ตอนที่ 520 ห้าชีวิตชดใช้ห้าชีวิต
หมอกสีขาวลอยวน ภาพปรากฎขึ้น ฉินหลิวซีเข้าไปในภาพนั้นด้วยใบหน้าไม่สะทกสะท้าน นางเข้าไปเป็นผู้ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทั้งหมด
คนหมู่บ้านเถาหยวนในมณฑลโจวล้วนเป็นคนแซ่จาง ไป๋เหรินถิงเป็นคนนอกแซ่เพียงคนเดียว เขากับมารดาที่เป็นหม้ายหนีภัยมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ไป๋เหรินถิงหน้าตาหล่อเหลา มีความรู้อ่านออกเขียนได้ สุภาพอ่อนน้อม เด็กสาวในหมู่บ้านชอบมองเขา อายุสิบห้าก็มีพ่อสื่อแม่ชักไม่น้อยมาหาคู่ให้ แต่ก็ถูกแม่หม้ายไป๋ปฏิเสธ นางตั้งใจอาศัยฝีมือการปักเย็บทุ่มเทหาเงินส่งให้ไป๋เหรินถิงร่ำเรียน
เมื่อไป๋เหรินถิงอายุได้ยี่สิบปีแม่หม้ายไป๋แต่งเด็กสาวกำพร้านามเจียงซื่อจากครอบครัวบัณฑิตซิ่วไฉที่อยู่หมู่บ้านข้างๆ ให้เป็นภรรยาเขา ครอบครัวที่มีเพียงสองคนจึงเพิ่มเป็นสามคน สามีภรรยารักใคร่ปรองดอง แม่สามีกับลูกสะใภ้สนิทสนมกลมเกลียว ครอบครัวพูดคุยปรึกษาหารือกันได้ วันคืนผ่านไปยิ่งเห็นความก้าวหน้าในชีวิต เทียบกับครอบครัวชาวนาอื่นๆ ในหมู่บ้านที่เอาแต่ทะเลาะกัน ครอบครัวไป๋เหมือนสายน้ำใสสะอาดงดงามและสงบสุข
ไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกความชั่วร้ายของคน แต่ละคนต่างดิ้นรนต่อสู้อยู่ในบ่อโคลนแห่งความยากลำบาก แต่พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรไปยืนเนื้อตัวสะอาดอยู่ข้างบนบ่อ มองดูพวกเขาดิ้นรนต่อสู้อย่างยากลำบากงั้นหรือ
ต้องร่วมต่อสู้ไปด้วยกันถึงจะดี
ไม่รู้ใครเป็นคนเริ่มก่อน ชาวบ้านในหมู่บ้านเริ่มตัดขาดครอบครัวไป๋ให้โดดเดี่ยว ทั้งยังมองพวกเขาเป็นคนนอก รวมหัวกันต่อต้าน และยังพูดจาไม่ดีใส่พวกเขา
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเสียงซุบซิบนินทา ลูกสะใภ้สาวกับแม่สามีไม่จำเป็นก็จะไม่ออกนอกบ้าน หากจำเป็นต้องออกไปจริงๆ พวกนางจะออกไปกันสองคน ไม่เปิดโอกาสให้คนสบช่องสร้างข่าวลือได้
ฝีมือการตัดเย็บของแม่หม้ายไป๋ยอดเยี่ยมจริงๆ นางกำลังคิดว่าไม่อาจอยู่ในหมู่บ้านได้อีกต่อไปแล้ว จึงคิดจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง เพื่อที่จะหาเช่าบ้านดีๆ อยู่ นางรับงานใหญ่มาชิ้นหนึ่งซึ่งก็คือการปักรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม งานชิ้นนี้เป็นของขวัญที่โรงปักเย็บเตรียมไว้เพื่อมอบให้ฮูหยินของขุนนางท่านหนึ่งในวันเกิด
แม่หม้ายไป๋ปักรูปเหมือนเจ้าแม่กวนอิมทั้งวันทั้งคืน โดยไม่รู้เลยว่ายังมีข่าวดีอีกเรื่องหนึ่งคือลูกสะใภ้ของนางกำลังตั้งครรภ์ หลังจากตรวจครรภ์ตอนอายุครบสามเดือนก็พบว่าลูกในท้องเป็นเด็กฝาแฝด สมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นจากสามเป็นห้าคน คนในครอบครัวต่างปีติยินดี
