ตอนที่ 522 ข้ามีคนที่รู้จักอยู่ข้างล่าง
วาจาโน้มน้าวที่แสดงออกถึงความห่วงใยอย่างชัดแจ้งของฉินหลิวซี ทำให้พลังความโกรธแค้นบนตัวไป๋เหรินถิงจางลงไปมาก เขาเริ่มคิดตามที่นางพูดอย่างละเอียด
เขาไม่กลัววิญญาณแตกสลายนั่นเป็นเรื่องจริง แต่ความเดียวดายและความเจ็บปวดที่แสนทรมานกลืนกินเขาอยู่ตลอดเวลา เทียบกับที่เขาหลบอยู่ในอี้จวงที่ว่างเปล่าไม่มีทั้งคนทั้งผี คิดถึงตลอดเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว จนถึงคืนนั้นที่ทั้งบ้านต้องตายอย่างอนาถ ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวดทรมานและเพิ่มความเกลียดชัง
พวกนางไม่อยู่แล้ว แม้เขาอยู่ในโลกมนุษย์นี้จะมีความหมายอะไร
เสวียนชิงจื่อมองการเปลี่ยนแปลงและความลังเลใจของไป๋เหรินถิงออก อดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉินหลิวซี ริมฝีปากเขาเม้มสนิท นึกว่านางเป็นพวกเกียจคร้าน ขายผ้าเอาหน้ารอด เป็นคนปากไม่ดี แต่เมื่อพูดจาเป็นหลักการขึ้นมากลับชัดเจนตรงประเด็น แทงทะลุไปถึงหัวใจคนฟัง
ฉินหลิวซี เจ้าเข้าใจคำว่าล้างสมองหรือไม่
ไป๋เหรินถิงเงยหน้าขึ้นมามอง “ข้ายังสามารถพบหน้าท่านแม่และภรรยาข้าได้จริงๆ หรือ”
“หากเจ้ายอมไป ข้าจะลองช่วยขอร้องให้เจ้าเข้าทางประตูหลัง” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมข้ามฟาก”
ไป๋เหรินถิงไม่เข้าใจ “เข้าทางประตูหลังหมายความว่าอะไร” เขายังนับว่าเป็นผีใหม่ เมื่อก่อนสนใจแต่แต่ตำรา เรื่องอื่นไม่รับรู้ ไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่นักพรตท่านนี้กล่าว
ฉินหลิวซีเลี่ยงไม่ตอบตรงๆ “ก็หมายความว่า ที่ข้างล่างนั่นข้ามีคน เอ้อ มีผีที่รู้จัก!”
ไป๋เหรินถิง “?”
สายตาเสวียนชิงจื่อผงะไป คงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอกใช่หรือไม่
“เจ้าว่าอย่างไร รีบหน่อย ฟ้าใกล้สางแล้ว” อันที่จริงยังไม่ทันใกล้รุ่ง เดือนยังลอยเด่นอยู่บนฟ้า แต่ทนไม่ไหวแล้ว
“ทำไมเจ้าถึงช่วยข้า” ไป๋เหรินถิงยังสงสัย
ฉินหลิวซีมองเขา “ไยเจ้ามีคำว่า ‘ทำไม’ มากมายนัก อยากทำก็ทำ เจ้าว่าข้าว่างมากนักสิ”
ใบหน้าเสวียนชิงจื่อแทบกระอัก ว่างมากหรือ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเอากระดิ่งเรียกวิญญาณของข้าไป?
ไป๋เหรินถิงนิ่งไป เขามองไปรอบๆ ความตายช่างเงียบเหงา ในโลกมนุษย์นี้เขาไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว
“ตกลง”
ฉินหลิวซีจึงได้จัดสถานที่ประกอบพิธีอย่างง่าย นางสั่งให้เสวียนชิงจื่อไปยกกระถางธูปของอี้จวงมา จากนั้นหยิบกล่องธูปหอมออกมาจากแขนเสื้อ นางจุดธูปหอมสี่ดอก นั่งขัดสมาธิ สองมือประสานแล้วเริ่มท่องบทสวดจากคัมภีร์ขจัดทุกข์
เมื่อเริ่มพิธีไป๋เหรินถิงเพียงแค่มองดูเฉยๆ แต่เมื่อธูปหอมถูกจุดขึ้น กลิ่นหอมของธูปพุ่งเข้าไปแตะปลายจมูก เขาอดไม่ได้สูดเข้าไปทีหนึ่ง ที่หูได้ยินเสียงบทสวด ดังมาจากที่ไกลบ้างใกล้บ้าง จิตใจรู้สึกผ่อนคลาย
เขากำลังฟังบทสวดที่สลับซับซ้อนเสียงดังก้อง ในใจคิดถึงภาพความเจ็บปวด สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าดุร้ายอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัว พลังความโกรธแค้นไหลวนเวียน
บทสวดเป็นเสมือนธารน้ำใส ช่วยชำระล้างความโกรธแค้น คลายความอาฆาต เหลือไว้เพียงจิตใจที่สงบและเป็นอิสระ
เหยาเฟยเฟยไม่รู้ตัวเลยว่าลุกขึ้นยืนข้างเสวียนชิงจื่อตั้งแต่เมื่อไหร่ นางมองไปยังฉินหลิวซีด้วยสายตาล้ำลึก จากนั้นมองไปยังผีร้ายตนนั้น พลังความโกรธแค้นบนตัวเขาค่อยๆ สลายไป นางอายุเท่านี้ก็สามารถฉุดวิญญาณร้ายจากความมืดมิดได้
เรื่องนี้กระทบใจเสวียนชิงจื่ออย่างแรงจนพูดไม่ออกสักคำเดียว
เมื่อสวดบทช่วยเหลือวิญญาณยากไร้จบหนึ่งรอบ ฉินหลิวซีลืมตาทั้งสองข้าง นางหยิบธูปหอมออกมาจุดอีก แล้วยังนำกระดาษเหลืองพับทบกันเป็นรูปเงินจินหยวนเป่า[1]
ลมหยินพัดจู่โจมผ่านความว่างเปล่าในอากาศมาวูบหนึ่ง เกิดเสียงโซ่กระทบกัน
เสวียนชิงจือกับเหยาเฟยเฟยตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว ทั้งสองมองไปในความว่างเปล่า เงาดำร่างหนึ่งถูกพลังจากภายนอกพัดพาเข้ามาก่อตัวเกิดเป็นรูปร่าง ยมทูตหน้าตาดุร้ายสวมชุดตัวยาวสีดำปรากฏตัวขึ้น บนศีรษะสวมหมวกทรงกรวยสูงสีดำ ในมือพันด้วยโซ่ล่ามวิญญาณ เขายื่นหน้าออกมาดู
พลังความโกรธแค้นของไป๋เหรินถิงจางหายไปแล้ว แต่ความรู้สึกเหมือนถูกอำนาจบางอย่างคุกคามทำให้วิญญาณสั่นไปทั้งร่าง เกือบจะหาทางวิ่งหนีออกไปแล้ว
“ศิษย์พี่ นี่ นี่คือใต้เท้าเฮยอู๋ฉัง ยมทูตดำที่เล่าลือกันใช่หรือไม่” เสียงของเหยาเฟยเฟยแหบต่ำจนฟังแทบไม่ออก นางยืนตัวสั่นกอดแขนเสวียนชิงจื่อไว้
