บทที่ 370 พิราบครองรังสาลิกา[1]
สวีเสี่ยวเฉียนใช้เวลาเกือบหนึ่งวันไปกับการอ่านต้นฉบับที่ไป๋เยี่ยส่งมาให้เขาอย่างตั้งใจ ตอนแรกเขาเองก็เกรงกลัว แต่ภายหลังมันกลับกลายเป็นความแปลกใจและปีติยินดี!
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ก็เพราะหลังจากที่เขาได้อ่านสิ่งที่ไป๋เยี่ยเขียน เขาก็ตื่นตาตื่นใจมาก สิ่งที่ไป๋เยี่ยเขียนนั้นเกินกว่าความรู้ที่เขามีในปัจจุบัน จนเขารู้สึกว่าความสามารถของไป๋เยี่ยสูงกว่าเขายิ่งนัก
นั่นทำให้เขายิ่งหวาดกลัว ช่างเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ!
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สวีเสี่ยวเฉียนลองคิดดูใหม่ เขากลับมีความสุขมากขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะว่ายิ่งไป๋เยี่ยเก่งมากเท่าใด ผลงานของเขาก็ยิ่งดีมากเท่านั้น ตอนนี้ไป๋เยี่ยเป็นแค่เลขาของเขา ส่วนเขาเป็นหัวหน้า
ถึงไป๋เยี่ยจะมีความสามารถก็ไม่ได้น่ากลัว เพราะสุดท้ายแล้วไป๋เยี่ยก็ต้องรับใช้เขาอยู่ดี
คนไม่มีภูมิหลังจะไปทำอะไรได้ ต่อให้มีความสามารถมากแค่ไหน สังคมไม่เคยขาดแคลนคนเก่ง ขาดแต่โอกาสเท่านั้น
สวีเสี่ยวเฉียนจะให้โอกาสนี้ก็ไป๋เยี่ยได้ ขอแค่ไป๋เยี่ยเชื่อฟังเท่านั้น
เนื้อหาการแพทย์ฉุกเฉินทำให้สวีเสี่ยวเฉียนยิ่งเกิดแนวคิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าองค์ความรู้นี้มีความพิเศษมาก หลังจากที่เขาลองนำมันไปค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็ไม่พบเนื้อหาที่คล้ายกันเลย
นั่นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่าสวีเสี่ยวเฉียนจะรวยแล้ว!
ถ้าเขาเป็นคนค้นพบองค์ความรู้นี้ด้วยตนเอง มันจะหมายความว่าอย่างไร
สวีเสี่ยวเฉียนนึกถึงสิ่งนี้แล้วหัวใจของเขาก็พลันเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น!
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ทีมกู้ภัยฉุกเฉินก็ได้เริ่มการฝึกอบรม ไป๋เยี่ยเริ่มบรรยายและฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามถึงสี่ชั่วโมงทุกวัน ซึ่งคนพวกนี้ล้วนมาจากโรงพยาบาลทหารทั้งนั้น
การมีทักษะทางการแพทย์และมีพื้นฐานทางการทหารย่อมเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการคัดเลือก
ผู้คนกว่าสองร้อยคนทุ่มเทเพื่อเข้าร่วมการฝึกทหารในอีกหนึ่งเดือนกว่าอย่างมาก พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องฝึกทหารภายใต้การนำของเฉินจวิน แต่จะต้องเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์ด้วย
ทุกคนต่างเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น อย่างไรเสียการได้เข้าร่วมในทีมนี้ก็ถือเป็นโอกาสในสายตาคนนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการทดลองของเฉินเจิ้นปั่ง แต่ถ้าทำสำเร็จ พวกเขาก็จะกลายเป็นแบบอย่างให้คนอื่นๆ
หากกองทัพนำแบบแผนนี้ไปใช้ พวกเขาก็จะได้เป็นต้นแบบและย่อมได้รับคำชมเชยอย่างแน่นอน อีกทั้งหากในอนาคตกองทัพให้การส่งเสริมแบบแผนนี้ล่ะก็ ย่อมเป็นเวลาที่พวกเขาจะได้ชุบตัวเสียที
ทุกคนทำงานหนัก ส่วนไป๋เยี่ยก็เอาใจใส่มากเช่นกัน
หลังจากที่ไป๋เยี่ยอบรมเสร็จแล้ว สวีเสี่ยวเฉียนก็ลากไป๋เยี่ยมาพูดคุยด้วยท่าทีตื่นเต้น “เสี่ยวเยี่ยทำงานหนักมากเลย แต่ละวันต้องไปสอนตั้งนานแน่ะ ไว้จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ ผมจะสรรเสริญคุณแน่นอน”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “เกรงใจหัวหน้าสวี่มากเลยครับ นี่เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
สวีเสี่ยวเฉียนยิ้ม เขาลูบคางตนเองพลางครุ่นคิด รู้ก็ดีแล้ว เด็กนี่ก็ใช้ได้นี่หว่า
เขามองไป๋เยี่ยด้วยความพึงพอใจและยิ่งรู้สึกซาบซึ้ง “เอางี้แล้วกันเสี่ยวเยี่ย เรื่องโรงพยาบาลสนามน่ะพักไว้ก่อน ผมว่าคุณก็คงเหนื่อยแล้ว ถ้างั้นผมจะช่วยคุณอบรมเอง ไม่งั้นคุณก็จะเหนื่อยอยู่คนเดียว ผมได้ยินมาว่าคุณก็กำลังเรียนอยู่นี่ อย่ามาเสียเวลาตรงนี้เลย”
สวีเสี่ยวเฉียนพูดจบก็หยิบหนังสือออกมาจากลิ้นชักและยื่นให้ไป๋เยี่ย “สองวันก่อน ผมสั่งพิมพ์หนังสือเล่มนี้ไปทั้งหมดสามร้อยเล่ม เป็นหนังสือสำหรับการฝึกอบรมครั้งนี้ ผมแก้ไขมันไปนิดหน่อยนะ”
ไป๋เยี่ยหยิบหนังสือขึ้นมา และเมื่อเขาดูหน้าปกก็แอบหลุบยิ้มเล็กน้อย
บนหน้าปกเขียนว่า ‘บรรณาธิการ: สวีเสี่ยวเฉียน รองบรรณาธิการ: ไป๋เยี่ย’
ไป๋เยี่ยกยิ้ม เขาเปิดหนังสือเล่มนั้นอ่าน โดยพื้นฐานแล้วมันคือสิ่งที่เขาเขียนไว้ตอนแรก ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันมากนัก
“ถ้าหัวหน้าสวี่คิดว่าโอเคแล้ว ผมก็โอเคครับ ขอบคุณที่ช่วยดูนะครับ ถ้ามีเขียนผิดตรงไหนก็รบกวนหัวหน้าสวี่แก้ไขให้ผมด้วย”
สวีเสี่ยวเฉียนหัวเราะเบาๆ “อ้อ เสี่ยวเยี่ย ถ้าช่วงนี้คุณมีเวลาก็ทำเวอร์ชั่นผู้สอนด้วยนะ ยังไงคุณก็เป็นคนบรรยายแต่แรก ถ้าผมไปบรรยายแล้วมันไม่ตรงกัน คงตลกน่าดู”
ในที่สุดไป๋เยี่ยก็เข้าใจแล้วว่าสวีเสี่ยวเฉียนก็แค่อยากใช้งานเขาเท่านั้น สวีเสี่ยวเฉียนต้องการผลงาน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือการบรรยาย เขาก็ต้องขอเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
ก็เหมือนกับหนังสือเรียนที่เคยใช้เมื่อตอนยังเด็ก จะมีทั้งหนังสือฉบับนักเรียนและคุณครู ฉบับคุณครูจะมีคำอธิบายและมีรายละเอียดเยอะกว่า ในขณะที่ฉบับนักเรียนไม่ค่อยมีอะไร
ทว่าไป๋เยี่ยไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะว่าเขาจดสิทธิบัตรให้กับทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้แล้ว หลังจากเขากลับมาที่ประเทศจีน เขาก็ขอให้อาคามอสขอสิทธิบัตรสองฉบับให้กับแนวปฏิบัติทางการแพทย์ฉุกเฉินที่เขารวบรวมไว้ ซึ่งฉบับหนึ่งเป็นสิทธิบัตรในประเทศ และอีกฉบับเป็นสิทธิบัตรนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในประเทศมีสำนักงานสิทธิบัตรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คิวการอนุมัติจึงยาวมาก ทว่าอาคามอสจะเป็นคนจัดการเรื่องสิทธิบัตรนานาชาติให้ ซึ่งอนุมัติได้ง่ายกว่ามาก และตอนนี้ใบรับรองสิทธิบัตรก็อยู่ในมือเขาแล้ว
ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงไม่สนใจสวีเสี่ยวเฉียนที่กำลังทำตัวเป็นนกพิราบครองรังสาลิกา เพราะตอนนี้เขามีใบรับรองสิทธิบัตรอยู่กับตัวแล้ว ดังนั้นไม่ว่าเขาจะประดิษฐ์คำพูดสวยหรูมาอย่างไรก็ล้วนไม่มีประโยชน์
ส่วนเรื่องผลประโยชน์ในกองทัพ ไป๋เยี่ยคิดว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เขาแค่ต้องการทำภารกิจฝึกอบรมทีมกู้ภัยให้สำเร็จเท่านั้น
ส่วนสวีเสี่ยวเฉียนก็แค่ปล่อยให้เขามีความสุขไป
ไป๋เยี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนหัวหน้าสวี่ด้วยครับ ผมเชื่อในความสามารถของคุณ ถ้าคุณบรรยายด้วยตนเองได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ช่วงนี้ผมก็เตรียมแบบร่างไว้แล้ว คุณก็ลองพิจารณาดูนะครับ ถ้าเราสอนไม่ตรงกันก็อาจจะถูกคนว่าไม่ดีได้ สำคัญที่สุดคือถ้าภารกิจของเราล้มเหลวคงไม่ดีแน่”
สวีเสี่ยวเฉียนยิ่งมองไป๋เยี่ยก็ยิ่งชอบใจ เขาเอ่ย “ผมชื่นชมคุณมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ คุณยังอายุน้อยแต่มีอนาคต ทั้งยังรู้จักถ่อมตัว ผมทำให้ได้อยู่แล้ว! ใช่แล้ว เสี่ยวเยี่ย หลังเรียนจบคุณวางแผนจะทำอะไรเหรอ จะอยู่ที่ปักกิ่งต่อหรือไปที่ไหน”
ไป๋เยี่ยชะงักไป นี่เขากำลังแอบสืบอยู่ใช่ไหม
“ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยครับ แต่ก็คงอยู่ปักกิ่งนั่นแหละ”
สวีเสี่ยวเฉียนพึมพำ “โอเค งั้นก็สู้ๆ นะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาผมได้ หัวหน้าสวี่ของคุณก็อยู่ที่ปักกิ่งนี่แหละ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ฝากด้วยครับ หัวหน้าสวี่”
และเพราะเหตุนี้เอง ไป๋เยี่ยและสวีเสี่ยวเฉียนจะผลัดกันรับหน้าที่บรรยายระหว่างการฝึกอบรบในวันต่อๆ ไป เนื้อหามีไม่มากนักและค่อนข้างคล้ายกัน ทว่าผลลัพธ์กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นผ่านผู้ที่เข้าร่วมการอบรม พวกเขาไม่เคยมีทัศนคติเหมือนตอนที่ได้ฟังไป๋เยี่ยบรรยายมาก่อน
ทั้งบรรยากาศในการเรียนรู้ สภาพจิตใจระหว่างเรียนและความมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่นั้นช่างน่า มหัศจรรย์
ต่างจากตอนที่สวีเสี่ยวเฉียนเป็นคนบรรยาย พวกเขาต่างรู้สึกว่าได้รับความรู้อย่างไม่มีประสิทธิภาพนัก อาจจะเป็นเพราะว่าสภาพจิตใจระหว่างเราค่อนข้างย่ำแย่หรือไม่
และเมื่อทุกคนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันก็ต่างได้รู้ว่าแต่ละคนก็กำลังรู้สึกเช่นนั้น!
[1] พิราบครองรังสาลิกา หมายถึง การแย่งชิงที่ดินหรือสิ่งของมาจากผู้อื่น