คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 514 ฟ้องศิษย์

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 514 ฟ้องศิษย์

เสวียนชิงจื่อปิดประตูแล้วมองออกไปข้างนอก จากนั้นถึงดึงตัวเหยาเฟยเฟยมาสั่งสอนยกหนึ่ง

“ศิษย์น้องหญิง เมื่อครู่เจ้าเสียมารยาทนัก”

เหยาเฟยเฟยเกรงกลัวอยู่บ้าง นางกระตุกแขนเสื้อเขาอย่างระมัดระวังพลางเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าทำอะไรผิดไปหรือ”

“เจ้าไม่ควรถามพลังบำเพ็ญของท่านชื่อหยวนอย่างไร้มารยาทเช่นนั้น มันเสียมารยาทเกินไป แถมเสียภาพลักษณ์ของอารามจินหัวของเราด้วย” เสวียนชิงจื่อเอ่ยเสียงขรึม “ยังไม่พูดถึงว่าอีกฝ่ายอาวุโสกว่าด้วยนะ”

“ข้า ข้าก็แค่เห็นว่าเขาดูอาวุโสกว่าท่านอาจารย์เลยคลางแคลงใจ แค่นี้ก็ถามไม่ได้หรือ”

เสวียนชิงจื่อเอ่ย “เด็กสงสัยในพลังบำเพ็ญของผู้ใหญ่ถือว่าเป็นการดูแคลน อีกอย่างเจ้าทำแบบนี้เป็นการซ้ำเติมท่านชื่อหยวนมากกว่า”

เหยาเฟยเฟยทำหน้าตกใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าถามเรื่องพลังบำเพ็ญไปแค่นี้ก็เป็นความผิดมหันต์แล้วหรือ”

“เจ้ายังเด็กเลยไม่รู้ ท่านอาจารย์เคยบอกว่าท่านชื่อหยวนแห่งอารามชิงผิงท่านนี้เป็นบุคคลที่มีฝีมือลึกล้ำ เขาแตะขอบหลอมลมปราณขั้นเต็มดวงได้ตั้งแต่อายุห้าสิบ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาสละความเพียรบำเพ็ญไปจัดการเรื่องศิษย์หักหลังในสำนัก ทำให้พลังบำเพ็ญถดถอยลง ไร้วาสนากับขั้นสร้างรากฐาน น่าเสียดายมากจริงๆ”

เหยาเฟยเฟยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”

เสวียนชิงจื่อพยักหน้า “เจ้าอย่ามองว่าบัดนี้อารามชิงผิงเป็นอารามเล็กๆ แต่อดีตกลับเคยเป็นที่โจษจัน มาภายหลังถึงขัดสนตกอับ แต่ก่อนที่เสวียนเหมินจะถดถอยก็เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูมาก่อน น่าเสียดายเมื่อสามสิบปีก่อนมีศิษย์ทรยศคิดรังแกอาจารย์ทำลายสำนัก เพื่อจัดการศิษย์ทรยศผู้นี้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านชื่อหยวนเสียพลังบำเพ็ญไปมากเท่าไร แม้แต่อารามชิงผิงยังต้องถูกปิดไปด้วยเลย”

“อารามชิงผิงเพิ่งกลับมาเปิดใหม่เมื่อสิบปีก่อน ก้าวหน้ามาได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว” เสวียนชิงจื่อหรี่ตาพลางเอ่ย “เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินเรื่องหลังคาทองและร่างทองของเจ้าลัทธิเต๋าว่าเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อปีก่อนเอง แถมยังสร้างหอเติงเซียนที่ไม่ด้อยไปกว่าหอไจซิงของพวกเราด้วย เจ้าก็เห็นแล้วว่าผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสใจกว้างขนาดไหน”

อารามจินหัวพื้นที่กว้างขวาง วิหารมากมาย คนมากราบไหว้แน่นขนัด ย่อมเป็นเพราะพรรคพวกภายใน อีกอย่างอารามตั้งอยู่ในเซิ่งจิง อีกทั้งเซิ่งจิงไม่ขาดแคลนเงินจากผู้มั่งคั่งทั่วทุกพื้นที่ ตระกูลผู้ดีที่ยอมทุ่มเงินบริจาคทำบุญก็มีไม่น้อย อารามของพวกเขามีเงื่อนไขในแง่ต่างๆ ดีกว่าที่อื่นถึงได้เฟื่องฟู ภาพลักษณ์อารามดูยิ่งใหญ่เช่นนี้

แต่ถึงเช่นนั้นกว่าจะมาถึงตอนนี้ได้ก็ใช้เวลาไปเกือบยี่สิบปี ยิ่งอาจารย์บรรลุขั้นสร้างรากฐานสำเร็จถึงก้าวไปอีกขั้น

แต่อารามชิงผิงใช้เวลาสั้นๆ เพียงสิบปีก็สามารถจัดการสร้างภาพลักษณ์ได้ถึงเพียงนี้แล้ว สภาพแวดล้อมรอบด้านไม่เลว ป่าไม้เขียวชอุ่ม เขาสัมผัสได้ลึกๆ ว่าอารามนี้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าแห่งอื่น ไม่รู้ว่ามีค่ายอาคมปกปักอารามหรือค่ายอาคมคุ้มกันภูผาหรือไม่

เดี๋ยวเขาขึ้นหอเติงเซียนไปศึกษาสักหน่อย

เหยาเฟยเฟยไม่ยอมจำนน โพล่งขึ้นว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ยังสู้อารามของเราไม่ได้หรอก ท่านอาจารย์ของพวกเรามีพลังบำเพ็ญถึงขั้นสร้างรากฐาน อย่าว่าแต่ท่านชื่อหยวนมีหวังกับขั้นสร้างรากฐานหรือไม่ สามสิบปีก่อนเขาก็อายุห้าสิบแล้ว ตอนนี้อายุไม่ได้ปาไปแปดสิบแล้วหรือ หากว่า…”

“ศิษย์น้องหญิง!” เสวียนชิงจื่อถลึงตาใส่นาง “ระวังคำพูดด้วย”

เหยาเฟยเฟยจึงยู่ปากใส่

เสวียนชิงจื่อส่ายศีรษะก่อนจะถอนหายใจ อายุแปดสิบแล้ว ได้ยินท่านอาจารย์เล่ามาว่าตอนที่เขาจัดการศิษย์ทรยศผู้นั้นยอมเสียพลังบำเพ็ญเพียงเพื่อต้องการปลิดชีวิตอีกฝ่ายในคราเดียว เป็นผลให้พลังบำเพ็ญถดถอย แถมไม่รู้ว่ามีอาการข้างเคียงใดอีกหรือไม่

หากมีนอกจากจะบรรลุขั้นสร้างรากฐานไม่ได้แล้ว เกรงว่าแม้แต่อายุขัยร้อยปีของขั้นหลอมลมปราณคงไปไม่ถึงด้วยซ้ำ

เสวียนชิงจื่อเสียดายอยู่บ้าง ทว่าไม่นานก็กลับมามีท่าทีแน่วแน่ นี่คือเส้นทางการบำเพ็ญนักพรต หากพลังบำเพ็ญไม่ไปข้างหน้า สุดท้ายก็แค่มีชีวิตอยู่นานมากกว่าคนธรรมดาสักสองสามปีแค่นั้น

พอฉินหลิวซีได้รับจดหมายจากนักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็พาศิษย์นั่งรถม้ากลับขึ้นเขาไป

มาหยั่งเชิงท้าทายหรือ อีกเดี๋ยวดูสิว่าฝ่ายใดศักดิ์สิทธิ์กว่ากัน

ในขณะเดียวกันนั้นเสวียนชิงจื่อและเหยาเฟยเฟยกำลังท่องเที่ยวในอาราม สิ่งที่ทำให้เขาผุดความสนใจขึ้นมาก็คือหอเติงเซียนที่กำลังสร้างใหม่ สัตว์มงคลตรงชายคาด้านบนสลักได้เหมือนจริงมาก ซึ่งเป็นการคุ้มกันทั้งอารามจากมุมสูง อีกทั้งเสาบางส่วนภายในอาคารยังสลักอักขระยันต์พระสูตรเต๋าด้วย ความลึกลับชวนให้คนที่เดินชมยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่เขาเดินขึ้นไปบนมุมสูงมองลงมาดูทั้งแปดทิศ อารามเต๋าแห่งนี้สร้างตามรูปเขา หัวท้ายบรรจบกัน ทำให้ฮวงจุ้ยที่วนเวียนอยู่หลังเขาตามสภาพลักษณะพื้นที่ไม่กระจายหายไปไหน

อีกทั้งหอเติงเซียนเองก็น่าจะสร้างค่ายกลคุ้มกันสิ่งปลูกสร้างเช่นกัน ชั้นสองและชั้นสามวางตำราหายากไว้ไม่น้อย ไม่เพียงแต่ตำราล้ำค่าที่นักปราชญ์ต้องการ แต่ยังมีพระสูตรเต๋าจัดแบ่งหมวดหมู่เอาไว้อีกต่างหาก

ได้ยินมาว่าชั้นหกชั้นเจ็ดมีค่ายกลซึ่งห้ามไม่ให้เข้าโดยพลการ ในนั้นจัดวางพระสูตรโบราณล้ำค่าที่สะสมไว้และอาวุธเต๋าบางส่วน

นี่ทำให้เสวียนชิงจื่อประหลาดใจไม่น้อย อารามชิงผิงกลับมาเปิดใหม่สิบปี ไม่รู้ว่าเอาตำรามากมายขนาดนี้มาจากไหน หรือว่าเก็บซ่อนไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

ไม่ว่าอย่างไรอารามชิงผิงไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้ ไม่ใช่อารามตกอับที่ไร้ภูมิหลังใดเลย

“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราควรไปถามที่อยู่ของเจ้าผีร้ายนั่นได้แล้วกระมัง” เหยาเฟยเฟยไม่อยากฟังคำชื่นชมอารามชิงผิงจากเสวียนชิงจื่อแล้ว

ในมุมมองของนาง ต่อให้ดีแค่ไหนก็สู้อารามจินหัวไม่ได้ นางรู้สึกว่าอารามเต๋าสำนักตนมีความล้ำหน้ากว่าโดยเนื้อแท้

เสวียนชิงจื่อพยักหน้าแล้วเดินมุ่งหน้าไปทางลานเต๋าของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน

พวกเขาเพิ่งมาถึงประตูของลานเต๋าก็เห็นเด็กสองคนตะโกนเรียกเจ้าอาวาสพลางวิ่งเข้าไปด้านใน อีกทั้งเบื้องหลังของพวกเขายังมีคนรูปร่างผอมบางสวมชุดสีเขียว เกล้าเก็บผมแล้วปักด้วยปิ่นไม้ต้นท้อกำลังชะงักฝีเท้า หมุนตัวหันมามอง

พวกเสวียนชิงจื่อนิ่งไป ตกลงบุคคลนี้เป็นบุรุษหรือสตรี ใบหน้ายากจะวิเคราะห์ได้ หากกล่าวว่าเป็นสตรี ทว่านางไร้ซึ่งความอ่อนหวานชดช้อยอย่างหญิงสาว ทว่ามีความสง่า แต่หากกล่าวว่าเป็นบุรุษก็ยังขาดกลิ่นอายความเป็นชายอยู่บ้าง

นางเอามือไพล่หลัง บุคลิกดูเย็นชา นางมองพวกเขาพลางส่ายศีรษะ สองดวงตาสุกใสราวกับอ่านความคิดของพวกเขาออก นัยน์ตาแฝงด้วยไอเย็นยะเยือก

เสวียนชิงจื่อยืดหลังยืนตรงตามสัญชาตญาณ ภายในใจผุดความคิดว่าห้ามยอมแพ้ขึ้นมารำไร

เหยาเฟยเฟยจับจ้องใบหน้าของฉินหลิวซีอย่างไม่ชอบใจนัก สัญชาตญาณความเป็นหญิงบอกนางว่าบุคคลที่ดูว่าเป็นบุรุษหรือสตรีไม่ออกตรงหน้าเป็นหญิงสาวแน่นอน

ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นสตรี แต่นางกลับรู้สึกว่าใบหน้าช่างเข้ากับบุคลิกนัก ไม่ขัดกันเลยสักนิด

สายตาของฉินหลิวซีกวาดมองหยกสลักยันต์ตรงช่วงเอวของพวกเขาสองคน ซึ่งเป็นป้ายหยกที่เหมือนกันทุกประการ มีเครื่องหมายเหมือนกันโดยสลักอักษรจินไว้ บวกกับอักขระยันต์ น่าจะเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวพวกเขานั่นเอง

บนร่างของพวกเขาทั้งสองมีไอศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียน คิดว่าล้วนมีพลังบำเพ็ญทั้งคู่ กอปรกับเป็นเสื้อผ้าของนักพรต นี่คือคนที่ตาเฒ่าบอกว่ามาหยั่งเชิงความสามารถอย่างนั้นหรือ

เอ๊ะ คำว่าจิน หรือจะเป็นอารามจินหัวที่นางเคยมองๆ ไว้นะ

ฉินหลิวซียกยิ้ม ประสานมือคารวะพลางเอ่ย “ขอถามสหายทั้งสองว่ามาจากที่ใดและมาหาใครหรือ”

เหยาเฟยเฟยเอ่ยอย่างผยอง “พวกเราเป็นศิษย์ของอารามจินหัวแห่งเมืองเซิ่งจิง มาหาท่านชื่อหยวน แล้วสหายเล่า”

มาจากอารามจินหัวจริงๆ ด้วย

“ข้าคือเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง นามว่าปู้ฉิว” ฉินหลิวซีเอ่ย “พวกเจ้ามาสนทนาธรรมเต๋าหรือมาขอพักอาศัยหรือ”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเดินออกมาพอดี กล่าว “ศิษย์เอ๋ย พวกเขาอยากให้พวกเราช่วยตามหาผีร้ายตนหนึ่ง พลังบำเพ็ญข้าน้อยนิด เกรงว่าต่อให้ใจอยากก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเจ้าช่วยได้ก็ช่วยเถิด”

ฉินหลิวซีหรี่ดวงตาลง

เสวียนชิงจื่อใจกระตุกวาบ เขารู้สึกไปเองหรือ เหตุใดถึงรู้สึกลึกๆ ว่านักพรตเฒ่าชื่อหยวนกำลังฟ้องอยู่เลยเล่า

นักพรตเฒ่าชื่อหยวน ใจกล้าหน่อยสิ กำจัดความรู้สึกนั้นออกไป เพราะข้ากำลังฟ้องอยู่จริงๆ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท