ตอนที่ 516 ถิ่นของข้าต้องให้ข้าแสดงอิทธิฤทธิ์
เสวียนชิงจื่อรู้สึกว่าฉินหลิวซีอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายราวประทัด ชอบทำเรื่องเหนือคาดและยากจะรับมือได้ แต่กลับไม่รู้ว่าเรื่องที่ทำให้ฉินหลิวซีกระวนกระวายใจที่สุดกลับเป็นเรื่องพลังบำเพ็ญของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน
ราชวงศ์ต้าเฟิงพลังจิตวิญญาณน้อยนิด อีกทั้งไม่ใช่ยุคแห่งการบำเพ็ญเซียน แต่เป็นเพียงยุคที่คนธรรมดาเพียงหยิบมือมีอำนาจ คนที่เดินสายเต๋าหากบำเพ็ญได้ อายุขัยก็ย่อมยืนยาวขึ้นเหมือนปรมาจารย์ไท่เฉิง ถ้าบรรลุขั้นสร้างรากฐานสำเร็จอายุขัยจะยืนยาวถึงสองร้อยปี ทว่านักพรตเฒ่าชื่อหยวนเล่า
เขาอาจจะมีอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ
ฉินหลิวซีไม่อยากเห็น เพราะนี่เป็นความอบอุ่นแรกยามที่นางมาเยือนบนโลกใบนี้
ดังนั้นนางไม่อยากได้ยินคำว่าบรรลุขั้นสร้างรากฐานไม่สำเร็จ แต่ศิษย์พี่น้องคู่นี้กลับเอาเรื่องนี้มาพูด แม้จะฟังดูเอาแต่ใจไปบ้าง ทว่านางก็ยังพานโกรธไปอยู่ดี
ได้ พฤติกรรมพานโกรธเป็นเพราะนางยังบำเพ็ญได้ไม่ดีพอ นางอดกลั้นได้
ทว่าแค่ให้เขาหยิบอาวุธออกมาดู แต่นักพรตหญิงผู้นั้นกลับทำทีเหมือนนางคิดจะแก่งแย่ง แบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
สุดที่จะทนแล้ว นางไม่ทนอีกต่อไปแล้ว!
ฉินหลิวซีระเบิดอารมณ์โดยไม่สนว่าสีหน้าเขาจะเป็นอย่างไร ถ้ายังแผลงฤทธิ์เดชในถิ่นตนไม่ได้ ออกไปไม่ยิ่งกลายเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเลยหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขามาเพื่อขอความช่วยเหลือถึงที่ มีสิทธิ์อะไรวางตัวสูงส่ง อาศัยว่ายอดทองของอารามจินหัวเปล่งแสงระยิบระยับแยงตานักหรือไร
หรืออาศัยว่าจิตใจของพวกเขากว้างขวางกว่านางที่ทำเพื่อราษฎรในใต้หล้า
ถุย!
นางเป็นพวกคิดต่างมาตั้งแต่เกิด หากไม่พอใจ เรื่องของชาวบ้านก็ไม่เกี่ยวกับนาง ลำพังแค่นางไม่โยนลูกไฟเพิ่มเข้าไปอีกลูกก็นับว่านางเมตตามากแล้ว
ที่นี่ถิ่นข้าต้องให้ข้าแสดงอิทธิฤทธิ์สิ!
เมื่อเหยาเฟยเฟยถูกระเบิดอารมณ์ใส่ต่อเนื่อง ทั้งร่างจึงมึนงงไปชั่วขณะ
นางมีพรสวรรค์ในเบญจศาสตร์เสวียนเหมิน ดังนั้นนางจึงบูชาเดินเส้นทางสายเต๋าเพื่อศึกษาศาสตร์เสวียนเหมินมาตั้งแต่เยาว์วัย อีกทั้งมีอารามจินหัวชื่อดังคอยหนุนหลัง ยามที่ผจญอยู่โลกภายนอก มีใครไม่เคารพเซียนผู้ศักดิ์สิทธิ์คนนี้บ้าง ทว่าบัดนี้กลับถูกฉินหลิวซีตวาดโมโหใส่จนหน้าเหลือง นี่เป็นความอับอายครั้งแรกนับตั้งแต่นางเดินเส้นทางสายเต๋ามาเลยก็ว่าได้
ขณะที่นางหมายเอ่ยทฤษฎีสักสองสามประโยค แต่กลับถูกเสวียนชิงจื่อตำหนิใส่ด้วยใบหน้าขึงโกรธเขียวปั๊ด “ศิษย์น้องหญิง ระวังคำพูดด้วย”
เหยาเฟยเฟยยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ สองดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา
เสวียนชิงจื่อหยิบถุงผ้าตรงช่วงเอวขึ้นมาก่อนหยิบกระดิ่งไล่วิญญาณที่สลักอักขระยันต์ยาวเป็นพรวนออกมาพร้อมใช้สองมือยื่นส่งให้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอดกลั้น “เจ้าอาวาสน้อยเข้าใจผิดแล้ว แค่อาวุธเท่านั้น ใช่ว่าอารามจินหัวจะดูแคลนใคร ต่อให้พัง อาจารย์ก็สามารถหล่อหลอมขึ้นมาใหม่ได้ เจ้าอาวาสน้อยโปรดอย่างถือสาความสงสัยก่อนหน้านี้เลย คิดหาวิธีใดช่วยให้พวกเราตามตัวเจ้าผีร้ายนั้นในเร็ววันที”
“ศิษย์พี่ ตอนนี้จนปัญญาจะใช้กระดิ่งไล่วิญญาณนี่…” เหยาเฟยเฟยอดพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งไม่ได้ จากนั้นก็เงียบกริบภายใต้สายตาตักเตือนของเขา
ฉินหลิวซีไม่ยื่นมือไปรับ ถึงอย่างไรนางก็ไม่สนใจเรื่องนี้ หากบังเอิญเจอ นางจับได้ก็จับ แต่ไม่มีทางไล่ตามไปแน่นอน โดยเฉพาะอีกฝ่ายไร้ท่าทีของคนร้องขอความช่วยเหลืออย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ นางไม่ยอมหรอก
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเป็นฝ่ายรับมาก่อนจะเลื่อนสายตามองอาวุธชิ้นนั้น ค่ายอาคมอักขระยันต์ที่สลักบนภาพวาดแต่ละชั้นแฝงไปด้วยแสงประกายศักดิ์สิทธิ์ นับว่าเป็นอาวุธที่หายากชิ้นหนึ่งจริงๆ
“เจ้าลองดู” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนยัดกระดิ่งไล่วิญญาณใส่มือของฉินหลิวซี พร้อมส่งสายตาบอกเป็นนัยๆ ว่าเลิกทำตัวเป็นเด็กสักที ไม่ธรรมดา พลังตอกหน้าเลยทีเดียว!
ฉินหลิวซีขึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็หยิบกระดิ่งไล่วิญญาณขึ้นมาดูอักขระยันต์และค่ายอาคมที่ซ่อนไว้ด้านบน ทว่าสายตาไร้ซึ่งอารมณ์ใด
เสวียนชิงจื่อจับจ้องนางไม่วางตา ครั้นเห็นนางไร้ท่าทีตอบสนองใดจึงเอ่ยขึ้นว่า “กระดิ่งไล่วิญญาณชิ้นนี้อาจารย์ข้าเป็นคนหล่อขึ้นมาเอง หากประทับร่างวิญญาณ ตรายันต์จะติดบนร่างนั้น เป็นเคล็ดวิชากระตุ้น ไม่ว่าเจ้าวิญญาณนั้นอยู่แห่งหนใดก็จะสะกดรอยตามเจอทุกครั้ง”
“ก่อนหน้านี้พลังของเจ้าผีตนนั้นค่อนข้างอ่อนกระมัง เพราะหากเจอผีพลังล้นหลามกลบเข้าไปคงไร้ซึ่งหนทางใช้ได้แล้ว ดังนั้นอาวุธชิ้นนี้ต้องเพิ่มแรงอาคมลงไปอีก”
เสวียนชิงจื่อกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเอ่ยอย่างยอมจำนนว่า “ใช่ ดังนั้นข้าถึงคิดว่าเจ้าผีร้ายเขมือบวิญญาณเร่ร่อนอื่นๆ หรือทำร้ายคนเพิ่มจนพลังแข็งแกร่งขึ้น หากปล่อยมันลอยนวลต่อไป เกรงว่าจะมีคนโดนทำร้ายอีก ”
ฉินหลิวซีจับใจความสำคัญในนั้นได้จึงเงยหน้ามองเขา “ฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้ แสดงว่าแรกเริ่มเจ้าผีร้ายตนนั้นยังไม่ได้รับมือยากเท่าไรนัก ในเมื่อเจ้าสามารถใช้กระดิ่งไล่วิญญาณประทับร่างของมันเพื่อติดตามเบาะแสได้”
เสวียนชิงจื่อร่างแข็งทื่อ
เหยาเฟยเฟยแววตาวูบไหว
ครั้นฉินหลิวซีเห็นสีหน้าเช่นนั้น ดวงตาสุกใสก็หรี่ลง เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่นอน
“ทำไมหรือ หรือว่ามีเงื่อนงำใดแฝงอยู่อีก ผีร้ายตนนั้นดุร้ายขึ้นเพราะพวกเจ้ายั่วยุอย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีมองเหยาเฟยเฟย นิสัยแบบนี้แปดเก้าในสิบส่วนหาความเดือดร้อนมากกว่า
เหยาเฟยเฟยเอ่ยอย่างขัดเคือง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือพวกเราจะสร้างผีมาได้อย่างนั้นหรือ เขาฆ่ายกครัวไปแล้วห้าคนยังจะเป็นผีที่ดีอีกหรือ พวกเราอยากฆ่ามันให้ตาย เพื่อขจัดสิ่งชั่วร้ายผดุงความถูกต้อง”
ฉินหลิวซียิ้มเย้ยหยันมองไปทางเสวียนชิงจื่อ “สหายเสวียนชิงไม่มีสิ่งใดอยากพูดเลยหรือ หากมีเรื่องปิดบัง ข้าก็คงจนใจจะช่วยเจ้าได้”
เสวียนชิงจื่อเงียบไปก่อนเอ่ย “พวกเราผ่านเรือนตระกูลหลิวพร้อมเห็นไอวิญญาณพุ่งขึ้นฟ้า พอบุกเข้าเรือนไปถึงเห็นผีผู้ชายตนนั้นทำร้ายคน เจ้าผีตนนั้นบอกว่าตระกูลหลิวทำร้ายคนในตระกูลเขาก่อน เขาเพียงมาแก้แค้น แต่ไม่คิดจะทำร้ายคนบริสุทธิ์”
“ศิษย์พี่ นี่เป็นเพียงคำให้การของเจ้าผีร้ายนั่นด้านเดียวเพื่อเป็นข้ออ้างให้ตนเองฆ่าคนได้ พวกมันชำนาญการใช้กู่ครอบงำคน ฆ่าคนก็คือฆ่าคน ผีดุร้ายเช่นนี้ พวกเราต้องฆ่าเขาทิ้ง” เหยาเฟยเฟยกลับไม่ได้คิดว่าพวกนางทำผิดอะไร
ฉินหลิวซีเข้าใจขึ้นมาทันที เอ่ย “ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของเขาเลยคิดที่จะฆ่าทิ้ง ทว่ากลับทำให้อีกฝ่ายโกรธแค้นพยาบาทมากขึ้นจนกลายเป็นผีดุร้าย”
เสวียนชิงจื่อเงียบไป พวกเขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว ยามที่พวกเขาหมายสังหารเจ้าผีผู้ชายตนนั้นกลับกระตุ้นให้อีกฝ่ายโกรธแค้นเป็นเท่าทวีคูณ กระทั่งฉวยโอกาสเขมือบกินวิญญาณของคนในตระกูลหลิวที่เพิ่งตายในเรือนเข้าไปอย่างสิ้นไร้หนทาง ก่อนพลังวิญญาณจะแกร่งขึ้นแล้วหนีรอดไปได้
“เขาฆ่าห้าคนยกครัวเป็นสิ่งที่พวกเราเห็นเองกับตา หาใช่การใส่ความ” เสวียนชิงจื่อกล่าว
ฉินหลิวซีก้มหน้าลงพลางกล่าว “หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง เขาทำไปเพื่อแก้แค้นเท่านั้น หลังจากฆ่าเสร็จก็คงจากไป แต่ไม่ได้คิดจะเขมือบกินวิญญาณเหล่านั้น กระทั่งไม่คิดที่จะหลบหนีหรือเขมือบกินวิญญาณมากขึ้นหรือทำร้ายสิ่งมีชีวิตใด หากเขาถูกบีบให้เข้าสายดำขึ้นมา ผลกรรมที่เกิด…”
เสวียนชิงจื่อหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนั้นวิญญาณหรือคนตายที่ถูกกลืนกินไปภายหลัง พวกเขาคงได้รับผลกรรมด้วยไม่มากก็น้อย
เหยาเฟยเฟยกลับไม่ยอมจำนน “หากเป็นดั่งเจ้าว่าคนขจัดสิ่งชั่วร้ายผดุงความถูกต้องอย่างพวกเราก็ทำผิดกันหมดหรือ”
“หากอยากรู้ต้นตอก็ต้องหาคนต้นเรื่องเท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
เสวียนชิงจื่อและเหยาเฟยเฟยใจเย็นสะท้านวาบ คนผู้นี้เย็นชาและโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว
ฉินหลิวซีมองกระดิ่งไล่วิญญาณนั้นแล้วเอ่ย “เจ้าอาวุธนี้ใช้งานอย่างไร วิชาอาคมเล่า”
เสวียนชิงจื่อดึงสติกลับมา เอ่ยพลางส่ายศีรษะ “ไร้ประโยชน์ ข้าตามหาตำแหน่งที่เขาอยู่ไม่เจอแล้ว”
“แค่พูดมาก็พอ”
เหยาเฟยเฟยเผยสีหน้าคลางแคลงใจ เอ่ยอย่างระแวง “เจ้าคงไม่ได้คิดฉวยโอกาสนี้เรียนอาคมนี้ไว้ไล่วิญญาณหรอกกระมัง”
“ทำไมเล่า กลัวข้ารู้เข้าแล้วจะหักหลังแย่งของอาวุธล้ำค่าของพวกเจ้ามาอย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีกลอกตาใส่นางด้วยท่าทีคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เหยาเฟยเฟยถูกมองความคิดออก “เจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออะไรกัน”
“ศิษย์น้องหญิง!” เสวียนชิงจื่อว่ากล่าวเสียงเบาอย่างไม่ชอบใจนัก ไยวันนี้ศิษย์น้องหญิงถึงขาดความสุขุม ถูกยุแหย่จนพลั้งปากอยู่ร่ำไป ช่างเสียมารยาทเสียจริง