ตอนที่ 518 ใครไม่มีศิษย์หรือ
เสวียนชิงจื่อกลับมายังลานเต๋า ในสมองยังคงสับสนมึนงงอยู่บ้างก่อนเลื่อนมือคลำช่วงเอวตามใต้จิตสำนึก ถุงผ้าที่เคยใส่กระดิ่งไล่วิญญาณกลับว่างเปล่าเสียแล้ว
เหตุใดเขาถึงตกอยู่ในสภาวะทำอาวุธที่อาจารย์ให้หายไปในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวันได้นะ
เสวียนชิงจื่ออยากร่ำไห้แต่กลับไร้น้ำตา
แค่มาขอที่พักและความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายดันเอาอาวุธให้เขาไป
ถลำไปไกลแล้ว
“ศิษย์พี่ถูกนางปีศาจนั่นสะกดจิตใช่หรือไม่ นั่นเป็นกระดิ่งไล่วิญญาณที่อาจารย์ให้พี่ เหตุใดถึงให้นางไปตามอำเภอใจเช่นนั้นเล่า” เหยาเฟยเฟยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
คนฝีปากแกร่งกล้าอย่างฉินหลิวซี ไม่ใช่แค่วาจาคมคายแต่ยังอาบไปด้วยพิษ ซ้ำเป็นพิษร้ายแรงด้วย หว่านล้อมไม่กี่คำก็ข่มจนศิษย์พี่ต้องมอบกระดิ่งไล่วิญญาณให้ มันน่าโมโหเสียจริง!
เสวียนชิงจื่อทั้งหงุดหงิดและขึ้งโกรธอยู่บ้าง แต่ก่อนคิดว่าศิษย์น้องหญิงใสซื่อ สะสวยและน่าเอ็นดู แต่พอพวกเขาได้ออกมาผจญโลกภายนอกด้วยกัน เข้าขากันพอได้ นับว่าราบรื่นอยู่บ้าง ทว่าพอมาถึงอารามชิงผิงนางกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เสวียนชิงจื่อเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ายังไม่ได้สั่งสอนเจ้าเลย ที่นี่คืออารามชิงผิง เหตุใดเจ้าถึงขาดท่าทีสุขุมและสติสัมปชัญญะครั้งแล้วครั้งเล่า พูดจาไม่น่าฟังกับเจ้าอาวาสน้อยเช่นนั้น หากเจ้าไม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว เราก็คงไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนเพื่อขอให้พวกเขาช่วยเหลือเราก่อนล่วงหน้าเช่นนี้หรอก”
เหยาเฟยเฟยหน้าซีดลง น้ำตาเอ่อล้นจนทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่ นี่กำลังโทษข้าอยู่หรือ”
ครั้นเสวียนชิงจื่อเห็นนางสลดน้ำตาไหลอาบพลันหัวใจก็อ่อนระทวย ทว่าพอคลำตรงช่วงเอวก็กลับมาเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งขรึมอีกครั้ง “ใช่ว่าข้าจะโทษเจ้า แค่รู้สึกว่าเจ้าสร้างความวุ่นวายจริงๆ ก่อนหน้านี้เจ้ายังดีๆ อยู่ แต่ทำไมพอเจอเจ้าอาวาสน้อย เจ้ากลับทำตัวเป็นหนามทิ่มแทงก็มิปาน แถมเอ่ยวาจากระทบกระทั่งเช่นนั้นด้วย”
“นางต่างหากที่พูดจากระทบกระทั่ง ท่านพี่ลองขบคิดคำพูดของนางดู นอกจากจะยั่วโมโหข้าแล้วยังแฝงไปด้วยคำพูดถากถาง ข้าโมโหแทบตาย” เหยาเฟยเฟยยู่ปากเอ่ย “ศิษย์พี่ติเตียนข้าเพราะคนนอก หรือท่านพี่ชอบนางปีศาจนี่เข้าแล้ว เพราะนางเอ่ยปากเรียกว่าศิษย์พี่อย่างนั้นหรือ”
“ศิษย์น้องหญิง!” เสวียนชิงจื่อหน้าเขียวด้วยความโมโห “อย่าพูดจาเหลวไหล”
เหยาเฟยเฟยเองก็รู้ว่าตนไร้เหตุผล แต่ก็ยังเอ่ยด้วยเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ “ศิษย์พี่ช่วยแต่คนอื่น ข้าทุกข์ใจนัก พวกเราต่างหากที่เป็นศิษย์สำนักเดียวกันมิใช่หรือ”
“แค่ให้ความเคารพเท่านั้น” เสวียนชิงจื่อกล่าวขึ้นอย่างปวดศีรษะว่า “เอาเป็นว่าสงบอารมณ์ของเจ้าลงบ้าง เลิกใช้น้ำเสียงโผงผางแบบนั้นได้แล้ว”
พอเขาเห็นสีหน้าไม่ยอมอ่อนลงก็เอ่ยเสียงเหนื่อยล้า “ข้าเห็นว่าเจ้าอาวาสน้อยคนนี้ชอบใช้ลูกไม้ที่เหนือคาด ปะทะด้วยไม่ได้ หาเรื่องด้วยก็ไม่ได้ ต้องโอนอ่อนให้เท่านั้น ดูเถิดว่าเจ้าพูดจากระแนะกระแหนทีเราก็เสียอาวุธไปชิ้นหนึ่งแล้ว”
เหยาเฟยเฟยโดนใส่ความเข้าแล้วจริงๆ “ศิษย์พี่เป็นคนให้เองต่างหากเล่า” เหตุใดถึงมาโยนให้เป็นความผิดของนาง
เสวียนชิงจื่อเอ่ยด้วยใบหน้าขรึม “ข้าให้ไปเองก็จริง แต่หากไม่เก็บเจ้าผีร้ายนั้น ปล่อยให้ไปทำเรื่องเลวร้ายด้านนอก กลับไม่ใช่สิ่งที่ผู้เดินทางสายธรรมะอย่างเราจะอดกลั้นเพิกเฉยได้”
เหยาเฟยเฟยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แต่ข้าว่าคนบางคนอดกลั้นและเพิกเฉยได้”
ซึ่งก็สื่อถึงฉินหลิวซีนั่นเอง หากไม่ให้อาวุธก็จะไม่ยอมลงมือ นี่ถือว่าเดินทางสายธรรมะที่ไหนกัน ต้มตุ๋นหลอกลวงกันมากกว่า
“นางไม่สนใจเพราะไม่เกี่ยวข้องกับผลแห่งกรรมใดด้วย ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะศาสตร์ของเรายังไม่เพียงพอที่จะเก็บกวาดเจ้าสิ่งนั้นได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวิบากเพิ่มขึ้นมา” เสวียนชิงจื่อกลัวว่าจะเป็นอย่างที่ฉินหลิวซีเอ่ยไว้มากกว่า ยั่วยุจนเจ้าสิ่งนั้นอาฆาตจนเข้าสู่ทางมืด หากคนตายมากขึ้นก็ยิ่งมีความผิดเพิ่มขึ้นไปอีก
เหยาเฟยเฟยยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “การจับผีไม่ใช่ความผิดของเรา ถ้าเห็นแล้วเพิกเฉยก็มิใช่ความผิดอย่างนั้นหรือ แบบนี้มันน่าน้อยใจเกินไปแล้ว”
“เปิดใจให้กว้าง ต่อให้จะมีผลแห่งกรรม แต่ก็คงไม่ร้ายแรงเกินไป พวกเรามีใจเดินทางสายเต๋ามาตลอด เวลานี้สิ่งที่สำคัญก็คือเก็บเจ้านั่นเสีย เพื่อเลี่ยงไม่ให้ไปทำร้ายคนบริสุทธิ์คนใดอีก” เสวียนชิงจื่อผุดนึกถึงกระดิ่งไล่วิญญาณขึ้นมาได้ “ส่วนเรื่องกระดิ่ง วันหน้าข้าค่อยอธิบายกับอาจารย์ ในเมื่อเป็นการขจัดสิ่งชั่วร้ายผดุงความถูกต้อง อีกทั้งนางยังสามารถใช้งานกระดิ่งนั้นได้ แสดงว่าพลังของศาสตร์นี้ไม่ใช่ของข้าแล้ว”
