ตอนที่ 364 หย่า
“ฮ่องเต้ยังทรงอายุน้อย ไม่ตาย!”
เยียนอวิ๋นเกอใจใหญ่
ต่อหน้าหลิงฉางจื้อ กล้าพูดทุกสิ่งโดยไม่เกรงกลัว
หลิงฉางจื้อชื่นชอบอย่างมาก เพราะมันคือความเชื่อใจ!
แสดงว่าเขานิสัยดี ได้รับความเชื่อใจจากเยียนอวิ๋นเกอ
น่ายินดี!
เขากระแอมไอเสียงเบา พลันอธิบาย “ข้าไม่ได้บอกว่าฮ่องเต้ใกล้ตายแล้ว คุณหนูสี่อย่าเข้าใจผิด”
เยียนอวิ๋นเกอกวาดตามองเขา “ขอนายน้อยใหญ่โปรดไขข้อสงสัย พระอาการของฮ่องเต้ไม่ดีอย่างไร”
หลิงฉางจื้อชี้ไปที่หัว “ฮ่องเต้ทรงมีพระอาการปวดหัว โชคดีที่ฮ่องเต้ยังใจเย็น ไม่หงุดหงุดง่ายตอนปวดหัว”
อ้อ!
“หมอหลวงบอกว่าอย่างไร”
“หมอหลวงบอกว่าฮ่องเต้ทรงกังวลมากเกินไป ต้องพักผ่อน คิดดูแล้วก็จริง นับแต่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์เป็นต้นมาก็ไม่มีเรื่องราบรื่นแม้แต่เรื่องเดียว ทั้งวันตกอยู่ในความกังวล ได้ยินว่าพระองค์มักทรงตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความตกใจ หากเป็นเช่นนี้ระยะยาว พระอาการปวดหัวก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้”
เยียนอวิ๋นเกอได้ยินจึงหัวเราะร่า “ลองครุ่นคิดให้ดี นับแต่ฮ่องเต้เซวียนหยวนจงผิงจนถึงฮ่องเต้หย่งไท่ กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทั้งสามพระองค์ราวกับมีโรคเดียวกัน”
“โรคใด” หลิงฉางจื้อถามด้วยความสงสัย
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ปู่จนถึงหลานล้วนขาดแคลนความเข้าใจต่อคน ไม่รู้จักการมอบหมายหน้าที่ให้คนที่ชำนาญ ชอบแบ่งพรรคแบ่งพวก มอบหมายภารกิจให้เพียงคนที่เชื่อใจ แต่ไม่มอบหมายให้คนที่มีความสามารถ มันไม่ดี! ไม่ว่าราชวงศ์จะมีความขัดแย้งใดกับตระกูลขุนนางอย่างพวกท่าน แต่อย่างน้อยในเวลานี้ ตระกูลขุนนางอย่างพวกท่านยังบอมรับแผ่นดินต้าเว้ย ยอมออกแรงให้ราชสำนัก ไม่มีแผนการก่อกบฏ อย่างน้อยในเวลานี้ไม่มีแผนการก่อกบฏ
ในเมื่อฮ่องเต้องค์ก่อนและฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงเลือกใช้กองกำลังจากทุกฝ่ายในการต่อต้านกองกำลังอูเหิง แต่เหตุใดจึงให้แม่ทัพกองทัพเหนืออู๋ฝ่าเทียนบัญชากัน สุดท้ายแล้วฮ่องเต้องค์ก่อนและฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ไม่ทรงเชื่อใจขุนนาง ยิ่งไม่ใช่ใจเหล่าแม่ทัพ
สถานการณ์ในเวลานี้ก็ควรจะใช้ผู้ที่มีความสามารถอย่างเต็มกำลัง ไม่น่าไว้ใจจะเป็นอันใด คนมีประโยชน์ก็พอแล้ว อีกทั้งราชสำนักย่อมมีระบบ ไม่ว่าเรื่องใดย่อมมีการควบคุม เสียดายเพียงตั้งแต่ปู่จนถึงหลาน ไม่ได้เติบโตขึ้นมาอย่างดีตั้งแต่ราก สมองขาดเส้นเอ็น”
