ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 310 การแสดงสีเลือด : เปิดฉาก

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 310 การแสดงสีเลือด : เปิดฉาก

นายท่านเจ็ดชี้เส้นทางให้สวี่ชิง ให้เขาย้ายเทพองค์หนึ่งมาไว้ในใจ สวี่ชิงทำได้แล้ว ทว่าเทพนั้นไร้หน้า

ดังนั้นสวี่ชิงก็ชี้ทางให้เจ้าใบ้เช่นกัน ให้เขาไปศึกษาคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ ให้เขาเดินเส้นทางล้างสังหาร

เขารู้สึกว่านี่เหมาะกับเจ้าใบ้มาก อีกฝ่ายพัฒนามาจนถึงตอนนี้สวี่ชิงพูดได้ว่ามองการฆ่าสังหารและความโหดเหี้ยมของเขามาตลอดทาง ในช่วงที่เป็นผู้คุ้มครองให้เจ้าใบ้หลายวันนี้ เขาเหมือนมองเห็นตัวเองในอดีตในตัวเจ้าใบ้

โลกไม่แน่นอน มีเพียงฝึกบำเพ็ญเท่านั้นถึงจะทำให้ตัวเองปลอดภัย ส่วนจิตสังหารของเจ้าใบ้รุนแรงมาก คนแบบนี้สวี่ชิงรู้สึกว่าเหมือนตัวเอง เหมาะที่จะฝึกบำเพ็ญคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ

เห็นได้ชัดว่าเจ้าใบ้จำเรื่องนี้อย่างขึ้นใจ จำเอาไว้ในใจ สำหรับคำพูดของสวี่ชิงเขาปฏิบัติตามอย่างไร้เงื่อนไขมาตลอด นี่คือสัญชาตญาณของเขา สัญชาตญาณที่เคารพบูชาผู้แข็งแกร่ง

และหลังจากที่เจ้าใบ้ไปแล้ว สวี่ชิงก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เขาไปที่กรมขนส่งทันที เพียงแต่…ตอนมาเป็นเวลาใกล้มืดแล้ว ดังนั้นในกรมขนส่ง สวี่ชิงเห็นลูกศิษย์หญิงหน้าแดงก่ำคนหนึ่งก่อน จากนั้นก็เห็นจางซานสูบบุหรี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพออกพอใจ

ลูกศิษย์หญิงคนนั้น สวี่ชิงเคยเห็นแวบๆ ว่าเป็นผู้บำเพ็ญสายลูกกลอนของยอดเขาสอง ตอนนั้นเคยมาหาจางซานพร้อมกับกู้มู่ชิงให้เขาคุ้มครองพวกนางออกทะเล

แม้หน้าตาจะธรรมดา แต่รูปร่างของลูกศิษย์หญิงคนนี้ดีมาก ตอนนี้เมื่อเห็นสวี่ชิง นางก็ก้มหน้าโค้งคารวะด้วยใบหน้าแดงก่ำ แล้วรีบร้อนจากไป

สวี่ชิงไม่ได้อยากรู้อยากเห็นเรื่องของจางซาน เมื่อมาถึงกำลังจะเอ่ยปาก จางซานก็ชิงเงยหน้าอย่างได้ใจขึ้นก่อน

“เป็นอย่างไร เสน่ห์ของข้าพอใช้ได้กระมัง”

“เยี่ยมยอดมาก!” สวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยอย่างจริงจัง

เขารู้ว่าทุกครั้งที่ตนแสดงสีหน้าเช่นนี้ล้วนเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นนายกองหรือท่านอาจารย์ล้วนชอบมากทั้งนั้น

จางซานเห็นสีหน้านี้ของสวี่ชิงก็ยิ่งดีใจ ยื่นมือขวาไปหาสวี่ชิง

“เอาออกมาเถอะ ข้าว่าเรือเวทของเจ้าคงระเบิดอีกแล้ว ครั้งนี้ได้เห็นความมีส่วนร่วมของข้าหรือยัง”

สวี่ชิงนึกย้อนครู่หนึ่ง ส่ายหน้า จากนั้นก็เอาเรือเวทออกมา

“ยังไม่เห็นอีกหรือ เป็นไปไม่ได้” จางซานร้อนใจนิดๆ ระหว่างพึมพำก็ปรายตามองเรือเวทที่สวี่ชิงเอาออกมา เขากระจ่างในทันที

“ที่แท้ไม่ได้ระเบิดตัวเองทั้งหมดนี่เอง มิน่าเล่า แต่ว่าสวี่ชิงครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่เลยที่เจ้าเอาเรือเวทที่นับว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์กลับมา ไม่ง่ายเลย ทำแบบนี้ต่อไปนะ” จางซานหัวเราะฮ่าๆ รับเรือเวทของสวี่ชิงมา

“สามวันก็แล้วกัน ข้าจะซ่อมให้เรือเวทลำนี้ของเจ้าเหมือนก่อนหน้านี้เลย แต่ว่า สวี่ชิงเจ้าต้องเร่งความเร็วแล้ว ต้องรีบสะกดวิญญาณไว้ในช่องเวททุกช่อง แบบนี้ถึงจะทำให้เกิดเป็นวิญญาณศัสตรา ทำให้เรือเวทของเจ้ายกระดับขึ้น”

“ข้าถึงขั้นบริบูรณ์แล้ว” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ

“ห๊ะ” จางซานอึ้งตะลึง วิชาที่เขาฝึกบำเพ็ญก็เป็นคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณเหมือนกัน รู้ว่าวิญญาณที่ต้องทำการสะกดในตอนสุดท้ายต้องใช้หนึ่งร้อยยี่สิบดวง ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาและการฆ่าสังหารอย่างมหาศาลถึงจะได้ อีกทั้งเงื่อนไขของวิญญาณยังสูงมากอีกด้วย

ในความทรงจำของเขาสวี่ชิงเหมือนจะเป็นระดับไฟชีวิตสี่ดวงได้ไม่นาน

“เร็วขนาดนี้เชียว”

สวี่ชิงพยักหน้า เปลวไฟทั้งร่างแผ่ออก ช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องพลันปรากฏขึ้นมา เสียงคำรามโหยหวนแต่ละเสียง ดังออกมาจากในช่องเวททั้งหนึ่งร้อยยี่สิบช่องของเขา นั่นเป็นเสียงครวญคร่ำจากวิญญาณที่ถูกเขาสะกด

ในขณะเดียวกับที่แผ่พลังอาฆาตรุนแรงไปทั่วก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังรุนแรงกลุ่มหนึ่ง ทำให้จางซานเมื่อตรวจดูแล้วต้องอึ้งตะลึง

“แบบนี้สามวันไม่พอแล้ว ข้าต้องใช้เวลาเจ็ดวัน เจ็ดวันให้หลังเจ้ามาหาข้าที่นี่ผสานวิญญาณในช่องเวทของข้า และให้ข้าได้เป็นประจักษ์พยานการเกิดขึ้นของเรือศึกเวทด้วย!”

จางซานพูดพลางฮึกเหิมขึ้นมา ในดวงตาแฝงด้วยประกายแวววาว ไม่สนใจสวี่ชิง ถือเรือเวทจากไปอย่างรวดเร็ว เริ่มขบคิดแผนการสร้างเรือ

สวี่ชิงมองแผ่นหลังของจางซาน ประสานหมัดโค้งคารวะสุดตัวแล้วถึงได้จากไป แล้วไปยังสาขาหลักของกรมคุ้มครองพิเศษ เขามีที่พักห้องหนึ่งที่นั่น คิดว่าจะอาศัยอยู่สักเจ็ดวัน

กรมคุ้มครองพิเศษของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง หลักๆ แล้วคือร่วมมือกับกรมเดียวกันจากสำนักอื่นๆ ไปทำภารกิจบางอย่างรอบๆ พันธมิตร

เห็นได้ว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตกลมกลืนไปกับพันธมิตรแล้ว ภารกิจออกไปร่วมมือกับลูกศิษย์สำนักต่างๆ มีจำนวนไม่น้อย จุดนี้สวี่ชิงก็สัมผัสได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ลูกศิษย์สำนักอื่นๆ ในเมืองหลักเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

และลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ไม่ได้อยู่แต่ในเมืองหลักของเจ็ดเนตรโลหิตอีกต่อไป ส่วนมากล้วนไปจับจ่ายซื้อของที่เมืองหลักอื่นๆ กระทั่งว่าคนที่เชี่ยวชาญการค้าขายบางคนยังเปิดร้านในเมืองหลักของสำนักอื่นๆ ด้วย

โดยภาพรวมแล้ว พันธมิตรในวันนี้ จากการเข้าร่วมของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เปลี่ยนมาคึกคักกว่าแต่ก่อน พลังก็แข็งแกร่งขึ้นอีกมาก

