บทที่ 1310 ตบที่หน้าอย่างแรง
บทที่ 1310 ตบที่หน้าอย่างแรง
เพียะ!
เสียงตบที่ชัดเจนและดังก้องไปทั่วสนามประลอง กระทั่งยังกลบเสียงเซ็งแซ่โดยรอบ
หวังเซวี่ยชงถูกตบจนล้มกลิ้ง ใบหน้าครึ่งหนึ่งปูดบวมเหมือนหัวหมูและอาบไปด้วยเลือด ยิ่งกว่านั้น กระดูกบนแก้มยังแตกจากแรงกระแทก ทว่าเขากลับไม่ได้ส่งเสียงร้องโหยหวน เพียงเอามือจับแก้มพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แม้แต่เหล่าผู้ชมก็ยังตัวสั่น และมีสีหน้าตกตะลึง พวกเขาอ้าปากค้างขณะมองดูฉากที่ไม่คาดคิดนี้ด้วยความเหลือเชื่อ
เดิมที หวังเซวี่ยชงได้แสดงปรากฏการณ์ของปราชญ์โดยกำเนิดที่น่าเกรงขาม ทั้งยังสร้างค่ายกลสายฟ้าปีศาจมายาโบราณที่สืบทอดมาจากยุคบรรพกาลได้อย่างง่ายดาย มันทำให้ทุกคนรู้สึกกังวลต่อเฉินซีอย่างมาก ซึ่งพวกเขารู้สึกว่ามันจะต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและอันตรายมากอย่างแน่นอน
แต่โดยไม่คาดคิด ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น หวังเซวี่ยชงที่ยืนอย่างภาคภูมิบนเมฆอันยิ่งใหญ่ราวกับปราชญ์กลับชาติมาเกิด จะถูกตบจนร่วงลงมา!
สิ่งนี้เกินความคาดหมายของพวกเขาจริง ๆ ดังนั้นพวกเขาจะกล้าเชื่อสายตาตนเองได้อย่างไร?
“เจ้า… เจ้า… เจ้า…” หวังเซวี่ยชงตกใจจนมึนงงไปหมด และยังไม่กล้าเชื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาจ้องมองที่เฉินซีด้วยสีหน้าโง่งมราวกับเห็นวิญญาณร้าย
เพียะ!
ร่างของเฉินซีวูบไหว ในเวลาถัดมา เขาตบหน้าหวังเซวี่ยชงอีกครั้ง ทำให้หวังเซวี่ยชงกลิ้งไปบนเมฆอันยิ่งใหญ่ราวกับน้ำเต้าที่กลิ้งไปตามพื้น แรงตบทำให้เลือดสาดกระเซ็นออกมาจากปาก ฟันกระเด็นไปในอากาศ จนจำรูปลักษณ์เดิมแทบไม่ได้ เพราะมันบวมเป่งน่าเกลียด ทั้งยังเจ็บปวดแสนสาหัส
ยามนี้ หวังเซวี่ยชงได้สูญเสียท่าทางที่เย่อหยิ่ง โหดเหี้ยม ทรงพลัง และหยิ่งยโสโดยสิ้นเชิง!
เหล่าผู้ชมต่างประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน “เฉินซีผู้นี้แปลกประหลาดนัก ทั้งยังไม่ได้รับผลกระทบของค่ายกลเซียนโบราณเลยสักนิด ราวกับกำลังเดินผ่านผืนดินอันว่างเปล่า”
“ไอ้โง่! เจ้าคิดว่าจะฆ่าคนด้วยค่ายกลมั่ว ๆ เช่นนี้หรือ? หึ นี่น่ะหรือปราชญ์โดยกำเนิด? ไอ้โง่โดยกำเนิดเสียมากกว่า” เฉินซีมองหวังเซวี่ยชงด้วยสายตาเย็นชาอย่างสมเพช
คนผู้นี้ช่างโง่บัดซบจริง ๆ การใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระต่อหน้าข้า ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวตลกที่แสดงฝีมือต่อหน้าผู้เยี่ยมยุทธ์
“นับตั้งแต่ที่พบข้า ชะตาของเจ้าก็ขาดแล้ว!”
“ไอ้โง่โดยกำเนิด!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ มันทำให้หวังเซวี่ยชงโมโหจนแทบจะระเบิด เขาได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์ และตระหนักว่าตนได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะค่ายกลใหญ่ที่วางไว้แต่แรกเพื่อสังหารเฉินซีนั้น ไม่เพียงแต่จะไร้ความหมายเท่านั้น แต่กลับทำให้เฉินซีคว้าโอกาสตอบโต้โดยไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย
“ไอ้บัดซบ! เจ้าคิดว่าข้ามีความสามารถแค่นี้หรือ?” หวังเซวี่ยชงรีบลุกยืนขึ้น ก่อนจะกู่ร้องยาวออกมา ดวงตาสีเขียวแวววาวปะทุขึ้นด้วยอักขระยันต์ที่หนาแน่นและลึกลับออกมาเป็นแถว พวกมันม้วนไปตามร่างกาย ระเบิดกลิ่นอายน่าเกรงขาม พร้อมเปิดฉากโจมตีเฉินซีอย่างทันพลัน!
โครม!
ไม้บรรทัดหยกก็ปรากฏในมือของหวังเซวี่ยชง เป็นสีเขียวหยกเหมือนท้องฟ้า และเปล่งพลังศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่ ราวกับตั้งใจชี้ทางสว่างให้แก่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลก แล้วฟาดลงไป!
เมื่อเผชิญกับสิ่งนี้ ท่าทางของเฉินซียังคงสงบเหมือนเช่นเคย แต่ความสมเพชในดวงตากลับรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาและอำมหิต
เวลาต่อมา เฉินซีก็ฟาดฝ่ามือไปข้างหน้า
โอม!
ทันใดนั้น พลังมิติรอบ ๆ ก็เริ่มปั่นป่วน ก่อนที่จะกลายเป็นกระแสห้วงมิติอันไร้รูปร่างที่ส่งเสียงหวีดแหลมขณะพัดโหมไปทั่วบริเวณ
โครม! โครม! โครม!
ทันใดนั้น หวังเซวี่ยชงก็สังเกตเห็นว่าการโจมตีของตนถูกยับยั้งและสลายโดยพลังมิติทีละชั้น… จนเขาไม่มีเวลาที่จะหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนใด ๆ
พลังมิตินั้นน่ากลัวเกินไป ไม่อาจขัดขืนและไม่อาจทำสิ่งใดได้ การโจมตีของหวังเซวี่ยชงถูกบดขยี้โดยสิ้นเชิง จากนั้นไม้บรรทัดหยกในมือก็ถูกเฉินซีแย่งไป
ในสายตาของผู้ชม หวังเซวี่ยชงพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับไม้บรรทัดหยก แล้วมอบให้เฉินซีเหมือนคนโง่…
ทุกคนตกตะลึงจนกรามเกือบกระแทกพื้น …หวังเซวี่ยชงผู้นี้คิดทำอะไรกันแน่?
มีเพียงผู้อาวุโสบางคนเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้ว่า พลังฝ่ามือของเฉินซีที่ดูเรียบง่าย แต่แท้จริงกลับแฝงด้วยพลังมิติอันน่าสะพรึง กลายเป็นพลังที่ผันผวนแปลกประหลาดและคลุมเครือ ทั้งยังสลายการโจมตีของหวังเซวี่ยชงได้อย่างสมบูรณ์
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก ไม่เคยนึกมาก่อน ว่าเฉินซีไม่เพียงแต่เข้าใจพลังมิติเท่านั้น แต่ความสำเร็จในมหาเต๋าแห่งมิติก็ไม่ธรรมดา!
เพียะ!!
เฉินซีถือไม้บรรทัดหยกไว้มั่น ก่อนจะฟาดหลังมือใส่หน้าหวังเซวี่ยชงอย่างแรง ทำให้หวังเซวี่ยชงกรีดร้องโหยหวน ความเจ็บปวดทำให้เกือบขบฟันจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ยิ่งกว่านั้น เขายังจำต้องคุกเข่าลงอย่างควบคุมไม่ได้
ไม้บรรทัดหยกเป็นสมบัติอมตะที่เขาภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้มันกลับอยู่ในมือของเฉินซี ยิ่งกว่านั้น พลังที่แฝงอยู่ในฝ่ามือนั้นสามารถทำลายภูเขาและแม่น้ำให้เป็นผุยผง แล้วเขาจะทนมันได้อย่างไร?
โชคดีที่หวังเซวี่ยชงก็แข็งแกร่งอยู่พอตัว และควบคู่ไปกับความจริงที่ว่า เฉินซีไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าเขาในคราวเดียว ดังนั้นฉากต่อไปจึงปรากฏขึ้น
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
เฉินซีไม่ได้กล่าวคำใด เพียงกำไม้บรรทัดหยกไว้ และฟาดใส่หวังเซวี่ยชงครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนผู้อาวุโสกำลังลงโทษศิษย์ที่ไม่เชื่อฟังและดื้อรั้น
หวังเซวี่ยชงคุกเข่าอยู่บนพื้น คล้ายถูกตรึงไว้ และถูกฟาดจนกระตุกไปทั้งตัว เลือดหลั่งรินเป็นสายน้ำ เนื้อหนังปริแตก พร้อมกับส่งเสียงโหยหวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มันเจ็บปวดจนแทบขาดใจ แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดทางเนื้อหนัง ความเจ็บปวดในหัวใจกลับรุนแรงกว่าหลายเท่า ดังนั้นหวังเซวี่ยชงจึงไม่ปรารถนาต่อสิ่งใดนอกจากปลิดขีพตัวเองหนีความอัปยศนี้
“เฉินซี ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!!!!” หวังเซวี่ยชงคำรามอย่างบ้าคลั่ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความโกรธอันไร้ขอบเขต
ผู้ชมตกตะลึงจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงคำรามของหวังเซวี่ยชง พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนหายใจแทบไม่ออก
“ถ้าไม่ใช่เพราะกฎของการถกวิถีเต๋า คิดว่าเจ้าจะยังมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือ?” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่ความเย็นชาพวยพุ่ง ทันใดนั้น ชายหนุ่มตวัดไม้บรรทัดหยกออีกครั้ง คราวนี้เขาฟาดไปที่คอของหวังเซวี่ยชงอย่างแรง
แรงฟาดทำให้หวังเซวี่ยชงหมดสติไปจริง ๆ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลที่มีเลือดไหลริน กระดูกในร่างแตกเป็นเสี่ยง ๆ เขานอนกองอยู่บนพื้นเหมือนซากศพที่เน่าเปื่อย มีเพียงลมหายใจที่แผ่วเบาจากจมูกเท่านั้นที่เป็นหลักฐานว่าคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่
ทุกคนอึ้งกับฉากนี้!
การกระทำของเฉินซีนั่นสาแก่ใจเสียเหลือเกิน!
เหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าล้วนรู้สึกเช่นนี้ ถึงก่อนหน้านี้ พวกเขาจะกังวลที่เห็นเฉินซีติดอยู่ในค่ายกลสายฟ้าปีศาจมายาโบราณ ทั้งยังเผชิญหน้ากับปราชญ์โดยกำเนิดเช่นหวังเซวี่ยชง
อย่างไรก็ตาม โดยไม่คาดคิด สถานการณ์กลับแตกต่างไปจากความคิดของพวกเขาโดยสิ้นเชิง และการต่อสู้ครั้งนี้ก็ง่ายดายยิ่งกว่าการต่อสู้กับเหยียนอวิ๋นด้วยซ้ำ!
ทว่าการตบหน้าของเฉินซีนั่น บีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องคุกเข่า จากนั้นก็ฟาดหวังเซวี่ยชงด้วยไม้บรรทัดหยกติดต่อกัน ทำให้ศิษย์หลายคนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าโห่ร้องด้วยความยินดี ทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
ในทางกลับกัน ท่าทางของศิษย์และอาจารย์ของทั้งสามสำนักก็เปลี่ยนไป บางคนประหลาดใจ บางคนกังวล บางคนโกรธ บางคนรู้สึกไม่เชื่อ บางคนตกใจและหวาดกลัว
เหยียนอวิ๋นพ่ายแพ้แล้ว และเขาถูกผนึกเทวศสวรรค์ทุบจนเกือบตาย
อวี่ซิวสุ่ยก็พ่ายแพ้ เขาถูกตะเกียงวังไหมเขียวเผาจนไหม้เกรียมจนแทบจำไม่ได้
ตอนนี้หวังเซวี่ยชงก็ถูกตบ อีกทั้งยังถูกบังคับให้คุกเข่า และถูกฟาดจนหมดสติไป
ตัวอย่างทั้งสามที่เป็นดั่งโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะการแสดงฝีมือของเฉินซีนั้นแปลกประหลาดและน่าทึ่งเกินไป ทั้งยังเกินความคาดหมายโดยสิ้นเชิง
โครม!