ภาพปักโพธิสัตว์กวนอิมสายพระเนตรเปี่ยมพระเมตตาแฝงไว้รอยยิ้มใช้เวลาปักนานรวมหกเดือนจึงแล้วเสร็จ เป็นเวลาพอดีกับที่ภรรยาผู้ใหญ่บ้านจางมาเก็บค่าเช่า นางมาเห็นเข้าจึงเกิดความละโมบเหมือนมีปีศาจเจริญเติบโตขึ้นในใจ
นอกจากนี้จางไหลจิน บุตรชายผู้ใหญ่บ้านจาง เขาดันไปล่วงเกินผู้มีอำนาจในเมืองเข้า จำเป็นต้องชดใช้เงินก้อนใหญ่
ผู้ใหญ่บ้านมีที่ดินทำกินอยู่นิดหน่อย มั่งคั่งกว่าบ้านอื่นเล็กน้อยเท่านั้น เงินกว่าร้อยตำลึง นึกอยากใช้ก็ใช่ว่าจะมีให้หยิบออกมาใช้ จากคำบอกเล่าของมารดาทำให้ได้รู้ว่าครอบครัวไป๋มีภาพปักเจ้าแม่กวนอิมที่สวยงามราวกับมีชีวิตอยู่ จางไหลจินตาแดงวาบ นิสัยเขาชั่วร้าย ไม่รู้จักพอเป็นทุนเดิม
กลางดึกคืนหนึ่งจางไหลจินและผู้ใหญ่บ้านจุดโคมเดินมาที่บ้านไป๋ แผนคือให้พวกเขาส่งภาพเหมือนเจ้าแม่กวนอิม โดยมีเงื่อนไขที่จะยกบ้านที่พวกเขาอยู่นั้นรวมกับที่ดินทำกิน และยังให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในวงศ์ตระกูลของศาลบรรพชน
ครอบครัวไป๋ไม่มีทางยอม
เดิมที่พวกเขาแซ่ไป๋ การเข้าไปอยู่ในหอบรรพบุรุษตระกูลจางสำหรับพวกเขาแล้วไม่มีข้อดี ยังไม่เอ่ยถึงการวางแผนย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองของพวกเขา
ไป๋เหรินถิงก็วางแผนอนาคตของตัวเองไว้แล้ว วิชาความรู้ที่มีก็เข้มแข็งมากพอ สอบเป็นซิ่วไฉได้ไม่น่ามีปัญหา พวกเขาจึงบอกปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่สุภาพ และพูดถึงการย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง นี่ไม่เท่ากับว่าเนื้อกำลังจะเข้าปากเสือแต่กลับวิ่งหนีไปได้หรอกหรือ
จางไหลจินผู้มีจิตใจเหี้ยมโหด เดินถือค้อนตัดลานบ้านเข้าไปทุบหัวไป๋เหรินถิง แม่หม้ายไป๋เข้ามาเห็นฉากนี้เข้า คนร้ายจึงเดินไปหาแม่หม้ายไป๋ แม่หม้ายไป๋และไป๋เหรินถิงสองแม่ลูกถูกทุบจนกะโหลกแตก ล้มลงคามือจางไหลจิน
ทางด้านเจียงซื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงเดินออกมาดูทั้งที่ท้องโตอุ้ยอ้าย นางกรีดร้องเสียงแหลม
ผู้ใหญ่บ้านที่เดินตามเจียงซื่อมาด้านหลังเกรงว่าเสียงของนางจะเรียกผู้คนมาดูเหตุการณ์ เมื่อลงมือแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด เขาใช้มือข้างหนึ่งบีบคอนางจากทางด้านหน้า ส่วนมืออีกข้างหนึ่งปิดปากนางเอาไว้อย่างแน่นหนา นางถูกบีบคอจนตาย
ครอบครัวเล็กๆ ไม่กี่คน ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมไม่เหลือรอดแม้สักคนเดียว
พ่อลูกทั้งสองหลังจากฆ่าคนเสร็จก็รีบเข้าไปหาภาพเหมือนเจ้าแม่กวนอิม รวมทั้งทรัพย์สินอื่นทั้งหมด แล้วลากศพเข้าไปอยู่ในบ้าน คิดว่าจะวางเพลิงเพื่ออำพรางร่องรอยการถูกฆาตกรรม
ถึงอย่างนั้น ไอ้คนใจคอโฉดชั่วต่ำช้าไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ลากศพเจียงซื่อไปไว้บนเตียง มันเห็นนางเป็นหญิงสาวที่ดูนุ่มนวลงดงาม จิตใจอันหยาบช้าเกิดความใคร่ จึงปลดเข็มขัดระบายความต้องการออกมาอย่างเต็มที่ แค่นี้ยังไม่พอ มันไม่ลืมเรียกบิดาของตนมา ถือโอกาสที่ศพยังอุ่นระบายความใคร่ด้วยเช่นกัน
ฉินหลิวซีดูมาถึงตรงนี้ สายตานางเหมือนดาบร้อนๆ แช่ลงในน้ำเย็น สองมือกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงกร๊อบ
นางหันไปมองเสวียนชิงจื่อที่ยังเป็นไป๋เหรินถิง ที่จริงเขายังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่เป็นลมหายใจที่เขาได้เห็นกับตาว่าร่างภรรยาตัวเองแม้ตายไปแล้วยังถูกไอ้สัตว์นรกสองตัวย่ำยี เขาโกรธแค้นจนตาเบิกโพลงแทบหลุดออกจากเบ้า ในใจเหมือนถูกควักออกมาด้วยมีด เขาขาดใจตายไปหลังจากลมเฮือกนั้นเอง
บุคคลที่เป็นเจียงซื่ออย่างเหยาเฟยเฟยยิ่งน่าเวทนา นางร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ ทั้งหวาดกลัว ทั้งโกรธแค้นแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย
ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าแม้จะกลายเป็นผีหากทำร้ายผู้คนก็จะต้องได้รับลงโทษ
ไป๋เหรินถิงตายตาไม่หลับ ความอาฆาตแค้นของเขาพุ่งสูงเสียดฟ้า แผดเสียงก้องอย่างบ้าคลั่ง ความโกรธแค้นเกลียดชังนี้เกิดเป็นความอาฆาตถึงขีดสุด ทำให้วิญญาณของเขายังคงติดอยู่ในบ้านที่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนควันลอยสูงขึ้นฟ้า
ไฟที่โหมแรงอำพรางการฆาตกรมจนมิด ไฟเผากายเนื้อและจิตวิญญาณของพวกเขา และทำลายที่อยู่ของพวกจนเป็นเศษซาก เมื่อชาวบ้านในหมู่บ้านมาถึง กองไฟขยายใหญ่จนสูงเสียดฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว เปลวเพลิงม้วนตัวเป็นเกลียวคล้ายงูเลื้อยไปทางคนที่อยู่ที่ในนั้น ไม่มีใครกล้าเข้าไปดับไฟหรือช่วยคนออกจากกองเพลิงแม้สักคนเดียว ได้แต่ถอนหายใจด้วยความสังเวชและเสียใจ
เสวียนชิงจื่อและเหยาเฟยเฟยเจ็บปวดทุรนทุราย
หลังจากครอบครัวไป๋ตายไปได้เจ็ดวัน วิญญาณไป๋เหรินถิงที่เต็มไปด้วยความแค้นออกจากกองเถ้าถ่านของบ้านเล็กๆ ที่ตนเคยอาศัยไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ห้าชีวิตชดใช้ห้าชีวิต
เสวียนชิงจื่อและเหยาเฟยเฟยก้าวเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่พวกเขาถือดาบเหมือนจะแทงไปที่ศัตรู ที่จริงแล้วดาบเล่มนั้นในทางกลับกันมันถูกกดเอาไว้ที่ท้องของตัวเอง ตอนที่จะแทงดาบออกไป
ไม่สนอะไรอีกแล้ว พวกมันสมควรตายแล้ว
ฉินหลิวซีเดินมาข้างหน้า จับมือของทั้งสองคนเอาไว้ “พอแล้ว…”
“แม้แต่ท่านก็ยังคิดจะขัดขวางข้าหรือ” ท่ามกลางหมอกสีขาว เสียงที่ชัดเจนเปี่ยมไปด้วยพลังและความไพเราะ ทว่าทำให้เกิดคลื่นเสียงแห่งความความอาฆาตแค้นดังขึ้น
ฉินหลิวซี “ห้าชีวิตชดใช้ห้าชีวิต ความแค้นครั้งใหญ่หลวงของเจ้าได้รับการสะสาง แต่พวกเขาไม่ได้ทำร้ายคนในครอบครัวเจ้า”
ไป๋เหรินถิงหัวเราะเสียงแหลม แล้วกล่าวต่อไปว่า “แม้ไม่มีความแค้น แต่พวกเขาคิดจะขัดขวางการแก้แค้นของข้า ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ปรมาจารย์อย่างพวกท่านโอ้อวดตัวว่าทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ถามว่าขาวหรือดำ วิญญาณที่ตายลงล้วนเป็นคนร้ายอย่างนั้นหรือ แต่พวกมันสอนให้ข้ารู้จักเรื่องการกระทำและผลของมัน ก็คือเป็นคนดีกลับไม่ได้ดี แย่ยิ่งกว่าเป็นคนเลวเสียอีก
“หากเจ้าก่อกรรมทำชั่ว เหล่าปรมาจารย์จะต้องลงโทษ เพราะหนี้เวรกรรมทั้งหมดทั้งมวลจบสิ้นไปแล้วเมื่อคนบ้านจางสิ้นลมหายใจวิญญาณแตกสลาย” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็น “ทั้งคนเป็นคนตายที่อยู่รอบข้างไม่ใช่ศัตรูคู่แค้น ไม่มีความอาฆาตพยาบาทกับเจ้า พวกเขาไม่ควรกลายเป็นเหยื่อที่ต้องสังเวยชีวิตทั้งๆ ไม่มีความผิด เพียงเพื่อให้เจ้าได้ระบายความโกรธแค้น”
ไป๋เหรินถิงนิ่งไปครู่หนึ่ง อยู่ๆ ก็ส่งเสียงขึ้น “หากข้าไม่ยอมเล่า”
ฉินหลิวซีก็นิ่งไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงกล่าว “อย่างนั้นเจ้าก็คือคนที่ขัดขวางข้าไม่ให้กลับบ้าน ข้าไม่พอใจ เมื่อข้าไม่พอใจ ใครก็อย่าหวังจะมีความสุข!”
ไป๋เหรินถิง “…”
ฉินหลิวซีหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง เพียงสะบัด ยันต์ก็โบกสะบัด สองมือของนางประสานเข้าหากันปากท่องเคล็ดวิชา “แตกสลาย!”
หมองสีขาวจางหายไป ภาพนิมิตก็หายไปด้วย ปรากฏให้เห็นเพียงภาพที่เป็นจริง พวกเขาทุกคนอยู่ในอี้จวง[1] เสวียนชิงจื่อออกมาจากภาพนิมิต เขากวาดตามองไปรอบๆ โดยเฉพาะดาบที่ถือกลับด้าน ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี เขานึกถึงภาพในนิมิตอีกครั้ง ถอยหลังไปสองสามก้าว เหยาเฟยเฟยกรีดร้องเสียงแหลมไม่หยุด ตะโกนออกมาว่าอย่ามาแตะข้า ออกไปให้พ้น
“หุบปาก!” ฉินหลิวซีแปะยันต์กลับไปแผ่นหนึ่ง
[1]อี้จวง อาคารสมัยโบราณ ใช้เป็นสถานที่เก็บศพก่อนที่จะนำไปฝัง