ส่วนภารกิจในช่วงนี้หลักๆ แล้วคือรวมอยู่ที่ภูเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา

สวี่ชิงอ่านม้วนเอกสารของสำนักก็ได้รู้ว่าในช่วงนี้เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาเคลื่อนไหวมากกว่าแต่ก่อนมาก เหมือนว่าประชากรหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดรัฐในพื้นที่ของพวกเขาลดลงอย่างร้ายแรง ดังนั้นผู้บำเพ็ญเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาจึงออกไปข้างนอก จะจับรัฐเล็กรัฐใหม่มาทดแทน

การออกล่าข้างนอกเช่นนี้ จะเกิดขึ้นในทุกช่วงระยะหนึ่ง และทุกครั้งในเวลานี้ พันธมิตรก็จะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด มีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง

ส่วนนายกองก็หายไปแล้ว ไม่รู้ว่ายุ่งอะไรอยู่ คนที่หายไปด้วยกันกับเขายังมีอู๋เจี้ยนอูด้วย ทั้งสองคนรวมหัวอยู่ด้วยกัน เหมือนว่าจะทำเรื่องใหญ่อะไร

สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางสำนักโลกันต์ทมิฬแวบหนึ่ง ลังเลเล็กน้อย แล้วดึงสายตากลับไป

นอกจากนั้นกรมคุ้มครองพิเศษยังมีลูกศิษย์อีกจำนวนหนึ่งกำลังออกไปลาดตระเวนแม่น้ำครั้งที่สอง สวี่ชิงกับนายกองไม่ได้เข้าร่วม เป็นลูกศิษย์ดั้งเดิมระดับสร้างฐานไฟชีวิตสองดวงจำนวนหนึ่งของยอดเขาที่ห้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในกรมคุ้มครองพิเศษเป็นคนนำทาง

ดังนั้นคนในกรมคุ้มครองพิเศษสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจึงน้อยกว่าที่ผ่านมา ดูแล้วโล่งไปมาก

สวี่ชิงชอบความเงียบสงบ มองกรมคุ้มครองพิเศษที่เงียบเหงาว่างเปล่า เขารู้สึกว่าไม่เลวเลย ในขณะเดียวกับที่นั่งสมาธิในที่พักของตัวเองก็ขบคิดเรื่องช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด

“ชั่วเวลาระหว่างเป็นตายถึงจะเปิดขึ้น…” สวี่ชิงพึมพำ ในใจเขามีแผนการอยู่แผนหนึ่ง สำหรับการเปิดช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด แผนการนี้เป็นแผนที่เขาขบคิดมาระหว่างทางกลับ

ตอนนี้ยังเป็นเพียงแบบร่าง เขาต้องชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ของแผนการนี้ให้ละเอียด

“อาจจะต้องเพิ่มพลังจากของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต…”

สวี่ชิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างทางกลับนายท่านเจ็ดเคยพูดว่าของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเมื่อสะท้อนบนช่องเวทก็จะเพิ่มพลังให้ สวี่ชิงวางแผนว่าเจ็ดวันหลังจากนี้ เมื่อเรือเวทของตนยกระดับเป็นเรือศึกเวท ก็จะไปยังสถานที่ที่ของวิเศษต้องห้ามของสำนักตั้งอยู่ ไปลองดูที่นั่นสักหน่อย

ในใจสวี่ชิงลังเลเล็กน้อย จะดำเนินแผนการนี้จริงๆ หรือไม่

“ยังไม่ต้องสนใจว่าจะทำหรือไม่ เจ็ดวันหลังจากนี้ไปที่ที่ของวิเศษต้องห้ามของสำนักตั้งอยู่แล้วค่อยว่ากัน”

สวี่ชิงตัดสินใจแล้ว สำหรับช่องเวทช่องที่หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด สวี่ชิงรู้สึกว่าหากเปิดได้ย่อมดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้ก็ใช่ว่าจะรับไม่ได้

ดังนั้น หลายวันต่อจากนั้น เขาก็สงบจิตใจ เวลาเหลือนอกจากฝึกบำเพ็ญแล้วก็วางแผนเปิดช่องเวทของตัวเองให้สมบูรณ์ในสมอง วิเคราะห์ทุกลำดับขั้นตอน

จนผ่านไปเจ็ดวัน ในยามโพล้เพล้ของวันที่เจ็ด สวี่ชิงก็ได้ข้อความสื่อเสียงของจางซาน บอกว่าเรือเวทของเขาซ่อมเสร็จแล้ว

สวี่ชิงเก็บแผ่นหยกสื่อเสียงแล้วลุกขึ้น เดินออกไปจากกรมคุ้มครองพิเศษ

“พรุ่งนี้ไปที่ที่ของวิเศษต้องห้ามของสำนักตั้งอยู่” สวี่ชิงตัดสินใจในใจ หลังจากเดินออกไป เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า

นี่เป็นเวลาพลบค่ำอีกวันหนึ่ง เหมือนกับวันใดวันหนึ่งเมื่อในอดีตที่ผ่านมา ล้วนแต่ประกายแสงสีแดงพร่างพรายทั่วฟ้า ทำให้ท้องฟ้าแดงฉานไปทั้งผืน เสี้ยวหน้าเทพเจ้าที่สูงส่งก็ถูกสาดแสงทอประกายแสงสีแดง

เหมือนแสงเลือด

สวี่ชิงดึงสายตากลับมา

ไม่รู้ทำไม เขาอกสันขวัญแขวนหน่อยๆ ความรู้สึกนี้ไม่เคยมามาก่อน วันนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้เขาจิตใจไม่เป็นสุขอย่างแปลกประหลาด

แต่กลับหาต้นกำเนิดไม่เจอ

สวี่ชิงพึมพำ พุ่งตรงไปยังกรมขนส่ง หลังจากที่มาถึงอย่างรวดเร็ว เขาก็เห็นเรือเวทไร้หน้าลำนั้นของตัวเอง

รูปร่างไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อก่อน แต่ด้านรายละเอียดมีจุดที่ต่างออกไป ในขณะเดียวกับที่คุณสมบัติเทพเข้มข้นอย่างเห็นได้ชัด ในเรือเวทลำนี้ก็มีอักขระค่ายกลพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกมาก

“พวกนี้ล้วนเพื่อเป็นการเตรียมการให้วิญญาณศัสตราที่ก่อตัวขึ้นต่อจากนี้ของเจ้าเพิ่มพลังให้กับเรือเวทลำนี้ได้ดียิ่งขึ้น ไม่แนะนำอะไรกับเจ้าให้มากความแล้ว สวี่ชิงตอนนี้เจ้าผสานวิญญาณที่สะกดในช่องเวททั้งหนึ่งร้อยยี่สิบดวงทั่วร่างตามวิธีของคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณเข้าไปในเรือลำนี้!”

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ไม่ลังเลใดๆ ช่องเวทหนึ่งร้อยนี่สิบช่องในร่างเปิดออกทันที ประดุจภูเขาไฟหนึ่งร้อยยี่สิบลูกปะทุในร่างของเขา

ในขณะที่พลังเวทพวยพุ่ง เปลวเพลิงก็ลุกโหมท่วมฟ้า อุณหภูมิก็ร้อนระอุเป็นอย่างยิ่งทันที

สวี่ชิงที่อยู่ในเปลวเพลิงนั่น รอบๆ เขาบิดเบี้ยว พื้นดินแตกระแหงสั่นสะเทือน คลื่นความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทิศ จางซานสูดลมหายใจถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวนอยู่เล็กน้อย

สวี่ชิงในตอนนี้แผ่พลังอำนาจกดดันที่ทำให้จิตใจของเขาไม่มั่นคง ลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาก็เจ็บปวด

“แข็งแกร่งเหลือเกิน!!”

จางซานจิตใจเกิดคลื่นซัดกระหน่ำ สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น สองมือประสานปางมือเปลี่ยนไปไม่หยุด เร็วขึ้นเรื่อยๆ

อาศัยตราประทับ เขาทำตามวิธีของคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ ค่อยๆ ดึงวิญญาณที่สะกดเอาไว้ในช่องทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบดวงออกมาครึ่งหนึ่งทุกดวง แผ่ออกมารอบกาย ก่อเป็นเงาวิญญาณขนาดมหึมาดวงหนึ่ง

ใบหน้าของเงาวิญญาณเหี้ยมเกรียม ทั้งร่างมีใบหน้ามากมายปรากฏขึ้น เสียงโหยหวนดังก้อง พลังอาฆาตแผ่อวลไปทั่วสารทิศ

ตราประทับปางมือที่ทั้งสองมือสวี่ชิงพลันเปลี่ยนไป เพลิงดำแผ่มาทันที ปกคลุมเงาวิญญาณดวงนี้เอาไว้ เหมือนสวมเกราะให้มัน

ภายใต้เกราะนี้ เสียงโหยหวนและพลังอาฆาตของเงาวิญญาณถูกสะกดทันที จากนั้น มือขวาของสวี่ชิงก็ยกขึ้นแล้วชี้ไปที่เรือเวท ทันใดนั้น เงาวิญญาณเหี้ยมเกรียมก็ลอยขึ้นแล้วพุ่งตรงไปยังเรือศึกเวท

จางซานรีบสนับสนุนอยู่ข้างๆ กระตุ้นพลังเรือเวท ทันใดนั้น เรือเวทส่งเสียงวู้มขึ้นมา ในเสี้ยวพริบตาที่เงาวิญญาณนั่นปะทะเข้ากับมันก็ส่องประกายแสงเจิดจ้าพร่างพราว แม้แต่บรรพจารย์สำนักวัชระยังถูกดึงดูด ซ่อนตัวอยู่ในเหล็กแหลม คอยจับตามองอย่างใกล้ชิด

อย่างไรเสีย นี่คือวิญญาณศัสตราชิ้นที่สองข้างกายจอมมารสวี่ เขาไม่ให้ความสำคัญและไม่วิเคราะห์ภัยคุกคามที่อีกฝ่ายสร้างให้กับตนไม่ได้

เพียงพริบตา เงาวิญญาณก็ผสานไปในเรือเวทโดยสมบูรณ์ เรือเวทลำนี้เพียงสั่นคลอน เสี้ยวขณะต่อมา หัวเรือไร้หน้าพลันรางเลือน สุดท้ายก็ก่อเป็นใบหน้าเหี้ยมเกรียมดวงหนึ่ง

เป็นหน้าของเงาวิญญาณนั่นนั่นเอง

ความเชื่อมโยงที่ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับเรือเวทผสานมาในใจสวี่ชิง เขาสะท้านเฮือก มีความรู้สึกเหมือนว่าเรือเวทลำนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

ความเข้าใจในเรือเวทก็ครบสมบูรณ์ทุกด้านในเสี้ยวขณะนี้ ลำพังเพียงแค่เรื่องนี้ก็ทำให้ในเรื่องการควบคุมเรือเวทของเขามีพลังมากกว่าแต่ก่อนหลายส่วน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลังจากผสานเงาวิญญาณ พลังกดดันที่เหนือระดับสร้างฐานจากการเปิดออกโดยสมบูรณ์ของค่ายกลในเรือเวท เป็นของแก่นลมปราณกลุ่มหนึ่งก็ปะทุมาจากเรือเวท

ตอนนี้มันไม่ใช่เรือใหญ่เวทอีกต่อไป แต่เป็นเรือศึกเวท!

ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกาย จางซานอยู่ข้างๆ สีหน้าก็ตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุดไปเช่นกัน

“สำเร็จแล้ว!”

ขณะเดียวกัน ในยามแสงพรายยามเย็นสาดทอ ในเมืองหลักสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าแห่งพันธมิตรแปดสำนัก ในหมู่ผู้คนสัญจรไปมาบนถนน ก็มีเงาร่างสองร่างเดินไปข้างหน้าอย่างช้าเนิบ

สองคนนี้คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งอยู่ข้างหลัง เหมือนนายกับบ่าว ทั้งสองต่างสวมชุดคลุมยาวสีดำพร้อมหน้ากากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าที่กลิ่นอายชวนให้อกสั่นขวัญหาย

“เป็นเมืองใหญ่ที่คึกคักดีจริง นกเขาราตรี การแสดงจะเริ่มแล้วหรือยัง” คนที่อยู่ข้างหน้า เสียงหนุ่มแน่นนัก หัวเราะพลางเอ่ยพูด

“นายท่าน คนผู้นั้นตอบกลับมาแล้ว การแสดงใกล้จะเริ่มแล้วขอรับ” คนชุดดำที่อยู่ข้างหลังตอบอย่างเคารพนอบน้อม

แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่นกเขาราตรีตอบออกไป…นอกพันธมิตรแปดสำนัก แม่น้ำสาขาแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพยิ่งใหญ่ไพศาลเส้นนั้น น้ำในแม่น้ำที่แต่เดิมใสสะอาดจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเสี้ยวพริบตานี้

ดำสนิทไปทั่วทั้งสาย!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท