ตอนที่ 747 ผู้สื่อสารกับสิงโต
“รถมาแล้ว พวกคุณขึ้นรถได้ค่ะ” ฟางฟางยืนอยู่หน้าร้านขายยาตะโกนเรียกพวกโกวซินทั้งสามคนที่ยืนอยู่ข้างใน รถออดี้คันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าร้านขายยาบีบแตรสองครั้ง
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก” พวกโกวซินทั้งสามคนพูดขอบคุณฟางฟางขณะขึ้นรถ เสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋นั่งอยู่ข้างหลัง โกวซินนั่งตรงตำแหน่งข้างคนขับ หลังจากนั่งดีแล้ว โกวซินจึงหันหน้ามาพูดว่า “ลุงคนขับรถ ไปสถานีรถไฟครับ…อ๋า!”
“สถานีรถไฟใช่ไหม ไม่มีปัญหา นั่งดีๆ นะ จะขับ…”
‘แกรก!’ ประตูรถถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว โกวซินตอบสนองไวที่สุด เปิดประตูรถลงจากรถโดยตรง เขาไม่กล้านั่งรถของนักพรตเฒ่า นั่งรถของอีกฝ่ายครั้งที่แล้ว ตัวเขาที่อยู่ในรถถูกระเบิดลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังจำความรู้สึกตอนที่ถูกไฟเผาขณะหมุนติ้วอยู่กลางอากาศได้อยู่เลย
เพียงแต่คนทั่วไปก่อนที่จะลงจากรถ อันที่จริงต้องระวังมองกระจกรถข้างหลังหรือไม่ก็ดูข้างตัวว่ามีรถผ่านมาหรือเปล่า เพื่อป้องการความปลอดภัยให้ตัวเอง ขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกันความปลอดภัยของผู้อื่นด้วย ทว่าโกวซินลงจากรถไวเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีเวลามองดูข้างหลังก่อนจะเปิดประตู เขาเพิ่งจะจับไม้เท้าลงจากรถ ก็ได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังมาจากข้างหลัง ถึงแม้ร่างกายจะบาดเจ็บสาหัส กระดูกที่หักยังไม่หายดี และยังมีแผลที่ถูกไฟเผาขนาดใหญ่อยู่ แต่สัญชาตญาณของโกวซินยังอยู่ เขาพิงตัวเข้ากับตัวรถของนักพรตเฒ่าทันที คลาดกันกับรถคันหลังที่เหยียบเบรกไม่ทันพอดี
ทว่าในเวลานี้ ประตูรถที่ถูกเขาปิดเมื่อครู่ถูกผลักออกจากด้านใน โกวซินที่ตัวติดกับประตูรถพอดีรู้สึกเหมือนตัวเองเด้งออกจากประตูรถ ร่างกายเริ่มเอนไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
นักพรตเฒ่าผลักประตูรถออก ตะโกนว่า “ขึ้นรถสิ ไม่ต้องเกรงใจ!”
จากนั้น ‘ปึ้ง!’ โกวซินถูกกระโปรงหน้ารถของรถคันหลังชนเข้าอย่างจัง ทั้งตัวเหมือนลูกข่างหมุนลอยกระเด็นออกไป กระแทกกับหน้ารถของนักพรตเฒ่าอีกครั้ง จากนั้นก็กลิ้งตกลงมาดัง พลั่ก!’ กระแทกไปบนพื้นอย่างแรง ศีรษะกระแทก สลบไม่ได้สติ
ฟางฟางยืนหาวอยู่หน้าร้านขายยายังไม่ได้เข้าไปเห็นฉากนี้พอดี ดวงตาเป็นประกายทันที! รีบตะโกนว่า “เร็วเข้ารีบไปช่วยทำผลงาน ไปช่วยกันทำผลงานเร็ว! ไม่ใช่ๆ รีบไปช่วยคน รีบไปช่วยคนด่วน!” ฟางฟางร้องเรียกด้วยความตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก เหมือนเจอเหมืองทองแห่งหนึ่งบนท้องถนน จึงรีบเรียกเพื่อนไปขุด!
นักพรตเฒ่าลงจากรถ เสี่ยงเฮยกับเสี่ยวไป๋ก็ลงจากรถ โกวซินถูกชนกระดูกหักหลายส่วน และยังมีเนื้อเยื่ออ่อนมากมายที่ฟกช้ำบาดเจ็บ กล่าวโดยสรุปก็คือกอาการสาหัสมาก
แต่สิ่งที่ควรค่าให้ชื่นใจคือ เขาเกิดอุบัติเหตุหน้าร้านขายยา การช่วยเหลือชีวิตจึงสามารถทำได้ทันที แม้แต่โทรศัพท์ยังไม่ต้องโทรก็ถูกส่งไปในห้องฉุกเฉินแล้ว
“คุณขับรถประสาอะไร”
“ผมต่างหากที่ต้องถามคุณ ว่าพวกคุณเปิดประตูรถประสาอะไร!”
“ไร้สาระ คุณไม่รักษาระยะปลอดภัย!”
“ผมไม่ได้ไล่ตามท้ายรถ พวกคุณต่างหากที่เปิดประตูไม่มองข้างหลัง”
นักพรตเฒ่ากับคนขับรถที่ขับชนโกวซินเริ่มปะทะน้ำลายใส่กัน สุดท้ายจึงโทรหาตำรวจจราจร เพื่อให้ตำรวจจราจรจัดการเรื่องนี้ หลังจากโทรเสร็จ สรุปรูปคดีชัดเจนแล้ว นักพรตเฒ่าจึงลูบศีรษะของตัวเอง อยากไปหาเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ แต่กลับพบว่าไม่เห็นพวกเขาแล้ว
“พวกเขาไปแล้ว บอกว่ารอพี่ใหญ่ของตัวเองหายดีแล้วจะมารับเขา” ฟางฟางเป็นฝ่ายพูดกับนักพรตเฒ่า
“เฮ้อ สังคมเริ่มแย่เข้าทุกวัน แย่เข้าทุกวันจริงๆ คนพวกนี้ ไม่ใช่พี่น้องกันมากพอ” นักพรตเฒ่าพูดด้วยความเบื่อหน่ายพลางคิดว่าตัวเองยังมีธุระต่อ และขี้เกียจสนใจโกวซินที่กำลังถูกช่วยชีวิต จึงขับรถไปซื้อวัสดุที่ตลาด
…
เวลาพลบค่ำ โจวเจ๋อกับอิงอิงลงมาข้างล่างพร้อมกัน ช่างซ่อมบ้านสองสามคนกำลังเก็บของ งานตกแต่งซ่อมแซมเสร็จแล้ว นักพรตเฒ่าจึงยื่นบุหรี่ให้แล้วส่งพวกเขากลับไป
ช่างซ่อมบ้านรู้สึกเหมือนได้รับความโปรดปราน น้อยมากที่จะได้เจอนายจ้างที่งานเสร็จแล้วก็ยังเป็นกันเองเช่นนี้ นักพรตเฒ่าพลางคิดในใจ ไม่ว่าอย่างไรหลังจากนี้ในบ้านมีงานที่ต้องการพวกเขาอีกหลายส่วน ดังนั้นจึงควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้ก่อน
ซ่อมพื้นกลับมาสภาพเดิมแล้ว โจวเจ๋อนอนบนโซฟา อิงอิงชงน้ำชาหนึ่งถ้วยแล้วเอามาเสิร์ฟ
“เถ้าแก่ ชงด้วยน้ำชนิดนั้นเจ้าค่ะ”
โจวเจ๋อพยักหน้า ยกถ้วยน้ำชาขึ้นม ดื่มหนึ่งคำ รสชาติสดชื่นเป็นอย่างมาก ใบชาในร้านหนังสือเป็นใบชาทั่วไปเพราะในร้านหนังสือไม่มีใครคุ้นชินกับการดื่มชายกเว้นนักพรตเฒ่า และรสนิยมของนักพรตเฒ่าก็เป็นรสนิยมของคนส่วนใหญ่ที่ค่อนไปทางติดดิน แต่น้ำชาที่มาจากการต้มด้วยน้ำเถาวัลย์ รสชาติถูกยกระดับขึ้นหลายเท่า แม้แต่โจวเจ๋อที่ไม่ค่อยดื่มน้ำชาก็ยังรู้สึกว่ารสชาติไม่เลว
“อืม หอมมาก”
ทนายอันเดินเข้ามา ยื่นจมูกเข้ามาดมแล้วเอ่ยว่า “นี่คือน้ำชาที่ชงจากปัสสาวะของเดดพูลเหรอ”
โจวเจ๋อขมวดคิ้ว วางถ้วยน้ำชาลง
“อ้าว เถ้าแก่ ขอโทษ ผมเลือกใช้คำไม่ดี” ทนายอันนั่งลงตรงข้ามโจวเจ๋อ
“ไม่เป็นไร” โจวเจ๋อหันหน้ามองอิงอิงที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ “กาแฟวันนี้ของทนายอัน เพิ่มเป็นสองเท่า”
“ได้เลยเจ้าค่ะ เถ้าแก่”
ทนายอันได้ยินดังนั้นแล้วดีใจเป็นอย่างมาก หยิบโทรศัพท์ออกมา กล่าวว่า “เถ้าแก่ ร่างกายของคุณตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดีนะ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีปัญหา”
ทนายอันพยักหน้า พลางคิดในใจ เมื่อวานทั้งๆ ที่ถูกอัดยับขนาดนั้น แต่กลับทำให้ร่างกายดีขึ้น นี่คือตำนานที่เรียกว่า กวนประสาทใช่ไหม
แน่นอนว่าคำบ่นเหล่านี้ได้แต่คิดในใจเท่านั้น “อย่างนั้นผมจะจองตั๋วเครื่องบินไปหรงเฉิงหลังจากนี้หนี่งสัปดาห์”
“จองเถอะ”
“ได้เลย ครั้งนี้ผมไปไม่ได้ ทางนั้นผมจัดการเรียบร้อยแล้ว ผมจะอยู่ที่นี่กับนักพรตเฒ่าคอยดูการตกแต่งซ่อมแซมร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ทั้งสองชั้นให้เรียบร้อย ให้อิงอิงกับเด็กคนนั้นไปกับคุณก็แล้วกัน”
กลุ่มเดียวกันมีคนหลากหลายประเภทหลากหลายความคิด ในกลุ่มเล็กๆ ก็ต้องมีกลุ่มน้อยเป็นของตัวเอง ทนายอันในเวลานี้ จริงๆ แล้วกำลังช่วยหาข้อได้เปรียบที่ดีให้กับคนนอนเคียงหมอนของตัวเอง
โจวเจ๋อได้ยินดังนั้น ไม่ได้คัดค้าน ถือว่ายอมรับการจัดการนี้แล้ว
“แค่กๆ…” ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา แล้วเป่า จากนั้นดื่มสองสามคำ ลึกๆ ในใจนั้นเขาไม่ค่อยได้รับผลกระทบมากมายนักจากคำพูดแซวของทนายอันเมื่อครู่นี้
“กินข้าวได้แล้ว” สวี่ชิงหล่างที่ใส่ผ้ากันเปื้อนเดินออกมา “เย็นนี้เป็นอาหารไทย พวกเราลองเปลี่ยนรสชาติกัน”
เวลาอาหารเย็น ท้องฟ้าส่วนใหญ่มืดลงแล้ว สาวน้อยโลลิหมดธุระที่ร้านหนังสือแล้วจึงกลับบ้าน ยมทูตสามคนที่อยู่ร้านขายยาข้างๆ ก็ทยอยกันกลับ เพียงแต่ทักทายกับทนายอันเท่านั้น ไม่ได้เข้ามาบอกลาโจวเจ๋อที่เป็นผู้จับกุมด้วยตัวเอง
ไม่ใช่เพราะไม่เคารพ แต่รู้สึกเกรงใจมากกว่า ทั้งๆ ที่มาช่วยต่อสู้แท้ๆ ผลปรากฏว่าไม่ได้เจอแม้แต่หน้าของศัตรูก็มาล้มลงเสียก่อนแล้ว แถมยังต้องลำบากท่านผู้จับกุมของตัวเองออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้พวกเขาอีก
‘กริ๊งๆๆ กริ๊งๆๆ…’ เสียงกระดิ่งดังมาจากข้างนอก โจวเจ๋อหันไปมอง พบว่ามีชายชราหนวดขาวใส่เสื้อสูทจงซานสีเข้มคนหนึ่ง เดินกระโดดโลดเต้นด้วยท่าทางแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งมาที่ประตูใหญ่ของร้านหนังสือ ข้อมือของชายชราผูกกระดิ่งอันหนึ่งไว้ ส่งเสียงดังกังวานขณะเดินเข้ามา
“งานมาแล้ว ใครไปต้อนรับหน่อย” โจวเจ๋อพูดจบ พบว่าทั้งร้านหนังสือนอกจากตัวเองแล้ว ดูเหมือนจะไม่มียมทูตที่ปกติอยู่สักคน แต่จะทำอย่างไรได้ เขาจึงได้แต่วางตะเกียบลง
นักพรตเฒ่าเดินออกจากโต๊ะกินข้าวเช่นกัน ไปเปิดประตูต้อนรับลูกค้า ชายชราเสียชีวิตในวัยนี้ จึงมีหัวข้อสนทนาร่วมกับนักพรตเฒ่ามากที่สุด
สวี่ชิงหล่างลุกขึ้นเหมือนกัน เตรียมของประเภทเครื่องดื่มและเหล้า ห้องส่วนตัวถูกตระเตรียมอย่างรวดเร็ว ชายชราคนนั้นยกมือสองข้างขึ้นไปข้างบนอย่างเคลิบเคลิ้มต่อไป กระโดดไม่หยุด กระโดดโหยงเหยงเข้าไปในห้องส่วนตัว ต่อให้เป็นเวลานั่ง ก็ยังใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบเก้าอี้ และมืออีกข้างหนึ่งยันอยู่บนโต๊ะ
“นี่คือพิธีกรรมอะไร” สวี่ชิงหล่างถาม
“การเชิดสิงโต” โจวเจ๋อตอบ
“อ้อ เหมือนจริงๆ” สวี่ชิงหล่างเข้าใจทันที หลังจากวางเหล้าหมักแล้ว เขาจึงเดินออกไปกินข้าวต่อ
“พี่น้อง ดื่มกินให้เต็มที่ แล้วไปสู่สุคติ” นักพรตเฒ่ารินเหล้าหนึ่งแก้วให้ชายชราด้วยตัวเอง
ชายชรายื่นมือหยิบถั่วลิสงขึ้นมาสองสามเม็ด แล้วใส่เข้าปาก จากนั้นหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่ม ‘อึกๆ’ รวดเดียวหมดแก้ว จากนั้นจึง ‘เดาะปาก’ เสียงดัง
“ฮ้า!” ชายชราหลังจากกินเข้าไปนิดหน่อยแล้วก็ลงจากโต๊ะ ชูสองมือขึ้นมา นั่งลงยองๆ แล้วเริ่มเชิดสิงโตต่อไป
สามารถมองออกว่า เขาชอบศิลปะแขนงนี้เป็นอย่างยิ่ง และถึงแม้จะตายแล้ว ก็ยังวางไม่ลงจริงๆ
“เสียดาย รู้อย่างนี้จะได้หยิบกระดาษมาทำเป็นสิงโตไว้ เพื่อให้เขาได้แสดงให้พวกเราดูสักหน่อย”
นักพรตเฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียดาย เพราะขอแค่ไม่โง่ก็มองออกว่า ชายชราที่อยู่ตรงหน้าน่าจะเป็นปรมาจารย์เชิดสิงโตคนหนึ่ง
“โอเค น้ำซุปเย็นแล้ว ผมจะส่งคุณไปลงนรก” โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว นิ้ววาดเป็นวงกลม ประตูนรกถูกเปิด ขณะที่โจวเจ๋อยื่นมือจะจับชายชรา จู่ๆ ชายชราก็โน้มตัว นิ้วมือหนึ่งวางที่ริมฝีปาก สายตาสำรวจมองไปรอบๆ แล้วพูดเสียงทุ่มต่ำว่า “ชู่ว์!!!!”
“คุณตาครับ ต้องเดินทางแล้ว” โจวเจ๋อขี้เกียจเล่นด้วย อืมๆ สรรพสิ่งมีความเสมอภาค ใครมาที่นี่ก็ต้องเดินทางครั้งสุดท้าย
“ผมจะบอกความลับกับพวกคุณ งานวัดวันมะรืน จะมีคนตาย! จะมีคนตายเยอะมาก! ราชาสิงโตจะออกมาออกมากินคน! จะกินคน! กินคนเข้าไป!”
นักพรตเฒ่าได้ยินดังนั้น สีหน้าเปลี่ยนทันที จากนั้นมองโจวเจ๋อ เพราะคำพูดเหล่านี้ มักจะทำให้คนรู้สึกจิตใจว้าวุ่นจริงแท้
และงานวัดทงเฉิงจะจัดขึ้นวันมะรืนจริงๆ คำพูดของชายชราไม่เหมือนพูดไปเรื่อยเปื่อย อีกทั้งพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของชายชราหลังจากที่เข้ามาในร้านหนังสือ อันที่จริงสามารถขับดุนความไม่ธรรมดาของเขาให้เด่นขึ้น เขาน่าจะเป็นคนทั่วไป แต่ในบรรดาคนทั่วไป ก็มีคนที่มีความสามารถพิเศษอยู่
ใครจะไปรู้ว่าโจวเจ๋อจะยื่นมือจับชายชราคนนี้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด พลางเอ่ยว่า “ยังดีที่เหล่าจางไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นเขาต้องยุ่งเรื่องคนอื่นอีกแน่นอน เขาสนใจก็ไม่เป็นไร แต่ต้องมากวนพวกเราให้ออกไปสืบกับเขาแน่นอน”
เถ้าแก่โจวไม่อยากสนใจเรื่องยุ่งพวกนี้ ถือเสียว่าตัวเองไม่ได้ยิน และยังไม่พูดถึงว่าชายชราคนนี้เลอะเลือนไหม ถึงแม้จะกลายเป็นผีก็หมกมุ่นจนหลงผิดได้ ถ้าหากนี่คือเรื่องล้อเล่น ตัวเองยังต้องไปสืบไหม
ใครจะรู้ว่าตอนที่เพิ่งสิ้นเสียงของโจวเจ๋อ เสียงดังสดใสของจางเยี่ยนเฟิงดังเข้ามาจากนอกห้องส่วนตัว “โอ้ว มาได้เวลาพอดี พวกคุณกำลังกินข้าวเหรอ!”
……………………………………………………………………….