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เฉินซีเตะหวังเซวี่ยชงออกจากสนามประลองเหมือนซากสุนัข
เมื่อมาถึงจุดนี้ คู่ที่สองของการถกวิถีเต๋ารอบสุดท้ายก็สิ้นสุดลง
ผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ สนามประลองยังไม่ได้สติจากเหตุการณ์ที่น่าตกใจและนองเลือดเมื่อครู่
ในความคิดเห็นของเหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า สิ่งนี้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ที่ไม่คาดคิด ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ตกใจ และยินดีมาก
ในทางกลับกัน ทั้งสามสำนักต่างรู้สึกว่าเฉินซีเป็นไอ้สารเลวที่ปิดบังความแข็งแกร่ง และเผยออกมายามโจมตีพวกเขาอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า…
แต่สำหรับเฉินซี นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!
…
ในการถกวิถีเต๋ารอบสุดท้าย อวี่ซิวสุ่ยและหวังเซวี่ยชงถูกคัดออกติด ๆ กัน เหลือเพียงเฉินซีจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เซียวเชียนซุ่ยและเหอเลี่ยนฉีจากสำนักศึกษาระทมสันต์ อู่ฟางจวินและเยว่อวี่จากสำนักศึกษามหาเดียวดาย และไฉ่ทาจากสำนักศึกษานภาไพศาล
กล่าวอีกนัยหนึ่ง กรณีที่เลวร้ายที่สุดของเฉินซี คือเขาต้องต่อสู้กับคู่ต่อสู้ทั้งห้าคน
สถานการณ์ยังค่อนข้างอันตราย
แต่การแสดงฝีมือของเฉินซีเมื่อครู่นี้ ทำให้เหล่าอาจารย์และศิษย์ทุกคนจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าบังเกิดความหวัง แม้จะริบหรี่มากก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกกังวลหรือหนักใจเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
สิ่งเดียวที่น่ากังวลคือเฉินซีไม่ได้พักมาตั้งแต่เริ่มต่อสู้ ทุกคนจึงกังวลว่าพลังฝีมืออาจถดถอยจากความอ่อนล้า แล้วจะสามารถยืนหยัดได้จนถึงที่สุดได้อย่างไร?
มีเพียงจ้าวเมิ่งหลีเท่านั้นที่รู้ว่า เฉินซีมีต้นอ่อนเงาทมิฬอยู่ในครอบครอง ดังนั้นพลังของเขาจึงไม่มีวันหมดจากการต่อสู้ติดต่อกันอย่างแน่นอน แต่สิ่งเดียวที่น่ากลัว คือจิตใจของเฉินซีจะสามารถยืนหยัดได้จนถึงที่สุดหรือไม่
แน่นอนว่า การมีอยู่ของตัวตนเช่นเซียวเชียนซุ่ยก็เป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวง และไม่สามารถมองข้ามไปได้!
ไม่ว่าผู้คนที่อยู่รอบข้างจะคิดอย่างไร แต่เฉินซีก็ยังคงสงบเช่นเดิม ชายหนุ่มไม่ได้ออกจากสนามประลอง เพียงกวาดสายตาไปที่เซียวเชียนซุ่ยและคนอื่น ๆ อีกครั้ง เหมือนที่ทำหลังจากเอาชนะอวี่ซิวสุ่ยก่อนหน้านี้
คล้ายกล่าวเป็นนัยว่า ‘ใครจะออกมาเป็นคนที่สาม? หากคิดเลือกข้าเป็นคู่ต่อสู้ ก็จงรีบไสหัวออกมาซะ!’
ภายใต้การจ้องมองที่สงบดังกล่าว ใบหน้าของเซียวเชียนซุ่ยและศิษย์คนอื่น ๆ ที่เข้าสู่รอบสุดท้ายก็มืดมน ดวงตาทอประกายเย็นชาและอาฆาต
“อวดดี!”
“ไอ้เด็กนี้อวดดีเกินไปแล้ว!”