคุยกับเซี่ยฮูหยิน “ใต้เท้าหลิวมีวาสนา มีภรรยาที่ดีเช่นนี้ มิน่าเขาจึงรับราชการในเมืองหลวงได้อย่างวางใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องของตระกูล”
เซี่ยฮูหยินยิ้มอย่างเขินอาย “องค์หญิงชื่นชมเกินไป! ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่ ไม่กล้าบอกว่าบรรเทาความทุกข์แทนสามี”
“ไม่ต้องถ่อมตัว! เจ้ามาถึงเมืองหลวงเสียที ต่อจากนี้จะอยู่เมืองหลวงยาว ไม่ไปแล้วใช่หรือไม่”
เซี่ยฮูหยินเม้มปากยิ้ม “หากสามีข้ารับราชการในเมืองหลวงระยะยาว ข้าก็คงอยากจะอยู่ในเมืองหลวงตลอดไป สามารถพูดคุยกับองค์หญิง รับการสั่งสอนจากองค์หญิง ล้วนเป็นโชคดีของข้า”
เซียวฮูหยินหัวเราะ นางประทับใจต่อเซี่ยฮูหยินไม่น้อย
สมกับเป็นบุตรสาวคนโตจากตระกูลชนชั้นสูง กุลสตรีประจำตระกูลหลิง กิริยาท่าทางไม่ธรรมดา
นางถาม “มาถึงเมืองหลวงนานเพียงใดแล้ว ได้เข้าวังไปถวายบังคมแล้วหรือไม่”
เซี่ยฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “รายงานองค์หญิง ข้าเข้าเมืองหลวงมาครึ่งเดือน มีเรื่องมากมาย หลายวันนี้เพิ่งปักหลักลงมา ยังไม่เคยเข้าวังไปถวายบังคม ในใจหวาดกลัวเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้จะขอคำชี้แนะจากองค์หญิงได้หรือไม่ว่าการเข้าวังถวายบังคมต้องระวังด้านใดบ้าง”
เซียวฮูหยินพูด “เข้าวังไปถวายบังคมให้ถูกต้องตามธรรมเนียมก็พอ ฮองเฮาทรงอายุน้อย นิสัยใจคออ่อนโยน ส่วนพระพันปี ตอนถวายบังคมแสดงความเคารพให้มาก นางย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ”
“ขอบพระคุณองค์หญิงที่สั่งสอน! เมื่อมีคำสอนขององค์หญิง ในใจของข้าก็มั่นใจมากขึ้น ก่อนหน้านี้ถามเรื่องเกี่ยวกับวังหลังกับสามี สามีไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ราวกับไม่เคยสนใจสถานการณ์วังหลัง ทำให้ข้าลำบากใจยิ่งนัก”
“ฮ่าๆๆ…ฉางจื้อมีใจเพื่อส่วนรวม ไร้ความสนใจเรื่องอื่น เป็นขุนนางสำคัญที่โอรสสวรรค์จะพึ่งพาราวกับแขนขา พวกเจ้าสามีภรรยาช่างเหมาะสมกันเสียจริง วันหลังหากมีเวลาว่าง เจ้าต้องมาเยือนจวนองค์หญิงเป็นประจำ”
“หากองค์หญิงไม่รังเกียจ ข้าจะขอมาเยือนเป็นประจำ”
“ข้าชอบยิ่งนัก จะรังเกียจได้อย่างไร”
ทั้งสองพูดคุยด้วยความสนุกสนานจนละเลยหลิงฉางจื้อไป
หลิงฉางจื้อจึงไปคุยกับเยียนอวิ๋นเกอ
เขาชอบคุยกับเยียนอวิ๋นเกอมาก
เยียนอวิ๋นเกอมักมีความคิดน่ามหัศจรรย์มากมาย มักจะนำความคิดใหม่ๆ มาให้แก่เขา
“ระยะนี้คุณหนูสี่กำลังยุ่งเรื่องใด”
เยียนอวิ๋นเกอพูด “ยุ่งอยู่กับการตกปลา ยุ่งอยู่กับการหาเงินกินข้าว”
ฮ่าๆๆ…
หลิงฉางจื้อพูดกลั้วหัวเราะ “ได้ยินว่าคุณหนูสี่ชอบตกปลา ปลาในจวนท่านอ๋องผิงชินแทบจะถูกเจ้าตกจนหมดแล้ว วันนี้ข้าขอประลองกับคุณหนูสี่ ดูว่าฝีมือการตกปลาของผู้ใดจะเหนือชั้นกว่าดีหรือไม่”
“ท่านจะแข่งตกปลากับข้า? ใต้เท้าหลิงว่างเพียงนี้เชียวหรือ ราชสำนักเต็มไปด้วยภัยจากภายในภายนอก กองทัพเหนือแทบจะล่มสลาย อูเหิงใกล้เข้ามาทุกเมื่อ ใต้เท้าหลิงไม่กังวลแม้แต่น้อย?”
“คุณหนูสี่ยังไม่กังวล ข้าย่อมไร้ความกังวล ไม่รู้คุณหนูสี่มีความสนใจอยากตกปลาหรือไม่”
“ได้! ให้เด็กซนของท่านห่างไกลหน่อย”
“เด็กซน?”
หลิงฉางจื้อผงะไป เขาเข้าใจความหมายของคำนี้
เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “บุตรของข้าอยู่ในกฎระเบียบ ไม่ใช่เด็กซน”
เยียนอวิ๋นเกอไม่อยากจะบอกว่าตนเองไม่ชอบเด็ก ไม่รู้จะอยู่กับเด็กอย่างไร
เรื่องแบบนี้จะพูดออกมาได้อย่างไร
นางไม่มีศักดิ์ศรีหรือ
อย่างไรก็ตาม นางจึงพูด “อย่างไรก็ตาม ให้บุตรของท่านห่างไกลหน่อย”
“ได้ๆๆ !”
หลิงฉางจื้อก็หมดหนทางอย่างมาก
ก่อนมา เขายังคิดว่าบุตรของตนเองเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่นอย่างมาก
ไม่คิดว่าเพียงแค่ทักทาย ไม่แม้แต่จะได้พูดคุยก็ถูกรังเกียจ
เขาหันกลับไปมองเด็กทั้งสาม เด็กชายสองคน เด็กหญิงหนึ่งคน
บุตรชายคนโตอายุสิบกว่าแล้ว ถือเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย สุขุมอย่างมาก
คนที่เด็กที่สุดพึ่งห้าหกขวบ เป็นบุตรสาว
บุตรสาวเพิ่งคลอดไม่นาน เขาก็เดินทางมาเมืองหลวง
จากกันหลายปี ในที่สุดก็ได้พบกับบุตรสาวเสียที ไม่ใช่เพียงภาพวาดในจดหมาย เขาย่อมรักใคร่อย่างมาก
เดิมทีอยากให้บุตรสาวสนิทกับเยียนอวิ๋นเกอเสียหน่อย ไม่คิดว่าบุตรสาวที่เชื่อฟังจะถูกรังเกียจ
เยียนอวิ๋นเกอตาไม่ดีเสียจริง
ทั้งสองมาตกปลายังศาลาพักร้อน
ภายในศาลา จุดธูปหอม วางกะละมังน้ำแข็ง
ฤดูร้อนมีแมลงมาก อีกทั้งยังใกล้น้ำ จำเป็นต้องใช้ธูปหอมรมควันเพื่อป้องกันแมลงกัดต่อย
หากจะบอกว่าเป็นการตกปลา สู้บอกว่าทั้งสองคนต้องการสถานที่เงียบสงบในการพูดคุย
“คุณหนูสี่ราวกับไม่กังวลเรื่องสงครามทางเหนือแม้แต่น้อย! ท่านพ่อและท่านพี่ของเจ้าล้วนทำสงครามอยู่ทางเหนือ เหตุใดคุณหนูสี่จึงสงบเพียงนี้ แม้กองทัพใหญ่ราชสำนักพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่เห็นเจ้าจะเปลี่ยนแปลงแผนการ ยังคงเดินทางไปดูงานที่เรือนพัก”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “คำพูดของใต้เท้าหลิงนี้ ข้ามีความคิดเห็นที่แตกต่างเล็กน้อย”
“เชิญพูด!”
“หากพูดอย่างเข้มงวด กองทัพเหนือและโอรสสวรรค์ต่างหากที่พ่ายแพ้ กองทัพใหญ่ราชสำนักยังไม่แพ้ ส่วนท่านพ่อและท่านพี่ของข้า คนที่มีฐานะอย่างพวกเขา หากล้วนมีอันตราย แผ่นดินต้าเว่ยคงแตกสลายไปนานแล้ว เกรงว่าบัลลังก์ในวังหลวงนั้นคงต้องเปลี่ยนคนนั่ง”
“คุณหนูสี่ระวังคำพูด!”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม “ข้าเชื่อว่าใต้เท้าหลิงเป็นบุรุษที่เที่ยงตรง ท่านจะไม่แพร่กระจายเรื่องที่พูดในวันนี้ออกไป”
“แน่นอน! ขอบใจคุณหนูสี่ที่เชื่อใจข้า แต่ยังคงต้องระวัง กลัวแต่จะมีความผิดพลาด”
“ขอบพระคุณใต้เท้าหลิงที่ชี้แนะ”
หลิงฉางจื้อถามด้วยความสนใจ “เหตุใดคุณหนูสี่จึงคิดว่าการแพ้สงครามในครั้งนี้เป็นแค่การพ่ายแพ้ของกองทัพเหนือและโอรสสวรรค์ กองทัพใหญ่ราชสำนักยังไม่ได้พ่ายแพ้ ข้าอยากรู้ยิ่งนัก”
เยียนอวิ๋นเกอจ้องมองผิวน้ำ เงียบไปสักพักจึงพูดขึ้น “ข้าส่งจดหมายกับท่านพี่อยู่ตลอด สถานการณ์ทางเหนือก็พอจะรู้บ้าง เริ่มแรก แนวป้องกันของแม่ทัพกองทัพเหนือก็อยู่หน้าเกินไป แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้ตนเอง
การแบ่งแนวป้องกันมีปัญหาอยู่ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่อูเหิงเชี่ยวชาญในการขี่ม้าทำสงคราม แนวป้องกันที่ไม่เหมาะสมทำให้กองทัพทั้งหลายรู้สึกกดดันอย่างมาก พลทหารไม่มีโอกาสได้พักหายใจ จิตใจของพวกเขาตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดตลอดเวลา มันไม่ดี!
เมื่อเวลานานไป แม่ทัพอาจอดทนได้ แต่พลทหารด้านล่างไม่อาจอดทนได้ แนวป้องกันร่นถอยหลังเหลือพื้นที่ส่วนหนึ่งออกมา ทำให้พลทหารได้พักผ่อนอย่างเต็มที่นั้นมีความจำเป็นอย่างมาก! แต่ภายในใจของแม่ทัพกองทัพเหนืออาจแบกรับความกังวลต่อความรับผิดชอบในการสูญเสียดินแดน จึงคัดค้านการร่นถอยแนวป้องกันมาเสมอ บีบบังคับจนทำให้กองกำลังทั้งหลายไม่พอใจ
แต่ละวันล้วนตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด ศัตรูยังไม่มา ตัวเองก็พังลงเสียก่อน เวลานี้ แม่ทัพกองทัพเหนือตายจากการรบ แนวป้องกันร่นถอยหลัง ในที่สุดพลทหารก็มีเวลาพักหายใจ มองจากมุมนี้ กองทัพใหญ่ราชสำนักยังไม่พ่ายแพ้ เพียงแค่พักฟื้นระยะหนึ่ง จัดระเบียบกองทัพใหม่ เพียงแต่แม่ทัพใหญ่ไม่บัญชาการอย่างไร้เหตุผล ย่อมสามารถพลิกสถานการณ์ได้”
หลิงฉางจื้อตกใจเล็กน้อย
เขาเพียงแค่ถามเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าคุณหนูอย่างเยียนอวิ๋นเกอจะมีความเห็นต่อเรื่องนี้มากนัก
แต่ไม่คิดว่าเยียนอวิ๋นเกอกลับมีความเห็นของตนเองจริงๆ
“คุณหนูสี่รู้เรื่องกองทัพ?”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “ข้าไม่รู้วิธีการทำสงคราม แต่ข้ารู้จิตใจผู้คน หากข้าเป็นหนึ่งในกองทัพใหญ่ ข้าย่อมไม่ชอบที่จะต้องตื่นตระหนกทั้งวัน แม้แต่นอนก็ยังต้องกอดอาวุธเอาไว้”
หลิงฉางจื้อไม่ได้เจาะลึกลงไป หากแต่ถามขึ้น “คุณหนูสี่คิดเห็นอย่างไรต่อท่านมหาเสนา ใต้เท้าชุย”
“ไม่มีความเห็น! ข้ารู้แต่เพียงใต้เท้าชุยมีชาติกำเนิดจากตระกูลชุย เคยนำทัพทำสงคราม มีประสบการณ์มาก มีตำแหน่งสูง เรื่องอื่นไม่รู้แม้แต่น้อย”
หลิงฉางจื้อหัวเราะออกมา เขารู้ว่าเยียนอวิ๋นเกอไม่ได้พูดความจริง
เรื่องเกี่ยวกับกองทัพโยวโจว เกี่ยวกับเยียนอวิ๋นถง เยียนอวิ๋นเกอไม่มีทางไม่ทำความรู้จักเบื้องหลังของขุนศึกปราบเชลยคนใหม่
เขาไม่เปิดโปง แต่พูดถึงอีกเรื่องขึ้นมา “พระอาการของฝ่าบาทไม่ทรงดีนัก”
เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้ว รอประโยคถัดไปภายใต้ความเงียบ