กระทั่งอาจอยู่เหนือกว่าเขาไปอีก
เหยาเฟยเฟยไม่ชอบฟังประโยคนี้เลย แบบนี้เหมือนสรรเสริญความน่าเกรงขามของผู้อื่นแต่ดันดูแคลนความสามารถของตนเองชัดๆ
“ก็แค่แมวตาบอดเดินชนหนูตายก็เท่านั้น” นางเอ่ยพึมพำเสียงเบา
เสวียนชิงจื่อคร้านจะต่อความยาวสาวความยืด เพราะเขาถูกฉินหลิวซีทำให้สะเทือนใจเข้าแล้วจริงๆ กระดิ่งใบนั้นติดตัวเขามาหลายปี กระทั่งฝึกการใช้งานจนช่ำชองนานแล้ว ในขณะที่พลังเคล็ดวิชาของเขาไม่แข็งแรงพอจะไล่ตามวิญญาณชั่วร้ายนั้นกลับมาได้ แต่ฉินหลิวซีล้มเหลวไปเพียงครั้งเดียว นางกลับคิดหาวิธีใช้งานมันจนสำเร็จ
ถึงแม้เขาจะรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าอาวาสน้อยผู้นี้มีของ อีกอย่างนางอายุยังน้อยขนาดนี้ แต่ตอนเขาอายุเท่านั้นกลับมัวทำอะไรอยู่
ไม่นานเสวียนชิงจื่อก็ได้สติจากห้วงความสงสัยที่มีต่อตนเองก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องพูดแล้ว ยิ่งเจ้าผีร้ายนั้นเก่งกาจมากเท่าไร เราต้องยิ่งระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ถือโอกาสที่ยังมีเวลาเตรียมยันต์ต่างๆ กันเถิด”
เหยาเฟยเฟยทำได้แค่ข่มความอัดอั้นที่แผ่ขยายเต็มหัวใจไว้
ส่วนอีกด้านเจ้าอาวาสชื่อหยวนหยิบกระดิ่งไล่วิญญาณนี้ขึ้นมาก่อนจะโยนไปให้ฉินหลิวซีแล้วเอ่ย “เจอผีดุร้ายแต่กลับไร้ประโยชน์ ก็งั้นๆ ในเมื่อเจ้าหลอก…ในเมื่อเขามอบให้เจ้าแล้ว เจ้าก็ลองศึกษาลงอาคมเพิ่มให้มันแล้วกัน ตอนใช้งานเจ้าจะได้คล่องมือ”
“เจ้าค่ะ ข้าเห็นว่ามีฐานอาคมโจมตีวิญญาณด้วย แต่ไม่แกร่งกล้าเท่าไรนัก หากฐานอาคมนี้แข็งแกร่งขึ้นมา ต่อให้ถูกจู่โจม ร่างวิญญาณก็ต้องเสียหายบ้าง” ฉินหลิวซีกล่าว นางวางกระดิ่งไล่วิญญาณไว้อีกด้าน มองนักพรตเฒ่าชื่อหยวนแล้วเอ่ย “เหยาเฟยเฟยนั่นเหยียบย่ำท่านเรื่องพลังบำเพ็ญหรือ”
“เจ้าเด็กนั่นแค่ฮึกเหิมย่ามใจที่อาจารย์ตนบรรลุขั้นสร้างรากฐานสำเร็จก็เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเหยียบย่ำอะไรหรอก” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนยิ้มบาง
“แต่ท่านฟ้องข้า”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ย “ใครไม่มีศิษย์บ้างเล่า ในเมื่อไท่เฉิงมี ข้าเองก็มี ศิษย์เขารังแกข้า ข้าแค่เรียกศิษย์กลับมาเอาคืน ไม่ผิดสักหน่อย!”
ลองฟังเหตุผลร้อยแปดบ้าๆ นี้ดูเถิด!
ฉินหลิวซีโมโหจนหลุดหัวเราะ แต่เรื่องคิดเล็กคิดน้อยกับเด็ก หากแพร่งพรายออกไปเกรงว่าคนอื่นคงหัวเราะเยาะจนฟันหลุด
“เจ้าวางใจได้ ข้าก็แค่สั่งสอนเรื่องเล็กน้อยให้พวกเขาเท่านั้น ภายภาคหน้ายามที่มารเอ้อฝูก่อเรื่องวุ่นวาย ต่อให้พวกเขาไม่ยอมทุ่มกำลังพลสละศาสตร์วิชา ปรมาจารย์ไท่เฉิงที่สำเร็จขั้นสร้างรากฐานผู้นี้ก็ต้องลงมือเองมิใช่หรือ” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนกลั้วหัวเราะอย่างน่าขนลุก
ปรมาจารย์ไท่เฉิงที่กำลังเทศนาธรรมแก่ศิษย์ในอาราม ณ เมืองเซิ่งจิงซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปเสียวสันหลังวาบ มือที่หดซุกอยู่ในแขนเสื้ออดนับนิ้วคำนวณไม่ได้ พลันรู้สึกว่าตาเฒ่าเต่าล้านปีนั่นกำลังวางแผนทำร้ายเขาอยู่!
ฉินหลิวซีเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “เรื่องต่อจากนี้ท่านไม่ต้องสนใจ ท่านเก็บตัวบำเพ็ญเถิด”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนขมวดคิ้วมุ่น
“วัตถุดิบยาที่ใช้ในการสร้างรากฐานข้าใกล้รวบรวมครบแล้ว ข้าต้องปรุงมันขึ้นมาให้ได้ แต่หากพลังบำเพ็ญของท่านไม่ใกล้แตะขอบเขตนั้นอีกครั้ง คงพลิกกลับมาเลื่อนขั้นอีกไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ย “เจ้าทำไปเพื่ออะไรกัน ราชวงศ์ของฮ่องเต้ในเวลานี้ใช่ว่าจะเลื่อนขั้นได้ตามใจชอบ ในเมื่อขาดพลังจิตวิญญาณ ลำพังแค่มีอายุขัยอย่างที่คนธรรมดาทั่วไปเฝ้าฝันก็นับว่าคุ้มแล้ว ไม่จำเป็นดื้อดึง มนุษย์เราอย่างไรก็ต้องตาย หรือ…”
“เงียบไปเลย!” ฉินหลิวซีลุกขึ้น ถลึงตาใส่เขา “บอกให้ท่านเก็บตัวบำเพ็ญก็ทำไป อย่าพูดให้มากความ คิดว่าข้ากลัวท่านเลื่อนขั้นเป็นเซียนหรือ ท่านขึ้นเป็นเซียนแล้ว ข้าก็ได้สืบทอดต่อพอดี ข้าก็จะปิดอารามชิงผิงแห่งนี้แล้วออกไปผจญทั่วทั้งใต้หล้าเสีย!”
“เจ้ากล้าหรือ!”
“ท่านดูเอาเถิดว่าข้ากล้าหรือไม่” ฉินหลิวซียิ้มเย็นชา นางทิ้งคำพูดโหดเหี้ยมก่อนเดินจากไปอย่างไม่แยแส
“เจ้าศิษย์ทรยศหยุดนะ!” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนขึงตาพลางเป่าเคราด้วยความขัดเคือง พอเห็นร่างเงาของนางลับตาไปถึงเก็บสีหน้านั้นก่อนทอดถอนหายใจ “ช่างไม่รู้อะไรเลยเสียจริง”