ตอนที่ 523 อย่าถาม ถ้าถามก็คือข้าเหนือกว่าเจ้า
เมื่อวิญญาณไป๋เหรินถิงไปแล้ว ฉินหลิวซีไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระ นางเดินกลับอารามไปในความมืด
เสวียนชิงจื่อและเหยาเฟยเฟยสองคนเดินตามนางกลับไปอย่างใจลอยเหมือนยังไม่รู้สึกตัว เรื่องนี้จบลงได้อย่างไร
ฉินหลิวซีหาวพลางเดินกลับเรือนพักของตนเอง แต่ถูกเสวียนชิงจื่อเรียกไว้ นางหันกลับมา มองสองคนอ้ำๆ อึ้งๆ จะพูดก็ไม่พูด จึงกล่าว “อย่าถาม ถ้าถามก็คือข้าเหนือกว่าพวกเจ้า ไปนอนเถอะ”
เสวียนชิงจื่อ “…” เขามองแผ่นหลังฉินหลิวซีเดินจนลับสายตาไป ผุดรอยยิ้มขมขื่นที่ใบหน้า
“ศิษย์พี่” เหยาเฟยเฟยก้าวมากระตุกแขนเสื้อเขา
เสวียนชิงจื่อหันกลับมา “เจ้าเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าพวกเราตื่นมาร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้าของอารามชิงผิงสักหน่อย”
เหยาเฟยเฟยส่งเสียงอือคำหนึ่ง นางอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ เหตุการณ์นี้ นับว่ารู้ผลแล้วใช่หรือไม่”
“อืม”
ทหารยังไม่ทันเห็นคมมีดก็รู้ผลแล้ว ไม่เหมือนกับผลการต่อสู้ที่พวกเขาเคยคิดล่วงหน้าไว้สักนิด ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แม้แต่อาคมคาถายังไม่ทันได้งัดออกมาใช้เรื่องราวก็จบสิ้นไปแล้ว แต่เรื่องที่จบไปนี้พวกเขากลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็นผลงานของฉินหลิวซี
เสวียนชิงจื่อบอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร รู้แค่เพียงว่าไปๆ มาๆ พรสวรรค์พี่ตัวเองภูมิใจนักหนาได้ถูกทำลายเป็นผุยผง เขาเข้าใจลึกซึ้งแล้วว่าความหมายของการทัศนาจรครั้งนี้คืออะไร เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
เหยาเฟยเฟยรู้สึกเหมือนยังอยู่ที่ฉากในนิมิตนั่น ประกบฝ่ามือถูไปมา ในใจลึกๆ รู้สึกเหมือนคนป่วยที่หนาวจัด แม้ว่าสวมเสื้อเพิ่ม เติมฟืนผิงไฟ ทำทุกอย่างให้รอบกายอบอุ่นขึ้นแล้วนางก็ยังไม่หายหนาว “ศิษย์พี่ ข้ากลับเรือนก่อน” เสวียนชิงจื่อไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของนาง เขาพยักหน้าแล้วเดินกลับไปยังเรือนพักของตัวเองในอาราม
…
วันต่อมาหลังจากมื้ออาหารเช้าฉินหลิวซีก็กลับเข้าเมืองไป นางยังต้องฝังเข็มให้เย่ว์ติ้ง สำหรับศิษย์พี่น้องคู่นั้นก็ไม่อาจพักอยู่นานจนเกินไป ดังนั้นไม่กี่วันต่อมา นางจึงได้ข่าวว่าพวกเสวียนชิงจื่อออกเดินทางกลับเมืองหลวงไปแล้ว
ฉินหลิวซีเองก็ไม่ได้สนใจ นางรู้ล่วงหน้าว่าจะได้เจอกันอีกภายหลัง สิ่งสำคัญที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือขาของเย่ว์ติ้ง
ช่วงเวลาการรักษาไม่ถึงสองเดือน ในที่สุดเขาก็กลับมายืนได้อีกครั้ง และยังเดินได้สองสามก้าวหากมีคนประคอง ฉินหลิวซีพอใจเป็นอย่างยิ่ง “สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ พื้นฐานไม่เลว ท่านสามารถถือไม้ค้ำพยุงตัวเองเดินช้าๆ ได้ ทั้งๆ ที่เดินไม่ได้มาเป็นเวลาสองปี รอให้ท่านคุ้นชินอีกหน่อยก็สามารถเดินช้าๆ เองได้ ค่อยๆ ดีขึ้นมาแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยยิ้มๆ
เย่ว์ติ้งประสานมือคารวะเป็นการขอบคุณ “วันเวลาที่ผ่านมานี้ ลำบากท่านแล้ว”
“ไม่ต้องขอบคุณ คนเป็นหมอก็ต้องห่วงใยคนไข้เหมือนพ่อแม่เป็นห่วงลูก” ฉินหลิวซียื่นใบสั่งยากลับไปให้อีกครั้ง “นี่เป็นใบสั่งยาใหม่ ร่างกายแข็งแรงเป็นพื้นฐาน จิตใจก็จะดีตามไปด้วย หากท่านฝึกเดินบ่อยๆ ก็ไม่ต้องกินยา”
เย่ว์ติ้งเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม “ท่านกำลังเตรียมตัวไปเมืองเซิ่งจิงแล้วหรือไม่” ช่วงนี้สยงเอ้อร์มาให้เขาสอนวรยุทธ์ที่จวนเล็กนี้บ่อยๆ และเอ่ยถึงเรื่องการกลับไปเมืองเซิ่งจิงครั้งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงพอคาดคะเนได้
ฉินหลิวซีประหลาดใจกับสายตาว่องไวเฉียบแหลมของเขา นางพยักหน้า “ทำไม หรือท่านอยากตามไปด้วยหรือ”
เย่ว์ติ้งหัวเราะ “เดิมทีข้าคิดอยากไป แต่ก็รู้ดีว่าขาของข้ายังไม่สะดวกเดินทาง ถ่วงให้ท่านล่าช้าเปล่าๆ อีกอย่างข้าอยากใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูร่างกายด้วยการไปอยู่ที่ห้องบำเพ็ญที่ร้านเฟยฉางเต๋าบ่อยๆ คงจะมีประโยชน์ต่อการเดินของขาข้า”
“ท่านคิดอย่างนี้ถูกแล้ว แม้ว่าตอนนี้เดินได้หลายก้าว แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามต้องเดินหน้าไปทีละก้าว เหมือนการกินข้าวต้องกินทีละคำ ใจร้อนไม่ได้ อย่างที่ท่านว่า สำคัญที่สุดตอนนี้คือรักษาขาให้หาย อย่าตามไปเมืองเซิ่งจิงให้เจ็บตัวเลย” ฉินหลิวซีหยุดไปนิดหนึ่ง แล้วเอ่ยยิ้มๆ “ท่านไปสภาพนี้ไม่แน่ว่าใครๆ อาจให้ท่านพักฟื้นอยู่ที่นั่นนานกว่าเดิม”
เย่ว์ติ้งมองนางด้วยความประหลาดใจ คำพูดนี้ของนางแฝงความนัยว่านางรู้ดีถึงสภาพเขาตอนนี้อาจกระตุ้นความหวาดกลัวของฝ่าบาท อาศัยข้ออ้างในการพักฟื้นขังเขาไว้ในเมืองหลวงเป็น ‘ตัวประกัน’ เพราะถึงอย่างไรสุขภาพร่างกายของปู่เขาก็ยังแข็งแรง เดินไปไหนมาไหนด้วยสองขาตัวเองได้’
ทหารที่มีอำนาจสั่งการเคลื่อนพลก็แบบนี้ แม้ว่าจะซื่อสัตย์จงรักภักดีแค่ไหน วันเวลาผ่านไปเมื่ออำนาจมีมากขึ้นก็ทำให้ฝ่าบาทเกิดความหวั่นไหวได้ไม่มากก็น้อย
เขาได้รับอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูจากท่านปู่ ให้จงรักภักดีต่อฝ่าบาทมาตลอด ย่อมเข้าใจการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ไม่คิดว่าฉินหลิวซีที่โตมาในอารามนักพรตเต๋าจะเข้าใจเหตุผลนี้ด้วย
แม่นางผู้นี้ฉลาดปราดเปรื่อง มองออกทะลุปรุโปร่ง สายตาของเย่ว์ติ้งมีร่องรอยชื่นชม “ท่านเจ้าอาวาสน้อยฉลาดมีไหวพริบมากกว่าที่ข้าคิดไว้นัก”
“ท่านก็พักฟื้นอยู่ในเมืองหลีอย่างสงบเถิด ประจวบเหมาะรักษาโรคที่บอกใครไม่ได้นี้ให้หายดี” ฉินหลิวซียืนขึ้นพลางเอ่ย “หากมีเรื่องด่วนจริงๆ รอให้เดินได้เป็นปกติก็สามารถไปได้”
“ตกลง” เย่ว์ติ้งยอมทำตาม แถมยังส่งป้ายหยกสัญลักษณ์ประจำตัวให้นาง “เรื่องไข่มุกมังกรวารีนั้น หากจัดการไม่ได้ ข้าส่งพิราบสื่อสารไปให้ท่านที่ปรึกษาโหมวคอยท่านอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ท่านตรงไปพบเขาเพื่อหารือเรื่องนี้ได้”
ฉินหลิวซีไม่ปฏิเสธ
ถ้าจะไปเมืองเซิ่งจิง ฉินหลิวซีต้องเตรียมการล่วงหน้าเสียก่อนจึงจะออกเดินทางได้ เรื่องที่ร้าน นางวาดยันต์เอาไว้หลายแผ่นเพื่อรักษาความสงบของร้าน หากมีลูกค้าต้องการมาขอให้ช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายหรือจับผีก็สามารถไปที่อารามได้ ส่วนเรื่องต้องการพบหมอคงต้องไปที่โรงหมอก่อนแล้ว
