บทที่ 1308 ทะเลเพลิงสีทอง
บทที่ 1308 ทะเลเพลิงสีทอง
“อวดดีอะไรอย่างนี้!”
“ไอ้สารเลวนี้อวดดีเกินไปแล้ว!”
เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีหยิบน้ำเต้าฟ้าดินออกมา ซึ่งแต่เดิมเป็นสมบัติของสำนักศึกษานภาไพศาล เหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษานภาไพศาลก็โมโหจนตาแทบถลน จิตสังหารพวยพุ่ง ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าฆ่าคนผู้นี้อีกแล้ว
อวี่ซิวสุ่ยผงะเล็กน้อย แต่แววตากลับทอประกายแปลกประหลาด และอารมณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก
“ฮึ่ม! ไร้ยางอาย! หรือว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเจ้าจะไม่มีสมบัติล้ำค่าอื่น ๆ จนถึงกับต้องมาพึ่งน้ำเต้าฟ้าดินที่เป็นของสำนักศึกษานภาไพศาลของข้า” อวี่ซิวสุ่ยกล่าวอย่างเย็นชา
เฉินซีเพียงยิ้มและพลิกฝ่ามือ ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน ชายหนุ่มเก็บน้ำเต้าฟ้าดินออกไปจริง ๆ!
ทว่าก่อนที่ทุกคนจะฟื้นจากอาการตกใจ ตะเกียงสีทองแดงก็ลอยขึ้นมาหมุนวนอยู่เหนือฝ่ามือ ตะเกียงนี้มีความสูงยี่สิบสี่ชุ่น บนพื้นผิวถูกจารึกไว้ด้วยลวดลายโบราณที่ซับซ้อนและลึกซึ้ง ทั้งยังปลดปล่อยเปลวเพลิงสีทองอร่ามออกมา
มันคือสุดยอดสมบัติของสำนักศึกษามหาเดียวดาย ตะเกียงวังไหมเขียว!
“ข้าจะเอาชนะโดยที่ไม่ใช้สมบัติของสำนักศึกษานภาไพศาลของเจ้า แต่เป็นสมบัติของสำนักศึกษามหาเดียวดาย ดีหรือไม่?” เฉินซีเล่นกับตะเกียงวังไหมเขียวอย่างสบายอารมณ์ขณะที่กล่าวช้า ๆ
สีหน้าของอวี่ซิวสุ่ยดิ่งลง และเม้มริมฝีปากแน่น
ผู้ชมทั้งขบขันและประหลาดใจ “นี่เป็นรอบสุดท้ายของการถกวิถีเต๋า แต่เฉินซีกลับไม่กังวลเลยเหรอ?”
ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของคนจากสำนักศึกษามหาเดียวดายกลับมืดมน หลังจากที่เห็นตะเกียงวังไหมเขียวของสำนักศึกษาตน “ไอ้สารเลวนี้น่าชิงชังจริง ๆ!”
…
แก๊ง!
เสียงระฆังดังขึ้น การต่อสู้ปะทุอย่างรวดเร็ว
ร่างของอวี่ซิวสุ่ยเปล่งประกายเจิดจ้า ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีน้ำเงิน ที่ดูพร่ามัวเล็กน้อย พร้อมกับทะยานไปยังสนามประลองด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาอันลึกซึ้ง ทันใดนั้นก็มาถึงตรงหน้าของเฉินซีราวกับภูตผี พัดหยกในมือพลันคลี่ออก ก่อนจะตวัดฟันไปที่คอของเฉินซีราวกับคมดาบ
ฟิ่ว!
มิติถูกแยกออกจากกัน ในขณะที่พลังแห่งกฎไหลเวียน พัดหยกของอวี่ซิวสุ่ยนั่นเห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติอมตะที่ทรงพลัง ทั้งแม่นยำ น่าเกรงขาม โหดเหี้ยม และดูเหมือนจะสามารถข้ามข้อกำจัดของมิติได้ ยิ่งกว่านั้น มันยังปราดเปรียว และแผ่กลิ่นอายมั่นคงที่น่าเกรงขามออกมา
“สะบั้นนรกทองคำทมิฬ!” เหล่าอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษานภาไพศาลอุทานด้วยความตกใจ เพราะนี่เป็นเคล็ดวิชาลับสุดยอดของอวี่ซิวสุ่ย และสามารถเพิ่มพูนพลังต่อสู้ได้ถึงสองเท่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันเทียบเท่ากับอวี่ซิวสุ่ยสองร่างที่โจมตีใส่เฉินซีทันที!
เห็นได้ชัดว่าการที่อวี่ซิวสุ่ยลงมือเช่นนี้ เป็นเพราะหลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเฉินซีและเหยียนอวิ๋น จึงตระหนักดีว่า เฉินซีไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งยังยากที่จะรับมือ ดังนั้นทันทีที่เปิดฉากโจมตี เขาจึงใช้เคล็ดวิชาลับสุดยอดออกมาตั้งแต่แรก
ฟึ่บ!
มิติสั่นสะเทือน แล้วร่างของเฉินซีก็หายไปจากสายตาของอวี่ซิวสุ่ยในพริบตา
ใบหน้าของอวี่ซิวสุ่ยกลายเป็นเคร่งขรึม เขาไม่รอให้การโจมตีนี้สิ้นสุดลง ก่อนจะเคลื่อนไหวไปตามตำแหน่งของกลุ่มดาวหมีใหญ่ จากนั้นก็หันขวับกลับมาประหนึ่งมังกรตวัดหาง พัดหยกทองคำทมิฬหุบเข้าและคลี่ออกเหมือนกรรไกรที่ตัดสวรรค์ออกจากกัน มันตัดมิติรอบ ๆ ออกเป็นเสี่ยง ๆ บังเกิดเป็นพลังไร้รูปร่างที่ส่งเสียงโครมครามขณะที่กวาดไปในบริเวณโดยรอบ
อย่างไรก็ตาม การโจมตีครั้งนี้ไม่สามารถบีบให้เฉินซีเผยตัวได้
ชายหนุ่มดูเหมือนจะหายไปในห้วงมิติ ไม่ใช่แค่อวี่ซิวสุ่ย แม้แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ที่อยู่รอบ ๆ ก็ไม่สามารถจับร่องรอยของเฉินซีได้
มีเพียงสีหน้าของผู้อาวุโสที่ครอบครองการบ่มเพาะขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นที่มีท่าทางตกตะลึง
พลังมิติ… เด็กคนนี้เข้าใจความล้ำลึกของกฎแห่งมิติจริง ๆ หรือ?
สำหรับการดำรงอยู่ในระดับพวกตน กฎสูงสุดทั้งสามประเภท อันได้แก่ มิติ เวลา ชีวิตและความตาย ล้วนแต่เป็นกฎที่ต้องทำความเข้าใจ แม้จะไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้เหมือนราชันเซียน แต่พวกเขาก็เข้าใจความลึกล้ำของมันอยู่ไม่มากไม่น้อย
ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นร่างของเฉินซีวูบไหวอยู่บนสนามประลอง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวและหายไปในห้วงมิติ ดังนั้นพวกเขาจึงตระหนักได้ทันทีว่า คนผู้นี้น่าจะเข้าใจแก่นแท้ของมหาเต๋าแห่งมิติแล้ว!
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เหล่าผู้อาวุโสของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ตกตะลึงและชมเชยเช่นกัน ในขณะที่อาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มจากสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาลล้วนมีสีหน้าประหลาดใจและสับสน ไม่น่าดูแม้แต่น้อย
เวลาคือราชา และมิติคือราชัน!
มันเป็นมหาเต๋าที่มีแค่ราชันเซียนเท่านั้นที่จะเข้าใจได้
ทว่าตอนนี้ มหาเต๋าแห่งมิติได้ปรากฏอยู่ในมือของชายหนุ่มขอบเขตเซียนทองคำ แล้วผู้อาวุโสเหล่านี้ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
ทันใดนั้น พวกเขาก็นึกถึงอวิ๋นฝูเซิงเมื่อหลายปีก่อนโดยพร้อมเพรียงกัน ในเวลานั้น อวิ๋นฝูเซิงได้คว้า ‘เงาแห่งกาลเวลา’ ของกฎแห่งเวลา และเมื่อเปรียบเทียบกับเฉินซีที่อยู่ตรงหน้า ทั้งเฉินซีและอวิ๋นฝูเซิงก็มีความเป็นเลิศในมหาเต๋าของตน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าทัดเทียมกัน
แต่ที่พวกเขาไม่รู้ ก็คือเฉินซีในตอนนี้ได้ก้าวข้ามความยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูเซิงไปแล้ว!
…
บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความตกตะลึง ในขณะที่ในสนามประลอง หัวใจของอวี่ซิวสุ่ยก็บีบรัดอย่างอดไม่ได้
“เฉินซี โผล่หัวออกมาซะ!” เขาใช้กระบวนท่าต่าง ๆ อย่างเกรี้ยวกราด และเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนออกมามากมาย ซึ่งปกคลุมไปทั้งสนามประลอง ก่อนที่จะบดขยี้ลงมา แต่ก็ยังไม่สามารถบีบให้เฉินซีเผยตัวได้
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของอวี่ซิวสุ่ยมืดมนยิ่งขึ้น และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวในใจ
หรือว่าคนผู้นี้จะเข้าใจพลังมิติแล้ว?
เนื่องจากสามารถชนะคู่ต่อสู้จนเข้ามาถึงการถกวิถีเต๋ารอบสุดท้าย อวี่ซิวสุ่ยย่อมไม่ใช่คนโง่เขลา ดังนั้นเขาจึงตระหนักได้ทันทีว่าเฉินซีจะต้องเข้าใจพลังมิติ หรือใช้สมบัติบางอย่างที่บรรจุพลังมิติไว้!
“ขี้ขลาด! เจ้ารู้จักแต่ซ่อนหรือ?”
“เจ้าจะสู้กับข้าหรือไม่?”
“โผล่หัวออกมาซะ!”
…
ในสนามประลอง เสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวของอวี่ซิวสุ่ยดังก้องอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ส่วนสาเหตุที่เขาไม่กล้าหยุดโจมตี เป็นเพราะเกรงว่าเฉินซีจะฉวยโอกาสลอบโจมตีตน
เมื่อผู้ชมโดยรอบเห็นฉากนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงและสับสนอย่างมาก พวกเขารู้สึกราวกับว่าอวี่ซิวสุ่ยกำลังทำตัวเหมือนคนวิปลาส ตีลมชกฟ้า โดยไร้ร่างของคู่ต่อสู้
“ฮ่า ฮ่า! ข้ารู้อยู่แล้วว่าศิษย์พี่เฉินซีได้ปกปิดพลังฝีมือ ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะช่วยเปิดหูเปิดตาให้เราอย่างแท้จริง!”
“ในการต่อสู้ครั้งนี้ ชัดเจนแล้วว่าศิษย์พี่เฉินซีเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า”
“พวกเจ้าคิดว่าศิษย์พี่เฉินซีเข้าใจความล้ำลึกของมิติแล้วหรือไม่? เช่นนั้นร่างของเขาจะหายไปในอากาศได้อย่างไร? ข้าชักสงสารชายคนนั้นอยู่บ้าง ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับการแสดงละครลิง แยกเขี้ยวหรือกวัดแกว่งกรงเล็บอย่างเปล่าประโยชน์ ช่างน่าหัวเราะจริง ๆ!”
ยิ่งเวลาผ่านไป ใบหน้าของอวี่ซิวสุ่ยก็ไม่น่าดูยิ่งขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด เผยให้เห็นถึงความโกรธแค้นอันไร้ขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีร่องรอยของความตื่นตระหนกที่อธิบายไม่ได้อยู่ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำถากถางและคำเยาะเย้ยจากผู้คนรอบข้าง มันทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำและบิดเบี้ยว ซึ่งดูเหมือนใกล้จะเป็นบ้าเต็มที
“อวี่ซิวสุ่ยเป็นฝ่ายแพ้แล้ว บอกให้เขายอมรับความพ่ายแพ้เถอะ เพื่อไม่ทำให้เราต้องขายหน้าไปมากกว่านี้” ในระยะไกล เซียวเชียนซุ่ยขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชา
เขาเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์ แต่กลับสั่งให้สำนักศึกษานภาไพศาลบอกแก่อวี่ซิวสุ่ยให้ยอมรับความพ่ายแพ้ และทำให้พิสดารเฟิงเผยท่าทางไม่พอใจในทันที
ทว่าพิสดารเฟิงก็ทราบดี สิ่งที่เซียวเชียนซุ่ยกล่าวนั้นถูกต้อง และสถานการณ์ดังกล่าวก็ยากที่จะรับมือจริง ๆ เนื่องจากเฉินซีเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้วงมิติ มันทำให้อวี่ซิวสุ่ยไม่อาจทำสิ่งใดได้ ดังนั้นมันจึงน่าคับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง
พิสดารเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ และควบคุมอารมณ์ในใจอย่างแข็งขัน ก่อนที่จะกล่าวเสียงเบา “ซิวซุ่ย ยอมรับความพ่ายแพ้เถิด นั่นคือพลังมิติ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นกล่าวเช่นนี้ มันทำให้เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบข้างตกตะลึงทันที “ที่แท้เฉินซีก็เข้าใจถึงความล้ำลึกของมิติจริง ๆ!”
สิ่งนี้น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง และกระตุ้นให้เกิดความไม่เชื่อในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวี่ซิวสุ่ย เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ผู้อาวุโส บอกให้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้หรือ?”
อย่างไรก็ตาม มันคือเรื่องจริง และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับมัน เพราะรู้ดีว่าไม่อาจทำอะไรเฉินซีได้
แต่เขาไม่เต็มใจ!
ข้ายังไม่ได้สู้กับเขาจริง ๆ จัง ๆ แต่กลับต้องยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้หรือ? ถ้าข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป แล้วข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
โอม!
ในขณะที่ อวี่ซิวสุ่ยพยายามดิ้นรนในใจ คลื่นพลังงานผันผวนที่น่าตกใจก็ปะทุขึ้น และปกคลุมทั้งสนามประลองอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น ดอกไม้สีทองสุกใสจำนวนมากก็ล่องลอยออกมา พวกมันเบ่งบานกลางอากาศ ก่อนที่จะกลายเป็นทะเลดอกไม้ที่สว่างไสวปกคลุมทั่วสนามประลอง
ฉากนี้วิจิตรงดงาม เหมือนดอกไม้ที่โปรยปรายลงมาจากสวรรค์ ในขณะที่ดอกบัวสีทองก็งอกเงยขึ้นมาจากพื้นดิน มันทั้งสุกใสและสว่างไสวอย่างยิ่ง ย้อมฟ้าดินทั้งหมดด้วยสีทองเจิดจ้า
มันคือพลังของตะเกียงวังไหมเขียว ดอกไม้สีทองที่เกิดจากเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังอันน่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้ พวกมันยังเผาผลาญทุกสิ่งและมิติโดยรอบด้วย!
อวี่ซิวสุ่ยสัมผัสดอกไม้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพราะประมาทชั่ววูบ มันจึงเผาเสื้อผ้าของเขาทันที ก่อนจะลามไปถึงเส้นผม ก่อให้เกิดความหวาดกลัวจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และกรีดร้องเสียงหลง
แต่ในเวลาถัดมา อวี่ซิวสุ่ยกลับไม่สามารถเปล่งเสียงได้แม้แต่นิดเดียว ดูเหมือนข้อจำกัดได้ปิดผนึกพลังงานทั้งหมดที่อยู่รอบตัว รวมถึงเสียงด้วย!
“ข้า… คงไม่จบลงเหมือนเหยียนอวิ๋นใช่หรือไม่?”
อวี่ซิวสุ่ยรู้สึกประหลาดใจ และหวนนึกถึงสภาพอันน่าเศร้าที่เหยียนอวิ๋นประสบก่อนหน้านี้ ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ความหนาวเย็นแล่นเข้าสู่หัวใจ จนรู้สึกเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ตระหนกจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง!
ภายใต้ผลกระทบของความหวาดกลัวดังกล่าว เขาวิ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง และพยายามกล่าวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้โดยเร็วที่สุด แต่ทุกสิ่งกลับไร้ประโยชน์
ในไม่ช้า ภายใต้สายตาประหลาดใจและตกตะลึงของทุกคนที่อยู่รอบข้าง ร่างกายของอวี่ซิวสุ่ยก็ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทอง เขาถูกไฟคลอกจนดูเหมือนกองไฟ ไม่ว่าคิ้ว เส้นผม เสื้อผ้า หรือรองเท้า ทุกอย่างล้วนถูกเผาจนหมดสิ้น มันเจ็บปวดถึงขั้นทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยว อยากกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช แต่กลับไม่สามารถส่งเสียงได้แม้แต่นิดเดียว
เขาทำได้เพียงกระโดดไปมาและวิ่งไปรอบ ๆ ทำให้ดูน่าขบขันอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครกล้าหัวเราะ
เพราะเหตุการณ์นี้น่ากลัวเกินไป และโหดร้ายอย่างไร้ปรานี แม้แต่อาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ยังสงสารอย่างอดไม่ได้ …เหตุใดจึงต้องทรมานตัวเองเช่นนี้ด้วย?
“วิธีที่โหดเหี้ยมและไร้ปรานีเช่นนี้ นี่ยังคงเป็นการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักอีกหรือ? หรือว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของเจ้าคิดจะฆ่าคนปิดปาก?!” พิสดารเฟิงไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นก่อนจะตวาดไปทางหวังต้าวหลูด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว โดยที่มีสีหน้าซีดเซียวและมืดมนจนถึงขีดสุด