“ฮ่าๆ…”
หลิงฉางจื้อเปล่งเสียงหัวเราะร่า เขาหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา
เขาเช็ดหางตา “ควรให้ฮ่องเต้ทรงได้ยินคำพูดของคุณหนูสี่เสียจริง ขุนนางนับร้อยนับพัน จะได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาททุกคนได้อย่างไร แต่ยี่สิบสามสิบปีมานี้ ขุนนางที่ไม่ได้รับความไว้วางใจก็จะไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากสถานการณ์คับขัน หมดหนทางแล้ว ฮ่องเต้จึงจะมอบหมายภารกิจให้ขุนนางที่ไม่ไว้ใจเหล่านั้น
คุณหนูสี่พูดได้ตรงประเด็น ชี้ชัดถึงข้อเสีย ไม่เลว แต่ข้าต้องแก้ไขเรื่องหนึ่งให้ถูกต้อง ไม่ใช่ ‘พวกท่าน’ แต่เป็น ‘พวกเรา’ คุณหนูสี่อย่าลืม เจ้าก็มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนาง เจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลขุนนาง เจ้าไม่ควรแบ่งแยกระหว่างเจ้ากับ ‘ตระกูลขุนนาง’ ชัดเจนเพียงนี้ หรือแม้กระทั่งยืนอยู่คนละฝั่ง”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มอย่างกระจ่าง “ไม่ปิดบังท่าน ข้าไม่ถูกใจนิสัยบางอย่างของตระกูลขุนนางอย่างมาก”
“นิสัยใด”
“ไม่อยากพูด!”
หลิงฉางจื้อสะอึก “คุณหนูสี่กลัวข้าไม่พอใจ”
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา “ใต้เท้าหลิงอย่าคิดไปเอง ข้าแค่ไม่อยากพูดท่านั้น”
หลิงฉางจื้อบีบจมูกด้วยความเก้อ
เขาเปลี่ยนประเด็น “ไม่รู้คุณหนูสี่มีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องแต่งงาน”
เยียนอวิ๋นเกอมองเขาด้วยรอยยิ้มรู้ทัน “อย่างไร ใต้เท้าหลิงจะแนะนำชายใดให้ข้าอีก”
“ไม่ใช่! ข้าได้ยินว่าเซียวอี้ตามตื๊อไม่เลิก หากคุณหนูสี่อนุญาต ข้าช่วยเจ้าไล่เขาได้”
“ไม่จำเป็น!”
หลิงฉางจื้อผงะไป “คุณหนูสี่ปฏิบัติต่อเขาแตกต่างเสียจริง”
เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “นายน้อยใหญ่อย่ากังวลเรื่องการแต่งงานของข้าเลย เวลาที่ควรออกเรือน ข้าย่อมจะออกเรือน อีกอย่าง ท่านพ่อและท่านแม่ข้ายังไม่รีบ ท่านเป็นคนนอกจะรีบอันใด หากไม่เห็นท่าทางฮูหยินของท่าน เห็นสายตาบริสุทธิ์ของท่าน ข้าคงเข้าใจผิดว่าท่านต้องการสิ่งใดจากข้า”
หลิงฉางจื้อหัวเราะ “คุณหนูสี่คงรู้ดี ข้ามีความต้องการบางอย่างจาดเจ้า เพียงแต่ไม่ใช่ความต้องการระหว่างหญิงชาย หากคุณหนูสี่ยอมวาดแผนที่ให้ข้าฉบับหนึ่ง ข้าย่อมซาบซึ้งยิ่งนัก อีกทั้งพร้อมจะทำตามที่เจ้าร้องขอทุกอย่าง!”
“อย่า! ข้าไม่มีความต้องการในตัวท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องทำตามที่ข้าร้องขอทุกอย่าง ส่วนเรื่องที่ท่านร้องขอมา ขออภัยที่ข้าทำไม่ได้”
แผนที่เป็นแหล่งทรัพยากรที่ล้ำค่า จะมอบให้ผู้อื่นอย่างง่ายดายได้อย่างไร
หากไม่ถึงเวลาจำเป็น เยียนอวิ๋นเกอไม่มีทางขายแผนที่
หลิงฉางจื้อผิดหวังอีกครั้ง
แต่เขาไม่ท้อถอย
เขาเตรียมตัวที่จะทำสงครามระยะยาว
แม้จะต้องตื๊อ ก็จะตื๊อจนกว่าจะได้แผนที่มา!
หนึ่งปีไม่ได้ ก็ใช้สองปี
สองปีไม่ได้ ก็ใช้ห้าปี…
ย่อมต้องมีสักวัน เขาจะทำให้เยียนอวิ๋นเกอเปลี่ยนใจ ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันด้วยความจริงใจ
ทุ่นตกปลาขยับแล้ว
เยียนอวิ๋นเกอดึกก้านตกปลาขึ้น ฮ่าๆ…ปลาตะเพียนหนักแปดขีดหนึ่งตัว
นางสั่งสาวรับใช้ “บอกห้องครัว วันนี้ทำน้ำแกงปลาตะเพียน มีแขกมาเยือน ข้าจะแสดงฝีมือ”
สาวรับใช้รับคำสั่ง
หลิงฉางจื้อได้ยิน จึงตื่นเต้นอย่างมาก
“ได้ยินฝีมือการทำปลาของคุณหนูสี่มานานแล้วว่ายอดเยี่ยม วันนี้ข้ามีลาภปากได้ชิมปลาที่คุณหนูสี่ทำ ช่างโชคดียิ่งนัก”
“ท่านอย่าเข้าใจผิด! ข้าเห็นแก่หน้าของท่านพี่ตระกูลเซี่ย จึงตัดสินใจเข้าครัวทำปลา”
ความหมายก็คือ หลิงฉางจื้อยังไม่มีคุณสมบัติให้นางเข้าครัว
หลิงฉางจื้อไม่รู้สึกเก้อ “ท่านพี่ตระกูลเซี่ยของเจ้าเป็นภรรยาของข้า เหมือนกัน เหมือนกัน!”
เยียนอวิ๋นเกอกลอกตา ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อยได้หรือไม่
หลิงฉางจื้อเห็นทีจึงอิจฉา
“ข้ารู้จักคุณหนูสี่มาหลายปี กลับไม่อาจเทียบฮูหยินที่เพิ่งพบหน้าคุณหนูสี่ครั้งเดียว ข้าช่างล้มเหลว!”
“เพียงแค่หลิงฉางเฟิงน้องของท่านก็ทำให้ความรู้สึกดีที่ข้ามีต่อตระกูลหลิงทั้งหมดหมดไปแล้ว หากใต้เท้าหลิงจะโทษ ก็โทษหลิงฉางเฟิงน้องชายของท่านเถิด!”
หลิงฉางจื้อ “…”
คันมือ อยากตีคน!
ตีผู้ใด
ย่อมต้องเป็นหลิงฉางเฟิงผู้เป็นน้องชาย
ดูเรื่องที่เขาทำ มีผลกระทำที่เลวร้ายและยาวนานเพียงใด
ผ่านมาหลายปี เยียนอวิ๋นเกอก็ยังไม่หายโกรธ ยังคงมีอคติต่อตระกูลหลิงอย่างมาก ล้วนเป็นความผิดของหลิงฉางเฟิงคนเดียว
มีน้องชายเช่นนี้ หลิงฉางจื้อก็อยากจะร้องไห้
ตี!
ตีให้หนัก!