เรื่องในร้านจัดการเรียบร้อย หากเถ้าแก่มีธุระหรือต้องการพักผ่อนย่อมได้ แต่เรื่องในตระกูลฉินนั้น เมื่อนางไปเอ่ยเรื่องนี้กับสะใภ้หวัง
สะใภ้หวังก็ตกใจขึ้นมาจริงๆ เมื่อได้ยินว่านางจะไปเมืองเซิ่งจิง “ทำไมอยู่ๆ จะเข้าเมืองหลวง”
“มีของสิ่งหนึ่งที่ข้าต้องไปนำกลับมาด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงต้องเดินทางไป เรื่องใหญ่น้อยในบ้านอย่างน้อยมีท่านอยู่ข้าก็วางใจ อีกเรื่องหนึ่งคือเทศกาลเชงเม้งไหว้บรรพบุรุษ ท่านสั่งงานให้ท่านลุงหลี่จัดการ ปีนี้ก็ให้ฉินหมิงฉีกับเสี่ยวอู่ไปเซ่นไหว้ได้แล้ว” ฉินหลิวซีกล่าว
สุสานบรรพชนตระกูลฉินที่จริงอยู่ไม่ห่างจากอารามชิงผิง ตั้งอยู่ในภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านที่มีแซ่ฉินเหมือนกัน
หมู่บ้านแซ่ฉินกับตระกูลฉินไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน ทวดของฉินหลิวซีพาบุตรชายฉินหยวนซานไปพักค้างที่หมู่บ้านแซ่ฉิน เลี้ยงดูเขาอยู่ที่นั่นจนสอบได้เป็นบัณฑิตซิ่วไฉ คนในหมู่บ้านแซ่ฉินจึงนับถือพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะอย่างไรก็แซ่ฉินเหมือนกัน ภายหลังจากที่สอบได้ตำแหน่ง เขายังขอให้ฉินหยวนซานผู้เป็นลูกตั้งสุสานของบิดาไว้ที่ภูเขาหลังหมู่บ้าน
ภายหลังฉินหยวนซานร่ำรวยขึ้นมาจึงให้สุสานของบิดาเป็นศูนย์กลาง จัดฮวงจุ้ยล้อมรอบทำเป็นสุสานตระกูลฉิน เขาสละเงินซื้อที่นาบางส่วนมอบให้คนในหมู่บ้านดูแล ตอบแทนที่ช่วยดูแลสุสานบรรพชนของบ้านตัวเอง
หลายปีมานี้สุสานบรรพชนตระกูลฉินที่จริงแล้วเป็นที่รวมหลุมฝังศพบิดามารดาของฉินหยวนซาน การเซ่นไหว้สิบปีมานี้ หลักๆ เป็นบุตรชายคนรองและคนที่สามของตระกูลฉินมาเซ่นไหว้แล้วก็กลับไป
ปีที่แล้วตระกูลฉินเกิดเรื่อง พริบตาเดียวใกล้ถึงเทศกาลเชงเม้งอีกครั้ง ดังนั้นเรื่องการไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่สุสาน ปีนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของบุรุษตระกูลฉินสองคนที่เหลืออยู่ในเมืองหลี
เอ่ยถึงเรื่องไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลเชงเม้ง สะใภ้หวังสีหน้าหม่นลง แต่ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว นางหัวเราะพลางเอ่ย “เจ้าวางใจก็ใช่ เป็นเจ้ามากกว่าที่ไปเมืองเซิ่งจิงต้องระมัดระวังตัว ที่นั่นมีคนที่มีอำนาจอิทธิพลอยู่มาก การวางแผนลอบทำร้ายจากที่ลับก็มีมากเช่นกัน”
ฉินหลิวซีครุ่นคิดตาม ด้วยความสามารถที่มีอยู่ตอนนี้ พวกลอบทำร้ายถือว่าไม่อยู่ในสายตานาง เพียงแต่นางไม่ควรกล่าวคำพูดนี้ออกมา ประหยัดคำอธิบายไว้ดีกว่า บางครั้งการพูดมากไม่แน่ว่าจะเป็นผลดี ดังนั้นจึงแกล้งตอบรับอย่างเชื่อฟัง
จัดการเรื่องต่างๆ จนเรียบร้อยแล้ว ให้สาวใช้ฉีหวงดูแลเรื่องในบ้าน เพราะวั่งชวนศิษย์หญิงของนางไม่สบายอย่างหนักจากอากาศหนาวและลมเย็น ร่างกายอ่อนแอจึงไม่ได้พานางไปด้วย ให้นางพักผ่อนอยู่ที่บ้าน หลังจากลานักพรตเฒ่าชื่อหยวนแล้ว ฉินหลิวซีกับเฟิงซิวก็พาเถิงเจา ทั้งยังมีสยงเอ้อร์และพวกจิ่งเสี่ยวซื่อเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง