บทที่ 1309 ปราชญ์โดยกำเนิด
บทที่ 1309 ปราชญ์โดยกำเนิด
เสียงของพิสดารเฟิงนั่นแสดงความโกรธอย่างไร้ขอบเขต มันดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ มันก็แฝงด้วยความไม่พอใจอยู่เต็มเปี่ยม
เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ หวังต้าวหลูก็กล่าวอย่างเฉยเมย “พี่เฟิง อย่าได้กังวลไป สนามประลองนี้ถูกสร้างขึ้นโดยท่านผู้อาวุโสจักรพรรดิเต๋า และหากชีวิตของศิษย์ที่กำลังต่อสู้ตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจะถูกเคลื่อนย้ายออกจากสนามประลองทันที”
หวังต้าวหลูหยุดครู่หนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากแล้วกล่าวช้า ๆ “เป็นเพราะศิษย์ของสำนักศึกษานภาไพศาลของเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ การต่อสู้จึงต้องดำเนินต่อไป”
ทันทีที่สิ้นคำ มันทำให้พิสดารเฟิงเดือดดาลจนกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ใบหน้าพลันสั่นสะท้าน ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟัน “ประเสริฐ! ประเสริฐมาก! งั้นมาดูกันว่าเจ้าจะยังกล้าประชดประชันเช่นนี้อีกหรือไม่ เมื่อศิษย์จากสำนักของเจ้าตกอยู่ในอันตราย!”
หวังต้าวหลูยิ้มอย่างไม่แยแส และไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เหตุการณ์เล็ก ๆ ได้ผ่านไปในพริบตา ขณะที่บนสนามประลอง อวี่ซิวสุ่ยซึ่งเดิมทีนั้นหล่อเหลา สะอาดสะอ้าน และสง่างาม ตอนนี้กลับถูกแผดเผาจนไหม้เป็นตอตะโกสีดำ จนไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขาได้
เขาเป็นเหมือนแท่งถ่านสีดำที่วิ่งไปมาในสนามประลอง ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากการถูกเผาโดยเปลวเพลิงสีทอง
ยิ่งมองดูเหตุการณ์ดังกล่าว ความตกตะลึงในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ถึงขั้นรู้สึกหนาวเหน็บ เป็นเพราะเฉินซีโหดเหี้ยมเกินไป ก่อนหน้านี้ เหยียนอวิ๋นถูกผนึกเทวศสวรรค์ทุบจนเกือบตาย ตอนนี้อวี่ซิวสุ่ยก็ถูกตะเกียงวังไหมเขียวเผาจนแทบจำไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น แววตาที่น่าสังเวชของเขา ทำให้ศิษย์หญิงหลายคนไม่อาจทนดูจนต้องเบือนหน้าหนี
ฟุ่บ!
ทันใดนั้น เหล่าศิษย์และอาจารย์ของสำนักศึกษานภาไพศาลล้วนมีสีหน้ามืดมนสุดขีด เนื่องจากร่างของเฉินซีได้ปรากฏกายบนสนามประลอง เปลวเพลิงสีทองที่ปกคลุมท้องฟ้า พวกมันกลายเป็นลำธารที่หลั่งไหลกลับสู่แหล่งกำเนิด นั่นคือตะเกียงวังไหมเขียวในมือของเฉินซี
ทันใดนั้น ทะเลเพลิงก็หายไป สนามประลองกลับคืนสู่สภาพเดิม
อวี่ซิวสุ่ยไหม้เกรียมไปทั้งตัว ศีรษะไร้เส้นผมและร่างกายเปลือยเปล่าล่อนจ้อน
เขาเป็นเหมือนแท่งถ่านสีดำ ล้มลงกับพื้นพร้อมกับหอบหายใจแรง ๆ เสียงแหบแห้งและอ่อนแรง ทั้งยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง
“ข้ายอมแพ้… ข้ายอมแพ้แล้ว” เขาคล้ายถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง และหมอบลงกับพื้น สายตาว่างเปล่า ทำให้ทุกคนตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้
เห็นได้ชัดว่าความทุกข์ทรมานที่เขาได้ประสบมาก่อนหน้านี้ ได้ทรมานอวี่ซิวสุ่ยจนจิตใจแตกสลาย
“ช่างโหดเหี้ยมอะไรขนาดนี้!”
“ไอ้สารเลวชั่วช้า!”
เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว พิสดารเฟิงแทบจะระเบิดความโกรธออกมา เขาโกรธจนดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า ความต้องการในตอนนี้มีเพียงทะลวงม่านพลังของสนามประลองเข้าไปเพื่อฟาดเฉินซีให้ตายคามือ
ศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบข้างก็โกรธมากเช่นกัน
ในทางกลับกัน ศิษย์และอาจารย์ทุกคนจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าต่างตกตะลึงจนหมดคำพูด เพราะการกระทำของเฉินซีนั่นไร้ความปรานีและโหดร้ายอย่างแท้จริง
แต่พวกเขาจะไม่ประณามเฉินซีในเรื่องนี้ หลาย ๆ คนกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
มีบางคนที่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล เพราะอวี่ซิวสุ่ยเป็นเพียงคู่ต่อสู้คนแรก แน่นอนว่ายังเหลืออีกหกคนรอท้าทายเขาในรอบต่อไป ดังนั้นหากเฉินซีเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ พวกเขาคงจะคว้าโอกาสนี้เพื่อล้างแค้นแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียวเชียนซุ่ย ผู้มีอุปนิสัยที่น่ากลัวและบิดเบี้ยว หากเขาคว้าโอกาสที่จะจัดการเฉินซีได้ ก็คงไม่แสดงความเมตตาใด ๆ
มีเพียงหวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่ทราบอย่างชัดเจน ว่ามีเพียงเหตุผลเดียวสำหรับการกระทำที่โหดเหี้ยมของเฉินซี เป็นเพราะนิกายอำนาจเทวะคือผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของทั้งสามสำนักในระหว่างการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักนี้
นี่คือประเด็นสำคัญ!
ตุบ!
เฉินซียกขาขึ้นและเตะอวี่ซิวสุ่ยออกจากสนามประลอง จากนั้นก็จัดระเบียบเสื้อผ้า ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดที่เซียวเชียนซุ่ยกับศิษย์อีกห้าคนที่ผ่านเข้าร่วมการถกวิถีเต๋ารอบสุดท้าย
“ข้าสงสัยว่าสหายเต๋าที่จับสลากได้หมายเลขสอง ตั้งใจจะเลือกข้าเป็นคู่ต่อสู้หรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ก้าวเท้าขึ้นมาซะ เพื่อไม่ทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา” น้ำเสียงที่ไม่แยแสและสงบของเฉินซีล่องลอยไปทั่วบริเวณ แม้จะไม่มีวี่แววของการคุกคาม แต่เมื่ออาจารย์และศิษย์จากทั้งสามสำนักได้ยิน มันกลับกลายเป็นคำยั่วยุอย่างร้ายกาจ
“บังอาจ! ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!” จู่ ๆ ศิษย์คนหนึ่งก็พุ่งทะยานออกไป และร่อนลงสู่สนามประลอง เขาสวมชุดสีม่วงอ่อนและมีสายตาที่ดูเหมือนสายฟ้าฟาด ยิ่งไปกว่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่เย่อหยิ่งและครอบงำ
“หวังเซวี่ยชง!”
เฉินซีจำชายผู้นี้ได้ทันที ในระหว่างรอบแรกของการถกวิถีเต๋า เป็นหวังเซวี่ยชงที่ทำให้จี้เซวียนปิงบาดเจ็บสาหัส และเป็นหนึ่งในศิษย์แปดคนที่เข้าร่วมการถกวิถีเต๋าในรอบสุดท้าย
หวังเซวี่ยชงจับสลากได้หมายเลขสอง ดังนั้นจึงเป็นคราวของเขาเมื่ออวี่ซิวสุ่ยพ่ายแพ้
“ประเสริฐมาก” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย ปรากฏแสงเย็นวาบอยู่ภายใน และปลดปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เขาแผ่จิตสังหารอย่างเต็มที่นับตั้งแต่เข้าสู่สนามประลอง
“รนหาที่ตาย!” หวังเซวี่ยชงสบถออกมาสองสามคำเบา ๆ ก่อนที่จะเงยหน้าทันที จากนั้นกลิ่นอายน่าเกรงขามก็เปลี่ยนไปในบัดดล มันเหมือนกับเจ้าเหนือหัวในยุคบรรพกาล หรือปราชญ์ผู้ให้ความรู้แก่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ปรากฏตัวขึ้น ดวงตาเปล่งแสงสีเขียวเรืองรอง กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ล้ำลึกและลี้ลับ ซึ่งพวยพุ่งและวนเวียนอยู่รอบตัวเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เหตุการณ์ดังกล่าวน่าตกตะลึงอย่างแท้จริง
“นี่มัน… เด็กคนนี้เป็นปราชญ์โดยกำเนิดจริง ๆ หรือ? ดวงตาของเขามีภาพของท้องฟ้า และพวกมันถูกใช้เพื่อสร้างมหาเต๋าแห่งยันต์อักขระที่ลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง! สำนักศึกษาระทมสันต์นั่นปกปิดความสามารถของเขาไว้มิดชิดจริง ๆ!”
“ใช่แล้ว นี่คือเนตรนภาเขียวในตำนาน มันสามารถมองทะลุผ่านท้องฟ้าและพัฒนาตราศักดิ์สิทธิ์ของกฎได้ มีเพียงปราชญ์โดยกำเนิดเท่านั้นที่สามารถครอบครองความสามารถเช่นนี้”
“เช่นนั้นแม้ว่าเฉินซีจะใช้พลังมิติ แต่คงไม่อาจปกปิดร่องรอยได้อีกต่อไป…”
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่กำลังดูการถกวิถีเต๋านี้อย่างเงียบ ๆ ต่างสนทนาผ่านกระแสปราณ
แม้แต่หวังต้าวหลู ก็ยังขมวดคิ้วและมีสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเขาจำได้ชัดเจนว่า หวังเซวี่ยชงไม่ได้เผยปรากฏการณ์ดังกล่าวในการประลองรอบแรก แสดงว่าเขาเก็บงำพลังนี้ไว้มาใช้จัดการกับเฉินซีโดยเฉพาะ!
เหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์ต่างเยาะเย้ยอย่างอวดดีไม่รู้จบ
“เอาละ มาดูกันว่าเจ้าจะรอดไปได้อย่างไร!”
ปราชญ์โดยกำเนิด… ดวงตาที่เย็นชาของเฉินซีไม่ได้หวั่นไหว แต่ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงกระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ขึ้นมา …ถ้าไม่ใช่การถกวิถีเต๋า ข้าก็อยากทดสอบพลังของกระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์ดูสักครั้ง
ตู้ม!
ในสนามประลอง การต่อสู้ได้ปะทุขึ้น หวังเซวี่ยชงสะบัดแขนเสื้อดังพึ่บ จากนั้นธงสีเหลืองอมส้มสามสิบหกผืนก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ฉีกกระชากผ่านความว่างเปล่า และปักลงบนสนามประลองอย่างรวดเร็วตามรูปแบบของค่ายกลอันลึกลับ
ทันใดนั้น เมฆสายฟ้าก็คำรามอย่างดุร้ายเหนือสนามประลอง สายฟ้าสีเงินวูบไหวไปมา ในขณะที่มวลปีศาจต่างคำราม อานุภาพของมันน่าตกตะลึงและน่ากลัวอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่านี่คือค่ายกลเซียนโบราณที่มีอานุภาพอันน่าทึ่ง
หวังเซวี่ยชงยืนตัวตรงบนเมฆขนาดใหญ่ เสื้อผ้าปลิวไสวไปพร้อมกับเส้นผม ใบหน้าที่เย่อหยิ่งและครอบงำเผยให้เห็นท่าทางของการควบคุมได้อย่างสมบูรณ์
“ค่ายกลสายฟ้าปีศาจมายาโบราณ!” ดวงตาของหวังต้าวหลูหรี่ลงอีกครั้ง เมื่อเขาจำค่ายกลนี้ได้ มันเป็นค่ายกลโบราณที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ครั้งหนึ่งมันเคยทำลายล้างเทพอสูรที่ทรงพลังไปนับไม่ถ้วน แม้ว่าค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ทรงพลังเท่า แต่เมื่อมีคนติดอยู่ภายใน ก็ไม่ใช่สิ่งที่เซียนทองคำจะต้านทานได้!
ไม่ได้การแล้ว!
หัวใจของหวังต้าวหลูดิ่งลง เขาไม่คาดคิดว่าหวังเซวี่ยชงจะปกปิดความแข็งแกร่งได้อย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นปราชญ์โดยกำเนิดเท่านั้น เขายังมีค่ายกลเซียนโบราณดังกล่าวอีกด้วย ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สถานการณ์ของเฉินซีเข้าขั้นวิกฤตแล้ว!
ไม่ใช่แค่เขา แม้แต่คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างก็เผยความกังวลออกมาเช่นกัน
“ประเสริฐ! ประเสริฐ! ประเสริฐมาก!” เหลิ่งอวิ๋นโส่วจากสำนักศึกษาระทมสันต์ปรบมือและชมเชย ซึ่งเขากล่าวคำว่า ประเสริฐถึงสามครั้ง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า เจ้าตัวรู้สึกพึงพอใจและภูมิใจมากเพียงใด
ณ เวลานี้ บรรยากาศโดยรอบดูเหมือนจะตกอยู่ในความกดดัน เหล่าศิษย์และอาจารย์ทุกคนจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าล้วนจ้องไปที่สนามประลองเป็นตาเดียว พวกเขาอยากรู้ว่าเฉินซีจะฝ่าค่ายกลอย่างไร และ… จะสามารถชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้หรือไม่?
…
ในสนามประลอง สายฟ้าคำรามอย่างดุดัน หมอกแห่งความชั่วร้ายพุ่งสูง ปรากฏร่างของสัตว์ประหลาดก็ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วบริเวณ คล้ายอยู่ลึกเข้าไปในโลกที่วุ่นวายและน่าสะพรึงกลัวประหนึ่งขุมนรก
ในทางกลับกัน หวังเซวี่ยชงยืนกอดอกอย่างภาคภูมิอยู่บนเมฆ เผยท่าทีเย่อหยิ่ง รอยยิ้มเลือดเย็นปรากฏที่มุมปาก เขาจ้องมองเฉินซีอย่างเย็นชา พลางกล่าว “แม้ว่าเจ้าจะสามารถควบคุมพลังมิติ แต่ภายในค่ายกลของข้าไม่ที่ใดให้หลบซ่อน ยิ่งกว่านั้น เจ้าจะถูกโจมตีจากค่ายกลตลอดเวลา แสดงให้ดูสิว่าเจ้าจะเอาตัวรอดอย่างไร!”
เขายืนตัวตรงอยู่บนเมฆ ราวกับยืนอยู่บนแท่นบวงสรวงแห่งสวรรค์ แม้จะดูเหมือนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่แท้จริงแล้ว มันเหมือนระยะห่างชั่วนิรันดร์ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ หากเฉินซีไม่สามารถฝ่าค่ายกลออกไปได้ ไม่ว่าชายหนุ่มจะโจมตีอย่างไร ก็คงไม่สามารถแตะต้องหวังเซวี่ยชงได้แม้แต่ชายเสื้อ
“แล้วยังไงหรือ?” คราวนี้ เฉินซีไม่ได้ควักสมบัติใด ๆ ออกมา สายตาของเขากวาดไปรอบ ๆ ดวงตาสีดำที่ล้ำลึกดุจท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวฉายแววสมเพช
“ฮึ่ม! ทั้งที่ขาของเจ้าเกยอยู่ที่ประตูแห่งความตายแล้ว แต่ยังกล้าอวดดี เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสอานุภาพของค่ายกลสายฟ้าปีศาจมายาโบราณนี้!” ทันใดนั้น หวังเซวี่ยชงก็แค่นเสียงเย็น มันดังก้องอยู่ในค่ายกลดุจเสียงฟ้าร้อง
ชั่วพริบตาต่อมา สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ฟาดลงมาจากด้านบนอย่างหนักหน่วง ประหนึ่งพายุฝนฟ้าคะนองที่พัดโหม ส่งเสียงกึกก้องถาโถมใส่เฉินซี ยิ่งกว่านั้น สายฟ้าที่รุนแรงยังเผยให้เห็นร่องรอยของปีศาจและสัตว์ประหลาดที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในนั้น พวกมันเปล่งเสียงหัวเราะอันชั่วร้าย แผ่แรงกดดันอันน่าตกตะลึงและน่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อพวกมันลงมาพร้อมกับสายฟ้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเหมือนกับขุมนรกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสยดสยอง ซึ่งครอบงำจิตใจและปลุกเร้าความกลัวในใจของทุกคน
แต่เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ แววตาที่สมเพชของเฉินซีก็รุนแรงมากขึ้น ชายหนุ่มเพิกเฉยต่อการโจมตีเหล่านี้และก้าวไปข้างหน้า เขาไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง แต่กลับก้าวเท้าตามลำดับที่ลึกซึ้ง บางครั้งก้าวเฉียงไปเฉียงมา บางครั้งก็หันหลังกลับเป็นวงกลม และบางครั้งก็ถอยกลับไปสองสามก้าว มันทั้งคลุมเครือและแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็มาถึงตรงหน้าเมฆก้อนใหญ่!
ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างกระบวนการทั้งหมดนี้ สายฟ้าที่รุนแรงก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า แต่ปีศาจและสัตว์ประหลาดที่ดุร้าย กลับไม่สามารถแตะต้องเฉินซีได้เลยสักนิด!
ราวกับกำลังเดินผ่านทุ่งดอกไม้ แต่กลับไม่โดนใบไม้แม้แต่ใบเดียว
“ปะ…ปะ… เป็นไปได้อย่างไรกัน!” รอยยิ้มที่เย่อหยิ่งและเย็นชาบนใบหน้าของหวังเซวี่ยชงแข็งค้าง ดวงตาเบิกโพลง ราวกับได้เห็นบางสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้น
เพียะ!
ในขณะนี้ ร่างของเฉินซีวูบไหวอีกครั้ง และทันใดนั้น เขาก็มาถึงตรงหน้าหวังเซวี่ยชง จากนั้นจึงตบหน้าหวังเซวี่ยชงอย่างแรง “ไอ้โง่! นี่คือวิธีใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระของเจ้าหรือ!”