คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 515 เจ้าอาวาสน้อยผู้นี้รับมือยากจริงๆ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 515 เจ้าอาวาสน้อยผู้นี้รับมือยากจริงๆ

ภายในห้องเต๋าของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน ฉินหลิวซีก็ได้รู้จักเสวียนชิงจื่อและเหยาเฟยเฟยอย่างเป็นทางการ

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิงจะยังเยาว์วัยขนาดนี้” เสวียนชิงจื่อกวาดตาสำรวจฉินหลิวซีด้วยท่าทีประหลาดใจ

ทว่าน้ำเสียงของเหยาเฟยเฟยกลับต่างกันออกไป เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่ข้ากับศิษย์พี่เดินเล่นภายในอารามรอบหนึ่ง ถึงแม้จำนวนศิษย์ในอารามจะเทียบกับอารามจินหัวไม่ได้ แต่กลับมีนักพรตชายมากทีเดียว ก่อนหน้านี้เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าอาวาสน้อยมาบ้าง นึกว่าเจ้าอาวาสแห่งอารามชิงผิงจะเป็นบุรุษ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรี แถมเป็นนักพรตหญิงที่ยังเยาว์วัยอีกต่างหาก คิดว่าคงได้รับแรงหนุนจากศิษย์ในอารามไม่น้อย”

นี่หมายความว่าอย่างไร จะบอกว่าอารามชิงผิงไม่มีใครจนต้องดึงนักพรตหญิงมารับตำแหน่งสืบทอดอย่างนั้นหรือ

ฉินหลิวซีเหลือบมองเจ้าอาวาสชื่อหยวนอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง ระดับสมองคนแบบนี้หรือที่จะมาท้าทายเรา

อีกอย่างน้ำเสียงกระแทกกระทั้นของนางเช่นนั้น คิดว่าข้าขัดตานางนักหรือไร

เจ้าอาวาสชื่อหยวนฉีกยิ้มบาง “เจ้าอาวาสน้อยของพวกเราย่อมมีความสามารถเหนือคนอื่นถึงได้รับตำแหน่งนี้ ส่วนจะเป็นบุรุษหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน”

เสวียนชิงจื่อมีท่าทีตอบสนองอย่างรวดเร็วก่อนจะตำหนิเหยาเฟยเฟย “ศิษย์น้องหญิง เรื่องในอารามชิงผิงย่อมมีวิธีจัดการของพวกเขาเอง มิใช่เรื่องที่ต้องสอด รีบขอโทษเร็วเข้า”

ขณะที่เหยาเฟยเฟยหมายจะพูดอะไรบางอย่าง ฉินหลิวซีก็ชิงเอ่ยเสียงเรียบขึ้นก่อน “สหายเสวียนชิงมิจำเป็นต้องทำเช่นนั้น หากให้สหายงดงามผู้นี้เอ่ยขอโทษจริง อารามชิงผิงของพวกเราคงดูเอาจริงเอาจังเกินไป บัดนี้อารามชิงผิงคงดูเล็กไป จะถือสาหาความกับใครได้ที่ไหนกัน”

เสวียนชิงจื่อใบหน้าร้อนผ่าว

เหยาเฟยเฟยสีหน้าเปลี่ยน ทว่ายังพะว้าพะวังมิกล้าทำตัวสามหาวในถิ่นผู้อื่น

“ท่านทั้งสองมาเพื่อสิ่งใดหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถามไปอีกประโยค

พลันนักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ถึงตาข้าออกโรงแล้ว

จากนั้นเขาก็เอาคำบอกเล่าของเสวียนชิงจื่อเล่าอีกรอบหนึ่ง พอเล่าจบก็ถอนหายใจเสียงเบาๆ “ถ้าพวกเขาไม่เอ่ยเรื่องพลังบำเพ็ญขึ้นมา ข้าก็คงลืมเรื่องที่เวลานี้ข้าพลังบำเพ็ญถดถอยไป พละกำลังสู้อดีตไม่ได้ มิเช่นนั้นข้าก็คงทุ่มแรงช่วยเต็มกำลังแล้ว เฮ้อ หากข้าสามารถบรรลุขั้นสร้างรากฐานได้ราบรื่นอย่างปรมาจารย์ไท่เฉิง ข้าคงไปด้วยตัวเอง แต่ข้าจำได้ว่าเจ้าห้ามไม่ให้ข้าใช้การทำนาย ข้าเลยเรียกเจ้ามาว่าพอจะช่วยพวกเขาได้หรือไม่”

เสวียนชิงจื่อหนังศีรษะชาวาบ

มาแล้ว มาอีกแล้ว ความสงสัยที่ว่าผู้เฒ่าตรงหน้ากำลังฟ้องศิษย์อยู่มาอีกแล้ว

แม้ฉินหลิวซีได้ยินนักพรตเฒ่าชื่อหยวนกล่าวเช่นนั้น ทว่านางกลับไม่เหลือบมองศิษย์สองพี่น้องนั่นสักนิด พลันแววตาก็เย็นยะเยือก เริ่มฉายแววไม่พอใจขึ้นมา

“บอกท่านกี่รอบแล้วว่าก่อนทำอะไรก็ควรรู้ขอบเขตความสามารถของตนอย่างชัดแจ้ง ผู้เฒ่าที่พลังบำเพ็ญถดถอยแล้วอย่างท่าน ลำพังแค่บำเพ็ญเพียรรักษาชีวิตบั้นปลายไปก็พอ ท่านจะยุ่มย่ามให้มากเรื่องไปทำไมเล่า ท่านยังรู้ว่าควรเรียกข้ามา หากไม่เรียกข้ามา แต่กลับบ้าจี้ไปไล่จับผี หากผีร้ายตนนั้นเก่งกาจปลิดชีวิตท่านขึ้นมา ใครจะเอาอาจารย์มาชดเชยให้ข้าได้ หรือถ้าจับไม่ได้แล้วปล่อยให้หลุดลอยไป หายนะนี้จะไม่ตกมาถึงท่านหรือ”

คำพูดราวตีวัวกระทบคราดเช่นนี้กลับชวนให้เสวียนชิงจื่อกับเหยาเฟยเฟยใบหน้าขรึมลงทันที

เหยาเฟยเฟยอดกลั้นไม่ไหวโพล่งขึ้นว่า “เอ๊ะ เจ้านี่อย่างไร พวกเราก็แค่มาขอความช่วยเหลือ ทำไปก็เพื่อประชาราษฎร์หาใช่เพื่อตนเองไม่ หากเจ้ามิยินดีก็ช่างเถิด เหตุใดต้องพูดจาถากถางเช่นนี้ด้วย”

“เจ้าผิดแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ปกติข้าด่าใครไม่เคยอ้อมค้อมแต่จะด่าตรงๆ มากกว่า ทำไมหรือ หากเจ้าคิดว่าข้าด่าเจ้า เจ้าคงคิดมากเกินไปแล้วกระมัง!”

“เจ้า!” เหยาเฟยเฟยโมโหจนถลึงตาทั้งสองข้างใส่

เสวียนชิงจื่อเองก็นึกไม่ถึงว่าเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิงจะเป็นคนเหนือคาดเช่นนี้ แปรเปลี่ยนเป็นประทัดในชั่วพริบตา คิดจะระเบิดก็ระเบิดขึ้นมา เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราก็แค่คิดว่าอารามแห่งนี้เดินทางสายเต๋าเช่นกัน เหตุที่มาก็เพื่อลองดูว่าพอจะมีวิธีจับเจ้าผีตัวนั้นมาได้หรือไม่”

“ใช่ ทำเพื่อประชาราษฎร์ใต้หล้า เจ้าเพิกเฉยต่อการก่อเรื่องของเจ้าผีร้ายเช่นนี้ ไม่กลัวเจ้าลัทธิลงโทษเจ้าหรือ” เหยาเฟยเฟยเอ่ยด้วยความโมโห

ฉินหลิวซีตอกกลับด้วยความประหลาดใจไปประโยคหนึ่ง “ผีร้ายตนนั้นใครเป็นคนเจอ”

“ย่อมเป็นพวกเราอยู่แล้ว”

“เช่นนั้นใครทำร้ายเขาหรือ”

“ย่อมเป็นพวกเราอยู่แล้ว”

“เช่นนั้นใครฝีมือไม่ได้เรื่องจนปล่อยเขาหนีไปได้หรือ”

“…”

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยท่าทีคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ก็เป็นพวกเจ้ากระมัง ในเมื่อเป็นปัญหาของพวกเจ้า เหตุใดเจ้าลัทธิต้องโทษข้าด้วย หากเขาคิดจะเอาความผิดพลาดของคนอื่นมาโยนใส่ข้า เจ้าก็รอดูเถิดว่าข้าจะยอมเป็นแพะรับบาปหรือไม่”

เจ้าลัทธิเต๋า “ข้าว่าเจ้าเล่นเกินไปแล้ว!”

เสวียนชิงจื่อเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าถูกพูดดักหรือถูกเย้ยหยันกันแน่ พลันใบหน้าก็สีแดงเขียวด้วยความโกรธเป็นระยะ

เหยาเฟยเฟยอารมณ์ปะทุมากกว่าเดิม “เจ้าเพิกเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจประชาราษฎร์ใต้หล้าเลยหรือ นักพรตสายธรรมะอารามชิงผิงอย่างพวกเจ้าไม่แยแสทำตัวลอยเหนือปัญหาเช่นนี้หรือ”

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “คนบางคนไม่มีฝีมือโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ แต่ดันอยากย้ายพระพุทธรูปในอารามออกแล้วเปลี่ยนไปนั่งเองแทน เป็นแม่พระผู้มีแสงระยิบระยับเปล่งประกาย แค่ขยับปากเปิดปิดก็สามารถโน้มน้าวราษฎรนับหมื่นได้แล้ว! เอ๊ะ แต่ข้ามิได้ว่าเจ้านะ อย่าเข้าใจผิดไป”

เหยาเฟยเฟย “…”

ศิษย์พี่ ท่านอย่ารั้งข้าไว้ ข้าจะข่วนใบหน้าของนางเสีย รังแกกันเกินไปแล้ว!

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหาจังหวะทำตัวเป็นผู้อาวุโสที่ดีคอยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ เขาใช้แส้หางม้าเขกศีรษะฉินหลิวซีไปที “พอได้แล้ว โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นหนามแหลมคอยทิ่มแทงคนอื่น เจอใครก็ทิ่มใส่ไปทั่ว ข้าสอนเจ้าเช่นนี้หรือ”

เขาเอ่ยต่อเสวียนชิงจื่อว่า “เจ้าเด็กคนนี้ถูกข้ากับพวกศิษย์พี่คนอื่นๆ ในอารามตามใจจนเคยตัว ใจกล้าไม่กลัวใคร พูดจาไม่รู้ว่าจะล่วงเกินใครบ้าง พวกเจ้าอย่าถือความเลย”

เสวียนชิงจื่อสำลักอีกรอบ เพราะคำพูดนี้เหมือนเขาเพิ่งเคยพูดไปเมื่อเช้า ตอนนี้พอฟังดูแล้วเหตุใดถึงรู้สึกขัดหูนักนะ

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “เจ้าก็อย่าแซะคนอื่นนักเลย ถ้าเจ้าผีนั้นทำร้ายคนขึ้นมาจริงๆ ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะเพิกเฉย หากช่วยได้ก็นับว่าเป็นคุณงามความดีไป ครุ่นคิดดูแล้ว ข้ากับปรมาจารย์ไท่เฉิงอาจารย์ของพวกเขาก็เคยไปมาหาสู่กันบ้างสองสามครั้ง เห็นแก่อาจารย์แล้วกัน”

ฉินหลิวซีแค่นเสียงเบาใส่ที เอ่ยเสียงงึมงำ “ก็มีแต่อาจารย์เป็นคนดี ส่วนข้าก็เลวมาแต่กำเนิด ก็ได้ ลองก็ลองดู”

เหยาเฟยเฟยขบคิดในใจ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเอิกเกริกขนาดนี้คิดจะหลอกใครกัน ความจริงไม่อยากช่วยถึงได้เล่นละครตบตามากกว่ากระมัง

แม้แต่อาจารย์ที่บรรลุขั้นสร้างรากฐานแล้วยังเป็นไม่ได้ แล้วยังหวังอะไรจากศิษย์ได้เล่า

ฉินหลิวซีมองไปทางเสวียนชิงจื่อ เอ่ยถามว่า “เจ้าบอกว่าพวกเจ้าร่ายตรากระดิ่งไล่วิญญาณใส่เจ้าผีร้ายนั้นหรือ”

เสวียนชิงจื่อพยักหน้า “เพียงแต่ตอนนี้ตราประทับบนวิญญาณน่าจะไร้ผล เพราะพวกเราตามตัวไม่เจอแล้ว”

ฉินหลิวซีไม่แสดงท่าทีเช่นใด เอ่ยถามต่อ “แล้วอาวุธเล่า เอามาให้ข้าดูหน่อย”

เสวียนชิงจื่อมุ่นคิ้ว

เหยาเฟยเฟยกระโดดลุกขึ้นพรวด “นี่เป็นอาวุธของอารามจินหัวของพวกเรา เจ้าบอกว่าให้ดูก็ต้องให้ดูอย่างนั้นหรือ”

ครั้งนี้ฉินหลิวซีหัวเราะด้วยความโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ เอ่ยขึ้นว่า “อาวุธของอารามจินหัวของพวกเจ้าแตกง่ายเหมือนเต้าหู้หรืออย่างไร แตะปุ๊บแหลกละเอียดปั๊บ แม้แต่ดูก็ดูไม่ได้เลยหรือ พวกเจ้าอยากให้พวกเราร่วมมือช่วยไล่ตามหา เช่นนั้นจะให้ตามหาอย่างไร ให้อาวุธเจ้าหรือยันต์ศักดิ์สิทธิ์เจ้าไป หรือจะให้ใช้ศาสตร์ต้าเหยี่ยนซื่อ[1]มาทำนายอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าคงไม่ได้ให้เราออกแรงออกทรัพยากรเพื่อช่วยพวกเจ้าจับผีร้ายตนนี้แล้วสุดท้ายประเคนให้พวกเจ้าหรอกกระมัง”

พอคำพูดเย้ยหยันนี้โพล่งออกมา ต่อให้เสวียนชิงจื่อควบคุมอารมณ์ได้มากเพียงใดก็อดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้

ไนเจ้าอาวาสน้อยผู้นี้ถึงยากรับมือเช่นนี้นะ

[1]ศาสตร์ต้าเหยี่ยนซื่อ เป็นศาสตร์การทำนายอย่างหนึ่งโดยใช้ไม้เล็กหรือตะเกียบจำนวนหนึ่งมาพยากรณ์

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท