ตอนที่ 400 ยึดจวนเพื่อความร่ำรวย
ใต้เท้าอู๋ถูกส่งออกจากวังหลวง
เขาไม่แม้แต่จะกลับบ้าน หากแต่หนีออกจากเมืองหลวงไปไกล
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้รับปากจะไว้ชีวิตเขา แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่มีคนตามล่าเขา
หากไม่ผิดพลาด พระพันปีเถา ท่านอ๋องผิงชิน บรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางราชสำนักล้วนอยากให้เขาตาย!
ชีวิตของเขาอันตรายอย่างยิ่ง!
รีบออกจากเมืองหลวง ไปไกลได้เท่าใดเท่านั้น!
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้นั่งอยู่บนขั้นบันไดตำหนักฉางเล่อ เขานั่งนิ่งด้วยสายตาไร้จิตวิญญาณเหมือนรูปปั้นดินโคลน!
ท่านอ๋องผิงชินเซียวเฉิงเหวินนั่งลงเป็นเพื่อเขา “เชื้อพระวงศ์อยู่ที่ตำหนักด้านข้าง ไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท พวกเขาออกจากวังไม่ได้ นอกจากนี้ ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะยืนอยู่ข้างฝ่าบาท ไม่ว่าแผ่นดินจะตกอับจนควบคุมไม่ได้ ข้าก็จะเป็นแนวหน้าให้ฝ่าบาท
ราชวงศ์ต้าเว้ยยังไม่จบสิ้น แผ่นดินยังกอบกู้ได้ สถานการณ์ไม่ได้แย่เหมือนที่ทุกคนคิด ทุกสิ่งเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว เพียงแค่สงครามจบลง แผ่นดินย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น!”
ในที่สุดฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ก็มีการเคลื่อนไหว เขามองพี่สอง เซียวเฉิงเหวินพลันหัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่น
เขาถามพี่สอง เซียวเฉิงเหวิน “เห็นบัญชีปีนี้ของสำนักเส้าฝู่แล้วหรือไม่ เห็นฎีการายงานสถานการณ์ภัยพิบัติของแต่ละพื้นที่แล้วหรือไม่ โจรกบฏที่ถูกปราบปรามลงไปแล้ว ผ่านฤดูหนาวที่หนาวเหน็บไปก็ฟืนกลับมาอีกครั้ง
หัวหน้าสำนักเส้าฝู่บอกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรปีหน้าต้องเพิ่มส่วย เก็บส่วยให้มากยิ่งขึ้น อาศัยเพียงกำลังทรัพย์ของสำนักเส้าฝู่ ไม่อาจแบกรับค่าใช้จ่ายทางสงครามได้อีกแล้ว ท่านมหาเสนาก็ถวายฎีการให้ข้า ปีหน้ายังต้องเกณฑ์ทหาร เพิ่มการเกณฑ์แรงงานชาวนา อย่างน้อยยังต้องการวัวและม้าอีกสองแสนตัว
ปีนี้ดูเหมือนสงบ แต่ภายใต้ผิวน้ำนั้นมีคลื่นซัดถาโถม ปีหน้ายิ่งลำบาก ข้าไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ผลที่ตามมาสามารถคาดการณ์ได้ ราชสำนักเพิ่มส่วย ประชาชนต้องแบกรับภาระหนักขึ้น อีกทั้งยังเกณฑ์ทหาร เกณฑ์แรงงาน ท่านว่าปีหน้าจะมีคนมากน้อยเพียงใดถูกโจรกบฏหลอกล่อให้ก่อกบกฎ
สงครามทางเหนือยืดเยื้อไม่จบสิ้น หลิวจางผู้เป็นอวี้สื่อแห่งเหลียงโจวดันป่วยหนักในเวลานี้ หัวใจของกองทัพสั่นคลอน ภัยทั้งภายในและภายนอก แต่ไม่อาจกำหนดให้จบสิ้นเสียที! ท่านว่าข้าจะทนต่อไปได้อย่างไร”
เซียวเฉิงเหวินพูดอย่างจริงจัง “มีเพียงตระกูลขุนนาง และมีเพียงตระกูลขุนนาง!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้หัวเราะเย้ยหยัน “ท่านอยากเกลี้ยกล่อยให้ข้าปลดปล่อยพันธนาการที่มีต่อตระกูลขุนนาง ให้ตระกูลขุนนางต่อต้านศัตรู เดินตามรอยเท้าของเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ ท่านไม่รู้ว่ามันเป็นวิธีที่หาที่ตายให้ตนเองหรือ”
เซียวเฉิงเหวินพูด “ราชสำนักไร้กำลังเลี้ยงกองทัพ แต่สงครามจำเป็นต้องดำเนินต่อไป แต่ตระกูลขุนนางมีเงิน มีเงินมากมาย ไม่ยึดทรัพย์สินของพวกเขามาเลี้ยงกองกำลัง ก็ทำได้เพียงอาศัยกำลังทรัพย์และกำลังคนของตระกูลขุนนาง ร่วมมือกับราชสำนัก กำจัดศัตรู แน่นอน ไม่ว่าทำอย่างไรล้วนจะมีผลที่ร้ายแรงตามมา ไม่ถูกตระกูลขุนนางรวมตัวกันโจมตีกลับ ก็ถูกตระกูลขุนนางบีบบังคับ อำนาจของราชวงศ์จะไม่มีอีกต่อไป!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้หัวเราะเยาะตนเอง “หากเปลี่ยนเป็นท่านนั่งอยู่บนตำแหน่งของข้า ท่านจะเลือกอย่างไร ประหารและยึดทรัพย์ทั้งตระกูล หรือร่วมมือ”
เซียวเฉิงเหวินพูดอย่างหนักแน่น “ขุนนางกบฏในเวลานี้ถูกขังไว้ในคุกหลวง ข้าจะเลือกประหารและยึดและยึดทรัพย์ทั้งตระกูลอย่างสมเหตุสมผลและสง่าผ่าเผย!”
“ประหารและยึดและยึดทรัพย์ทั้งตระกูล?”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่กลัวตระกูลขุนนางรวมตัวกันจู่โจมกลับหรือ”
“บังอาจกุเรื่องใส่ร้ายฝ่าบาท ทำให้ชื่อเสียงของฝ่าบาทต้องแปดเปื้อน สมควรตาย! ไม่ได้ประหารพวกเขาเก้าชั่วโคตรก็ถือว่าฝ่าบาททรงกรุณามากแล้ว หากฝ่าบาททรงเลือกที่จะยอมจำนน ต่อไปตระกูลขุนนางจะเหิมเกริมยิ่งขึ้น!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้สีหน้ากลัดกลุ้ม “ข้าต้องไตร่ตรองดูให้ดีก่อน ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด! เชื้อพระวงศ์ท่านอื่นก็ให้พวกเขากลับจวนเถิด กำชับพวกเขา ควบคุมปากของตัวเองให้ดี ประหารตระกูลขุนนาง ข้าอาจยังลังเลยอมจำนน แต่ประหารเชื้อพระวงศ์ ข้าก็เหมือนเสด็จพ่อ ไม่มีทางใจอ่อน!”
…
เห็นได้ชัดว่า ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ต้องการใช้โอกาสนี้ประหารบรรดาขุนนางที่บีบบังคับให้เขาสละราชย์บัลลังก์ พร้อมทั้งประหารและยึดครองทรัพย์สิน หารายได้เพื่อแก้ไขปัญหาทางการเงินในปีหน้า
อย่างน้อยก็ทำให้เขาได้พักหายใจ
แต่เขาตัดสินใจไม่ได้!
ฆ่าคนเป็นเรื่องง่าย แต่เรื่องที่ตามมานั้นจัดการยาก!
ตระกูลขุนนางมีอำนาจมาก จะปิดปากของทุกคนได้อย่างไร
จะให้คำอธิบายแก่คนทั่วทั้งแผ่นดินอย่างไร
พระพันปีเถาเตือนเขา “เรื่องนี้อย่าได้ล่าช้า! หากฝ่าบาทจะทรงฆ่าก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ให้องครักษ์จินอู่ยึดจวน ค้นหาหลักฐาน! หากไม่ฆ่า คาดว่าขุนนางเหล่านั้นก็ไม่ซาบซึ้งต่อฝ่าบาท บนราชสำนักย่อมต้องมีคำวิจารณ์ต่างๆ นานา อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า ฝ่าบาทต้องรีบทรงตัดสินพระทัย!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ถาม “เสด็จแม่ทรงเห็นด้วยกับการประหารขุนนางกบฏเหล่านั้นหรือ”
พระพันปีเถาพูดอย่างจริงจัง “พวกเขาสมควรตาย สมควรถูกประหาร! ประหารเก้าชั่วโคตรก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล หากมีผู้ใดบนราชสำนักกล้าอ้อนวอนย่อมต้องเป็นพรรคพวกเดียวกัน คนผู้นั้นย่อมมีความไม่พอใจต่อฝ่าบาท มีแผนการก่อกบฏ! ความหมายของข้าคือ หากจะฆ่าก็ฆ่าให้โหดเหี้ยม ฆ่าให้หมด ให้ผู้คนรู้ถึงความแน่วแร่ของฝ่าบาท! หรือไม่ก็ไม่ฆ่าแม้แต่คนเดียว เรื่องนี้ประนีประนอม จบสิ้นอย่างงุนงง!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ชอบการประนีประนอม แต่ก็ไม่ชอบการเข่นฆ่า ส่งผลให้เกิดผลที่ร้ายแรง
“ไม่มีวิธีกึ่งกลางหรือ”
พระพันปีเถาพูด “วิธีตรงกลางก็คือการประหารผู้ที่เป็นแกนนำ เพียงแค่นี้ แผนการที่ฝ่าบาทคิดจะยึดทรัพย์สินของตระกูลขุนนางย่อมต้องล้มเหลว อีกทั้งบรรดาขุนนางก็ไม่มีทางซาบซึ้งที่พระองค์ไว้ชีวิตพวกเขา พวกเขาจะคิดว่าฝ่าบาททรงเป็นผู้อ่อนแอ ไม่กล้าฆ่า ดังนั้นไม่ฆ่า!”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้หัวเราะเสียงเย็น “พวกขุนนางต้องการบีบให้ข้าเป็นกษัตริย์ที่ชอบความรุนแรงหรือ”
“ถึงแม้จะเป็นกษัตริย์ แต่ก็มีเรื่องมากมายที่ไม่อาจตามใจตัวเอง! จะเลือกอย่างไร หากฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยไม่ได้ สู้เรียกขุนนางในราชำสนักมาหารือแนวทางร่วมกัน การก่อกบฏที่เห็นได้ชัดนี้ คิดว่าไม่มีผู้ใดกล้าปกป้องพวกเขา! นอกจากในใจมีความคิดก่อกบฏ”
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ตัดสินใจหารือในที่ประชุมพรุ่งนี้เช้า
ถึงแม้อาการของเขายังไม่ดี เวลาพูดยังเจ็บคอ แต่เรื่องในเวลานี้ไม่อาจยืดเยื้อได้ ต้องจัดการให้เร็ว
…
เรื่องนี้เอิกเกริกอย่างมาก!
บรรดาขุนนางต่างถกเถียงกัน
มีทั้งคนไม่พอใจ แต่ก็มีคนกลุ้มใจ…
ราวกับความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อพระวงศ์กับตระกูลขุนนางจะเริ่มตึงเครียดขึ้นอีกครั้งแล้ว
องค์หญิงเฉิงหยางขุ่นเคืองเล็กน้อย
นางบ่นกับพระราชบุตรเขยจ้ง “เรื่องร้ายแรงเพียงนี้ ฝ่าบาทไม่ทรงเรียกท่านเข้าไปหารือในวังหรือ”
พระราชบุตรเขยจ้งพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารับผิดชอบเพียงสำนักเส้าฝู่ เรื่องกบฏบีบบังคับให้ฝ่าบาทราชย์บัลลังก์ ไม่ว่าข้าจะพูดสิ่งใดก็ราวกับไม่เหมาะสมนัก”
องค์หญิงเฉิงหยางขุ่นเคืองอย่างมาก “เหตุใดจึงไม่เหมาะสม มีคนกุเรื่องทำร้ายฝ่าบาท ท่านในฐานะพ่อตาของฝ่าบาท อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าสำนักเส้าฝู่ ท่านสมควรเข้าร่วมการหารือในวังหลวง คิดหาแนวทางแทนฝ่าบาท หากไม่ใช่ท่าน สำนักเส้าฝู่คงจะปิดประตูล้มละลายไปนานแล้ว จะมีเสบียงอาวุธที่ใดส่งไปให้ชายแดน!
ท่านเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี ยิ่งเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบ สำนักเส้าฝู่ยิ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างไม่อาจขาดได้ต่อกองทัพ ไม่ว่าจะด้วยเหตุหรือด้วยผล ท่านก็ควรเข้าร่วมการประชุมเล็กในวังหลวง วางแผนแทนฝ่าบาทร่วมกับขุนนางอื่นๆ”
พระราชบุตรเขยจ้งขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทไม่ได้ทรงเรียกข้าเข้าเฝ้า ข้าจะต้องเสนอมตัวเองหรือ เสนอให้ฝ่าบาทประหารขุนนางทั้งหลาย นำความเดือดร้อนมาให้ตัวเอง หันกลับมาคิด ฝ่าบาทไม่ได้ทรงเรียกข้าเข้าเฝ้า อาจเป็นเพราะดูแลข้า ให้ข้าออกห่างจากความวุ่นวายนี้ เพียงแค่ไม่เข้าร่วม ย่อมไม่ถูกคนเคียดแค้น!”
“ท่าน…ท่านคิดจะให้ข้าโกรธจนอกแตกตายหรือ ท่านคิดว่ามันเป็นแค่การประชุมหารืออย่างนั้นหรือ ผิด! มันคืออำนาจ มันแสดงถึงตำแหน่งของท่านในราชสำนัก ตำแหน่งของท่านในพระทัยของฝ่าบาท ฮ่องเต้ทรงบอกว่าท่านเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก แต่เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ กลับผลักท่านให้อยู่ด้านนอก ไม่ต้องพูดจาสวยหรู ฮ่องเต้ทรงเห็นท่านเป็นแค่พ่อค้าเท่านั้น ไม่ใช่ขุนนางสำคัญในราชสำนัก!”
สีหน้าของพระราชบุตรเขยจ้งเรียบเฉย “องค์หญิงอยากให้ข้าทำอย่างไร”
“พรุ่งนี้เจ้าวัง เสนอตัวบรรเทาความทุกข์แทนฮ่องเต้ด้วยตนเอง” ท่าทีขององค์หญิงเฉิงหยางแน่วแน่
พระราชบุตรเขยจ้งไม่เต็มใจ “ข้าคิดว่ามาเหมาะสม!”
พระราชบุตรเขยจ้งยังคงส่ายหน้า “เพื่อฮองเฮา ข้าไม่อาจเสนอคัวแทรกแซงเรื่องนี้ได้ องค์หญิงอย่าได้พูดอีก ข้าตัดสินใจแล้ว นอกเสียจากฝ่าบาททรงถาม มิฉะนั้นข้าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้!”
“ท่านจงใจเป็นปรปักษ์กับข้าหรือ”
“ข้าแค่กำลังเตือนองค์หญิง เวลานี้คนที่นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ไม่ใช่ฮ่องเต้องค์ก่อน แต่เป็นบุตรเขนของท่าน หลานชายของท่าน! เขาไม่มีทางอดทนต่อท่านอย่างไร้เงื่อนไขเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน ยิ่งไม่มีทางอดทนต่อตระกูลจ้ง พวกเราในฐานะญาติฝ่ายนอก ย่อมต้องมีความตระหนักรู้ในฐานะญาติฝ่ายนอก เรื่องของราชวงศ์ หากแทรกแซงมากเกินไป มักจะไม่มีจุดจบที่ดี!”
“ท่าน…ท่านจะให้ข้าว่าท่านอย่างไรดี ฝ่าบาทไม่ใช่คนที่หมดประโยชน์แล้วจะเขี่ยทิ้ง เย็นชาไร้เยื่อใย…”
“คนย่อมเปลี่ยนไปได้! องค์หญิงอย่าได้พูดอีกเลย ข้าไม่มีทางเปลี่ยนใจ”
พระราชบุตรเขยจ้งสะบัดแขนเสื้อจากไป
องค์หญิงเฉิงหยางโกรธจนเขวี้ยงชุดถ้วยชากระเบื้องที่โปรดปรานที่สุดทิ้ง
สาวรับใช้ยังเสียดายแทนนาง!
…
ขุนนางราชสำนักต่างถกเถียง ในที่สุดเหตุการณ์ “ก่อกบฏบีบเค้าให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์” นี้ก็มีข้อสรุป
ขุนนางที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องถูกประหารทั้งหมด!
ยึดจวน เนรเทศ!
สำหรับขุนนางที่บังอาจก่อคดีเหล่านี้แล้ว ข้อสรุปนี้อยู่ในการคาดการณ์
ไม่ถือว่าดี!
แต่เมื่อเทียบกับการประหารทั้งตระกูล เพียงแค่เนรเทศก็ถือว่าดีมากแล้ว
เรียกได้ว่าดีอย่างยิ่ง!
มีเรื่องเดียวที่ไม่ดี ความพยายามของพวกเขากลายเป็นเรื่องตลก!
พวกคนที่ไม่รู้กำลังตัวเอง บังอาจคาดเดาข้อสรุปที่เหลวไหลออกมา สุดท้ายก็ทำลายตัวเอง
คนรุ่นหลังย่อมต้องเผยแพร่เรื่องนี้อย่างยิ่งใหญ่ หัวเราะเยาะความโง่เขลาของพวกเขา
มันช่างน่าเจ็บปวดกว่าความตายเสียอีก
….
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย อาการป่วยของเขาดีขึ้นแล้ว เสียงก็หายเป็นปกติ
ไม่ต้องทนต่ออาการเจ็บคอ ถกเถียงกับบรรดาขุนนางอีก!
เรื่องที่ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าคือ การยึดจวนครั้งนี้ มีผลพลอยได้มหาศาล!
หาเงินนับแสนก้วน และพื้นที่อีกหลายสิบล้านไร่เข้าคลังของสำนักเส้าฝู่ได้ นอกจากนี้ยังมีจวนและบ้านเรือนที่ยังไม่ทันได้ขาย เครื่องกระเบื้องราคาแพง ภาพวาดราชวงศ์ก่อน…เครื่องประดับอัญมณีต่างๆ
โดยรวมคือ เขารวยแล้ว!
รวยเพราะการยึดจวน
เรื่องนี้ทำให้จิตใจของเขาเบิกบาน
เมื่อนึกถึงในโกดังของสำนักเส้าฝู่เต็มไปด้วยเสบียงที่ยึดมา ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้ก็สามารถหัวเราะจนตื่นจากฝัน
อีกทั้งยังมีผ้าผืนเต็มคลัง บ่าวไพร่จำนวนมาก ลาม้าวัวแพะ…
การยึดจวนเพียงครั้งเดียวก็แก้ไขปัญหาเงินและเสบียงอันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสงครามในปีหน้าได้
ฮ่องเต้ไท่หนิง เซียวเฉิงอี้วาดฝันภายในใจ เมื่อใดยึดจวนอีกดี!
โดยเฉพาะจวนของตระกูลขุนนางที่สั่งสมทรัพย์สมบัติมาหลายร้อยปี!