คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 519 เก่งกาจกว่าที่จินตนาการไว้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 519 เก่งกาจกว่าที่จินตนาการไว้

พวกเสวียนชิงจื่อเองก็ไม่รู้ว่าหมู่บ้านเสี่ยวหมางอยู่แห่งใด เห็นฉินหลิวซีบอกว่าตอนเย็นค่อยไปนึกว่าจะอยู่ใกล้ๆ นั่งรถม้าไปหน่อยก็ถึง แต่คิดไม่ถึงว่าจะห่างจากอารามชิงผิงราวหกถึงเจ็ดชั่วยาม

“แล้วจะไปอย่างไร” เหยาเฟยเฟยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “เดินทางหามรุ่งหามค่ำเลยหรือ”

ฉินหลิวซีเหลือบมองอย่างเย็นชาแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “นี่เพิ่งเดือนสาม น้ำค้างยามราตรียิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ ใครจะเดินทางหามรุ่งหามค่ำกัน”

“เช่นนั้นจะไปอย่างไร”

ฉินหลิวซีมองเสวียนชิงจื่อด้วยท่าทีประหลาดใจ “อารามจินหัวของพวกเจ้าไม่เคยยืมเส้นทางหยินหรือ”

เสวียนชิงจื่อสีหน้าเปลี่ยน

เขาเคยได้ยินเรื่องยืมเส้นทางหยิน แต่นั่นเป็นศาสตร์วิชาชั้นสูงที่เกี่ยวพันกับช่องมิติใช่ว่าใครก็ทำได้ เพราะต้องฉีกเปิดปากเส้นทางหยิน ทั้งยังต้องระวังว่าระหว่างทางนั้นจะไม่หนีแตกตื่น ผู้ใช้ศาสตร์ต้องมีพลังบำเพ็ญที่ลึกล้ำมากถึงจะได้

มิเช่นนั้นหากนักพรตทั่วไปสามารถเปิดเส้นทางหยินได้ตามใจชอบ เข้าออกได้ตามอำเภอใจ เส้นทางหยินหยางระหว่างสิ่งมีชีวิตกับความตายจะไม่ชุลมุนกันหมดหรือ

อย่างน้อยเสวียนชิงจื่อก็ไม่เคยลองเดินเส้นทางนี้มาก่อน แม้แต่พลังบำเพ็ญหลอมลมปราณขั้นห้าอย่างเขาในตอนนี้ยังทำไม่ได้ แล้วพลังบำเพ็ญของฉินหลิวซีเล่า

ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นพลางเก็บอสูรนำทางไป “มา ศิษย์น้องหญิงจะพาคนเซิ่งจิงอย่างพวกศิษย์พี่ได้เปิดโลกกว้าง”

นี่กำลังสื่อถึงใครกันแน่

เหยาเฟยเฟยโมโหแทบตาย นางมองไปทางเสวียนชิงจื่อ ศิษย์พี่ดูเอาเถิด ไม่ใช่ข้าที่เป็นฝ่ายพูดจากระแนะกระแหน แต่ไหนแต่ไรมานางต่างหากที่ชอบกระแนะกระแหน

ฉินหลิวซีเคลื่อนไหวเปิดเส้นทางหยินอย่างว่องไว รวดเร็วเสียจนเสวียนชิงจื่อไม่ทันได้เห็นอย่างละเอียด พออีกฝ่ายจัดการเปิดปากทางได้แล้วก็เป็นฝ่ายเดินข้ามเข้าไปก่อน

เสวียนชิงจื่อทั้งตกใจทั้งตื่นตาที่ได้เจอความแปลกใหม่ นี่เป็นประตูที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทว่าฉินหลิวซีกลับเคยได้สัมผัส นางเก่งกาจกว่าที่ตนจินตนาการไว้มากนัก

“ตามติดอย่าให้ห่าง ถ้าหลงระหว่างทางข้าไม่กลับไปหานะ” ฉินหลิวซีมองพวกเขาด้วยท่าทีคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

ถึงแม้คำพูดนี้จะแฝงไปด้วยความขบขันแต่กลับเป็นการเตือนอย่างเป็นนัยๆ เสวียนชิงจื่อจึงแอบเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นพร้อมดึงเหยาเฟยเฟยที่ระดับบำเพ็ญต่ำกว่าไว้ด้วย

แม้ว่าจะบอกให้ทำการเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่หลังจากเดินผ่านเส้นทางหยินเจอผีส่งเสียงร้องโหยหวนมาตลอดทาง ทั้งสองกลับเผยสีหน้าซีดเซียวอยู่บ้าง

“พวกเจ้าเองก็เป็นคนในเสวียนเหมิน เจอผีมาก็ไม่น้อย เหตุใดถึงมีท่าทีหวาดผวาเช่นนี้” ฉินหลิวซีจิ๊ปากใส่ที