เสวียนชิงจื่อพยักหน้า สายตาแวววาว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบใต้เท้าเฮยอู๋ฉัง
เหยาเฟยเฟยได้รับคำตอบที่แน่ชัด นางกระซิบด้วยเสียงที่แหบต่ำกว่าเดิม “นางสามารถเรียกยมทูตมาเมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นท่านเฮยอู๋ฉัง”
เสวียนชิงจื่อกลืนน้ำลายลงคอ การเรียกยมทูตมาแบบนี้ต้องบำเพ็ญตบะจนแก่กล้า และแม้จะมีตบะฌานที่แก่กล้า แต่ไม่ใช่นึกอยากเรียกก็เรียกมาได้ ยมทูตบางท่านอาจไม่สนใจเจ้าด้วยซ้ำไป สุ่มสี่สุ่มห้าเรียกมาไม่ได้ และยังอาจทำให้พวกเขาไม่พอใจอีกต่างหาก
แม้จะเป็นพวกเขานักพรตแห่งอารามจินหัว การส่งวิญญาณไร้ญาติหรือวิญญาณร้ายเข้าประตูผีก็ไม่ใช่ว่าวิญญาณมาทีละดวง ส่งทีละดวง ต้องรวบรวมให้ได้จำนวนมาก พอถึงวันเชงเม้งหรือเทศกาลปล่อยผีช่วงเดือนเจ็ดจึงส่งไปทีหนึ่ง
แน่นอนว่าหากต้องการเปิดประตูผีในทันทีไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่ต้องมีตบะฌานที่แก่กล้ามาก เพราะการเปิดครั้งหนึ่งสิ้นเปลืองพลังไม่น้อย
ฉินหลิวซีกลับเชิญมาได้อย่างง่ายดาย นางยังไม่ได้ตั้งแท่นบวงสรวงด้วยซ้ำ แค่จุดธูปหอมไม่กี่ดอก กับกระดาษทองหยวนเป่าสองก้อนก็เชิญเขามาได้แล้ว สมัยนี้ท่านเฮยอู๋ฉังเชิญมาง่ายดายขนาดนี้เลยหรือ
“เหล่าเฮย ตรงนี้” ฉินหลิวซีกวักมือเรียกยมทูตดำเฮยอู๋ฉัง
เสวียนชิงจื่อกับเหยาเฟยเฟยแทบหกคะเมน
เหล่าเฮย?
ไป๋เหรินถิงก็มองนางเป็นตาเดียว คุ้นเคยกันขนาดนี้เลยหรือ มิน่านางกล่าวว่าที่ข้างล่างนั่นมีเพื่อนผี
เฮยอู๋ฉังรีบลอยมาหา ในมือถือทองหยวนเป่าสองก้อนยิ้มประจบพลางเอ่ย “ท่านสวดเรียกข้าก็พอ ไยต้องจุดธูปหอม ทั้งยังทองหยวนเป่าสองก้อนนี้อีก?”
ฉินหลิวซีโบกมือ “อย่างไรก็ต้องให้ค่าวิ่งเต้นนิดหน่อยอยู่เสมอ”
เฮยอู๋ฉังกวาดตามองคนที่อยู่ในที่แห่งนั้น เสวียนชิงจื่อดึงเหยาเฟยเฟยก้าวมาข้างหน้าทำความเคารพด้วยตัวสั่นระริก “ข้านักพรตน้อยเสวียนชิงจื่อ (ชิงหลิง) จากอารางชิงหัวแห่งเมืองเซิ่งจิงขอคารวะใต้เท้าเฮยอู๋ฉัง”
“อืม” เฮยอู๋ฉังหันหน้าผีของเขามา จากนั้นมองไปที่ไป๋เหรินถิงด้วยสายตาเฉียบขาด แกว่งโซ่ล่ามวิญญาณในมือ “วิญญาณร้ายจากที่ไหน กล้ากัดกินวิญญาณเดียวดายทำร้ายคนเป็น?”
โซ่ล่ามวิญญาณตวัดไปรัดวิญญาณไป๋เหรินถิงจนแน่น เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา
เฮยอู๋ฉังเพียงแต่แสดงพลังของเขาออกมาเท่านั้น เสวียนชิงจื่อตกใจจนเข่าอ่อนไปหมด หน้าซีดขาว สั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ
ฉินหลิวซีส่งเสียงเรียกให้หยุด “เหล่าเฮย อย่าทำแบบนี้ เขาเป็นวิญญาณที่น่าเวทนา ข้าสวดบทช่วยเหลือวิญญาณยากไร้ให้เขาแล้ว”
เมื่อเฮยอู๋ฉังได้ฟังดังนั้น โซ่ที่ล่ามวิญญาณไป๋เหรินถิงไว้คลายออกอย่างรวดเร็ว “โอ้ เป็นวิญญาณที่ท่านช่วยดูแลให้? ท่านน่าจะบอกให้เร็วกว่านี้ เกือบจะทำร้ายคนของตัวเองเสียแล้ว”
ทุกคน “!”
ใบหน้านั้นเปลี่ยนไปรวดเร็วยิ่งนัก!
ฉินหลิวซีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับไป๋เหรินถิงให้เขาฟังคร่าวๆ “ชาติที่แล้วเขาเป็นคนดี น่าเสียดายชีวิตต้องพบกับเรื่องเลวร้าย เมื่อตายลงจึงเริ่มทำร้ายผู้คน บางคนถูกทำร้ายทั้งที่ไม่ใช่คู่เวรคู่กรรม พาเขาไปแล้วก็ให้ส่องกระจกส่องกรรม ควรลงโทษอย่างไรก็ทำไปตามนั้น ข้าเรียกหาท่านเพียงอยากขอให้ท่านช่วยดูทีว่าสามารถหาครอบครัวของเขาเจอหรือไม่ ได้พบหน้ากันแล้วค่อยพาไปรับโทษ”
ไป๋เหรินถิงคุกเข่าลงแล้วเอามือยันพื้น โน้มศีรษะติดกับพื้นคำนับเฮยอู๋ฉัง “ใต้เท้า หากใต้เท้าช่วยข้าน้อยได้ ข้ายอมไปรับโทษ ชาติหน้าให้ไปเกิดเป็นวัวเป็นม้าเพื่อตอบแทนท่านก็ยอม”
เฮยอู๋ฉังจึงกล่าว “เจ้าคิดว่าจะเป็นวัวเป็นม้าให้ข้า ก็ต้องดูว่าวัวม้ายินดีหรือไม่ เอาเถอะเจ้าลุกขึ้นมาก่อน มองหน้าข้า หลังจากนี้ข้าจะช่วยตามหาครอบครัวเจ้า อย่างไรก็ตามแม้ชีวิตที่ผ่านมาเจ้าจะน่าเวทนาเพียงไหน ทำร้ายผู้อื่นก็คือทำร้ายผู้อื่น เจ้าอยากไปเกิดใหม่ก็ต้องรอรับโทษจนครบก่อนจึงจะไปได้ เข้าใจหรือไม่”
“ข้าน้อยเข้าใจ” ไป๋เหรินถิงดีใจจนร้องไห้ออกมา
เรื่องนี้จัดการเรียบร้อย เฮยอู๋ฉังจึงถามฉินหลิวซีว่ายังมีเรื่องอื่นจะให้เขาทำอีกหรือไม่
ฉินหลิวซีส่ายหน้า ประสานสองมือคารวะ “ลำบากท่านแล้ว”
“เรื่องเล็กน้อยเท่าไม้จิ้มฟัน ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวกลับก่อนแล้ว” เฮยอู๋ฉังโบกมือลา ตวัดโซ่ล่ามวิญญาณพันข้อมือไป๋เหรินถิงมัดไว้เตรียมเดินทาง
ไป๋เหรินถิงคำนับฉินหลิวซีจากใจ “ขอบคุณ”
[1] จินหยวนเป่า หมายถึงเงินทองแท่ง เป็นคือเงินจีนสมัยโบราณ มีลักษณะเป็นแท่งโลหะปลายเค้งสูงทั้งสองข้าง มีรูปร่างคล้ายเรือ เดิมตรงกลางแบนราบ ภายหลังทำให้เป็นแบบนูนป่องตรงกลาง