หลิงฉางจื้อตัดสินใจ หลังจากกลับจวน เขาจะเขียนจดหมายด่วนกลับไปให้ท่านพ่อ
ให้ท่านพ่อโบยหลิงฉางเฟิงให้ตาย!
เยียนอวิ๋นเกอไม่รู้ว่าประโยคเดียวของนางก็ทำให้หลิงฉางเฟิงต้องเผชิญกับการโบยอีกครั้ง
หลิงฉางเฟิงที่ห่างไกลออกไปพันลี้ก็ไม่รู้ว่าแผลที่เพิ่งหายดี การกักบริเวณที่ยังไม่สิ้นสุด เขาก็ต้องถูกบิดาโบยอีกครั้ง
ชีวิตนี้อยู่ไม่ได้แล้ว!
…
เยียนอวิ๋นเกอเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเอง
เซี่ยฮูหยินซาบซึ้งอย่างมาก อีกทั้งตกตะลึงอย่างมาก “ไม่คิดว่าฝีมือการทำอาหารของน้องอวิ๋นเกอจะยอดเยี่ยมเพียงนี้ ช่างน่าตกตะลึง!”
“ฮูหยินชอบก็พอ!”
“น้องอวิ๋นเกอเกรงใจแล้ว เรียกข้าว่าพี่เถิด!”
เยียนอวิ๋นเกอทำตาม
อาหารมื้อนี้อิ่มหนำสำราญทั้งเจ้าภาพทั้งแขก
บุตรของหลิงฉางจื้อต่างเคยได้ยินชื่อเสียงของเยียนอวิ๋นเกอ มีความสนใจต่อนางอย่างมาก
แต่ไม่มีโอกาสเข้าใกล้แม้แต่น้อย
สายตารังเกียจของนางนั้น ฮือๆ …
เด็กๆ ทั้งหลายถูกคนรังเกียจเช่นนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกเสียใจอย่างมาก
หลังจากมื้ออาหาร เซี่ยฮูหยินจับมือเยียนอวิ๋นเกอเดินเล่นในสวนดอกไม้
นางลองถาม “น้องอวิ๋นเกอไม่ชอบเด็กนักใช่หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอร้อนตัวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเห็นฟัน “พี่เซี่ยเฉลียวยิ่งนัก ไม่คิดว่าท่านจะมองออก”
เซี่ยฮูหยินโล่งใจในทันที “ก่อนหน้านี้ ข้ายังคิดว่าเด็กๆ ซุกซนจนทำให้เจ้าโกรธ เมื่อถามบ่าวรับใช้จึงรู้ว่าข้าเข้าใจผิด คิดไปคิดมา คงเป็นเพราะน้องอวิ๋นเกอไม่ค่อยได้อยู่กับเด็กนัก”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “บุตรของพี่เซี่ยดีมาก ไม่เพียงรูปลักษณ์ดี กิริยามารยาทก็ดี เพียงแต่ข้าไม่ถนัดการอยู่ร่วมกันกับเด็ก ขอให้ท่านอภัย”
“น้องอวิ๋นเกอเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าสมควรพูดมากกว่า ข้าไม่รู้สถานการณ์จนเกือบเข้าใจน้องอวิ๋นเกอผิด คุณหนูที่อายุใกล้เคียงกับน้องอวิ๋นเกอ ความจริงแล้วล้วนไม่ชำนาญการอยู่ร่วมกันกับเด็ก แต่หลังจากแต่งงานไป มีบุตรของตัวเอง ทุกอย่างย่อมจะเปลี่ยนไป”
“ขอบพระคุณฮูหยินที่ไม่ถือสาข้า!”
“คราวหน้าข้ามาเยือน ไม่พาพวกเขามาด้วย” เซี่ยฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม
เยียนอวิ๋นเกอตอบรับ
อยู่จนครึ่งบ่าย หลิงฉางจื้อสองสามีภรรยาขอตัวจากไป
บนรถม้า หลิงฉางจื้อถามขึ้น “ฮูหยินว่าคุณหนูสี่เป็นอย่างไร”
เซี่ยฮูหยินครุ่นคิดพลันพูด “ข่าวลือด้านนอกเชื่อถือไม่ได้ ข้าว่าคุณหนูสี่มีมารยาท เป็นคนที่คุยสนุกมากทีเดียว ข่าวลือด้านนอกแทบจะทำให้คุณหนูสี่กลายเป็นมารปีศาจ รังแกคุณหนูตัวน้อย ช่างน่ารังเกียจ”
หลิงฉางจื้อหัวเราะ “ไม่คิดว่าฮูหยินจะรู้สึกชื่นชอบคุณหนูสี่เช่นนี้ พบกันครั้งแรกก็แก้ตัวแทนนาง”
เซี่ยฮูหยินกลอกตา “คุณหนูสี่รูปลักษณ์ดี ไม่มีที่ติ ฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยม อาหารทั้งโต๊ะนั้น เกรงว่าแม้แต่ห้องเครื่องในราชวังก็ต้องยอมแพ้ นิสัยสง่าผ่าเผย อายุไม่มาก แต่ทำสิ่งใดล้วนมีหลักการ คุณหนูที่ดีเช่นนี้ มิน่าท่านจึงอยากจะให้นางเป็นสะใภ้ตระกูลหลิง เสียดายเพียงนางไม่ชอบตระกูลหลิงของพวกเรา”
คำพูดนี้กระทบจิตใจของหลิงฉางจื้ออีกครั้ง
เขาพูดทันที “หลังจากกลับไป ข้าจะเขียนจดหมายไปให้ท่านพ่อ ให้ท่านพ่อสั่งสอนฉางเฟิงให้ดี”
เซี่ยฮูหยินเม้มปากยิ้ม “ฉางเฟิงขาดการสั่งสอนจริง นอกจากนี้น้องสะใภ้ห้าก็ไม่ได้เรื่อง เอาแต่ทะเลาะกับฉางเฟิงทั้งวัน ทะเลาะกันราวกับไก่ชน บุตรก็ไม่ยอมสั่งสอนให้ดี ท่านแม่ทนดูต่อไปไม่ได้ จึงให้แม่นมสั่งสอนเด็กด้วยตนเอง สถานการณ์จึงดีขึ้นบ้าง”
หลิงฉางจื้อส่งเสียงไม่พอใจ “หากไม่ได้ก็ขับไล่ฉางเฟิงออกไป ให้ครอบครัวของพวกเขาไปใช้ชีวิตในเรือนด้านนอก หลีกเลี่ยงทำลายธรรมเนียมของตระกูล”
“ขับไล่ฉางเฟิงออกไป เมื่อไม่มีการควบคุม เกรงว่าเขาจะยิ่งเหลวไหล”
“เจ้าว่าต้องทำอย่างไร”
“แยกพวกเขาออกจากกันเถิด!”
เอ๊ะ?
“แยกอย่างไร หรือจะเห็นด้วยกับความคิดของฉางเฟิง เอาชีวิตของเยียนอวิ๋นเพ่ย?”
เซี่ยฮูหยินกลอกตาใส่เขาอีกครั้ง “เหลวไหล! ข้าหมายความว่าให้หย่าอย่างสันติ!”
หย่า?
หลิงฉางจื้อขมวดคิ้วมุ่น “ตระกูลชนชั้นสูงไม่เคยมีการหย่าอย่างสันติมาก่อน อย่างน้อยตระกูลหลิงของพวกเราไม่เคยมี น่าอับอายไม่น้อย!”
เซี่ยฮูหยินพูดเสียงเบา “อับอายจะเป็นอันใดไป เมื่อเทียบกับทำลายธรรมเนียมของตระกูล สิ่งใดหนักสิ่งใดเบา ถึงเวลาต้องตัดสินใจแล้ว!”