เสวียนชิงจื่อพูดไม่ออก ทว่าเหยาเฟยเฟยกลับยิ่งคลื่นไส้

นางเจอผีมาไม่น้อยก็จริง แต่ทะลักมาเป็นคอกแบบนี้ แถมสาเหตุการตายแตกต่างกันไป ใครมันจะไปทนไหว

ไม่สิ ลำพังแค่นึกถึงภาพไส้ทะลุเน่าเฟะแถมมีหนอนชอนไช อาหารเจที่กินไปก็แทบสำรอกออกมาแล้ว

เสวียนชิงจื่อสวดบทสงบจิตใจเสียงเบาเสร็จรอบหนึ่งถึงมองสภาพแวดล้อมรอบกายอันมืดมิดที่ไร้ซึ่งแสงไฟสว่างไสว โพล่งถามขึ้นว่า “ที่นี่คือเขาร้างนั่นหรือ”

“เป็นทางเข้า เดินขึ้นไปก็เห็นสุสานนั้นแล้ว ไปกันเถิด” ฉินหลิวซีใช้ตะบันไฟจุดคบเพลิงไฟลุกโชน

ความจริงสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จู่ๆ จุดไฟจนสว่างไสว หากมีคนเดินแวบผ่านมาคงตกใจน่าดู

เหยาเฟยเฟยในใจขนลุกซู่ ในมือแอบกำยันต์ขับไล่ผีไว้ในมือพลางแอบท่องบทคุ้มครองของบรรพบุรุษตระกูลตน

เสวียนชิงจื่อเดินตามหลังฉินหลิวซีอยู่ตลอดพลางลอบประหลาดใจอยู่บ้าง ทั้งๆ ที่ที่แห่งนี่เป็นเขารกร้าง แต่นางกลับเดินสับเท้าไปโดยไม่คิดลังเลใจสักนิด ราวกับรู้ว่าจุดหมายอยู่ตรงไหนแต่แรกแล้ว

ส่วนคบเพลิงในมือของนางก็มีไว้ใช้ส่องแสงสว่างเท่านั้น

เวลานี้เป็นช่วงเดือนสาม ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นขึ้นแล้ว สรรพสัตว์ออกจากการจำศีล ในป่ามีนกฮูกส่งเสียงร้องยิ่งขับให้บรรยากาศวังเวงเข้าไปใหญ่

ฉินหลิวซีพาพวกเขาเดินไปได้ไม่ไกลนักก็หยุดฝีเท้าลง ยกคบเพลิงขึ้นสูงก่อนหรี่ตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า “ถึงแล้ว”

ความจริงกระดิ่งไล่วิญญาณก็มีประโยชน์ เพราะห่างจากเจ้าผีร้ายนั่นไม่ไกลนักจึงสัมผัสการมีอยู่ของตราประทับวิญญาณได้ มันเริ่มเต้นสั่นสะเทือน เพียงแต่ถูกฉินหลิวซีอุดกดเอาไว้

พอตอนนี้มาถึงที่ฉินหลิวซีก็คลายมือออก เสียงกระดิ่งก็ดังติ้งๆ ขึ้นไม่หยุดราวกับบทเพลงไล่วิญญาณที่หมายช่วงชิงเอาชีวิตไป เหยาเฟยเฟยตกใจจนกรีดร้องเสียงแหลม

เสวียนชิงจื่อเองก็สะดุ้งโหยงเพราะเสียงกระดิ่งเย็นยะเยือกนี้ ทว่าไม่นานก็สงบสติลงก่อนมองสุสานตรงหน้าที่มีไอวิญญาณพุ่งขึ้นฟ้าด้วยสีหน้าขรึมลงเล็กน้อย

“พลังวิญญาณของมันแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ มั่นคงกว่าตอนที่หลบหนีก่อนหน้านี้มาก” เสวียนชิงจื่อกลุ้มใจไม่น้อย

ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่ทันทำอะไรก็ปล่อยหลบหนีไปได้แล้ว บัดนี้ปล่อยให้พลังของเจ้าผีตนนี้เพิ่มขึ้น พวกเขาจะยังรับมือไหวอีกหรือ

เสวียนชิงจื่อมองไปทางฉินหลิวซีประสานมือคารวะพลางเอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย หากอีกเดี๋ยวพลังของเราสองพี่น้องไม่เพียงพอ ท่านเจ้าอาวาสน้อยโปรดช่วยพวกเราที อย่าให้เขาหนีไปได้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ไปมากกว่านี้”

ฉินหลิวซีสามารถเปิดเส้นทางหยินได้ พลังบำเพ็ญย่อมเหนือกว่าเขาแน่นอน เขาไม่สนใจเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรีใดๆ แล้ว ด้วยภัยอันตรายตรงหน้า ขอให้ฉินหลิวซีออกแรงช่วยจะดีกว่า

ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่ยกมุมปากขึ้นก่อนเอ่ย “ไปเถิด เชื่อในตนเอง พวกเจ้าทำได้ ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์ที่มาจากอารามจินหัว”

เสวียนชิงจื่อ “!”

เขาเผยรอยยิ้มเจื่อน

เหยาเฟยเฟยถลึงตามองฉินหลิวซีอย่างเคียดแค้น อยากจะเย็บปากของนางให้ติดกันเสีย

“ศิษย์น้องหญิง ระวังตัวด้วย” เสวียนชิงจื่อเอ่ยเตือนเหยาเฟยเฟย

พวกเขาสองคนสูดหายใจเข้าลึกก่อนมุ่งหน้าไปยังสุสานเบื้องหน้า

ฉินหลิวซีมองไอชั่วร้ายเข้มข้นที่ปกคลุมทั่วทั้งสุสานก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย เจ้าผีร้ายนั่นเข้าใจเลือกที่ เดิมทีสุสานแห่งนี้เป็นที่เก็บศพโดยเฉพาะจึงมีไอหยินรุนแรง ในเมื่อเขามาฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณที่นี่ก็เหมือนปลาได้น้ำ

ดูไอชั่วร้ายที่เข้มข้นดำทะมึนนั่นสิ เกรงว่าเสวียนชิงจื่อจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่า

ฉินหลิวซีดับไฟก่อนเดินตามเข้าไปอย่างเงียบๆ

ถึงแม้สุสานแห่งนี้จะรกร้าง แต่หากสุสานอีกแห่งของตำบลชิงสุ่ยวางศพไร้ญาติไม่ได้แล้วก็จะลากศพมาไว้ที่นี่ ผ่านไปสักระยะหนึ่งถึงจัดการทำลาย

ยามนี้ในสุสานไร้ผู้คุ้มกัน โคมไฟสีขาวทรงกลมขาดวิ่นที่ขีดเขียนว่าสุสานซึ่งแขวนไว้ตรงชายคากำลังส่ายไปมาท่ามกลางสายลม

สุสานมีพุ่มหญ้าสูงรกชันอยู่ก่อนหน้าแล้ว ประตูหักไปด้านหนึ่ง พอลมแรงพัดมา ประตูก็ส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าด กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งที่อยู่ภายในห้องก็พัดโชยลอยมาตามลม

นั่นเป็นกลิ่นเน่าของคนตาย ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีศพสักร่าง แต่เพราะสะสมมานานเป็นแรมปี กลิ่นจึงยิ่งเหม็นคละคลุ้งขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่ควบคู่มาพร้อมกับกลิ่นที่ประเดประดังเข้ามาก็คือไอหยินอันหนาวเหน็บที่ทิ่มแทงกระดูก

แหวะ

เหยาเฟยเฟยที่ไม่สบายกายในเดิมทีทนกลิ่นเหม็นอบอวลนี้ไม่ไหวจนอาเจียน สภาพจึงย่ำแย่มากกว่าเดิม

นางไม่อยากยอมรับว่านางหวาดกลัวเข้าแล้ว

สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไอชั่วร้ายหนาแน่นเช่นนี้ นางหวาดกลัวและนึกเสียใจที่มาที่นี่แล้วจริงๆ

เสวียนชิงจื่อประคองนางด้วยท่าทีร้อนใจ “ศิษย์น้องหญิง ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

เหยาเฟยเฟยส่ายศีรษะเอ่ย “ไม่เป็นไร”

นางอ้ำๆ อึ้งๆ หมายพูดอะไรบางอย่าง

สุดท้ายเสวียนชิงจื่อก็กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าเดินเข้าไปดูก่อน”

เหยาเฟยเฟยซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่นางกลับส่ายศีรษะ “ไม่ได้ ไอชั่วร้ายที่นี่เข้มข้นนัก ศิษย์พี่เข้าไปเพียงลำพังยิ่งยากจะรับมือได้ พวกเราไปด้วยกันเถิด”

นางหยิบกระบี่สังหารวิญญาณที่แบกอยู่บนหลังมาไว้ในมือ

“เช่นนั้นก็ระวังตัวด้วย”

พวกเขาสองคนสบตากันพร้อมอาวุธในมือก่อนเดินก้าวเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง

ทว่าขณะที่พวกเขาเพิ่งเดินไปได้สองก้าว ฉับพลันภายในสุสานก็มีควันสีขาวทะลักเข้ามาปกคลุมร่างของพวกเขาไว้

ฉินหลิวซีรีบรุดหน้าเข้าไปก่อนจะตกอยู่ท่ามกลางหมอกควันสีขาวนั้นเช่นกัน พอเปิดตามองข้างหนึ่งเพื่อสำรวจทุกอย่างเบื้องหน้า นางก็ราวกับเห็นเรื่องน่าสนใจฉายชัดในแววตา

เก่งดีนี่ สามารถสร้างภาพลวงตาได้แล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท