คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 525 เมื่อลงมีด อาคมต้องห้ามจึงถูกทำลาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 525 เมื่อลงมีด อาคมต้องห้ามจึงถูกทำลาย

เมื่อกดนิ้วมือลงไปแล้ว ในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็นอะไรในอากาศ ฉินหลิวซีเห็นเส้นแห่งกรรมเชื่อมโยงจากวันเวลาตกฟากที่หลังกระดาษไปยังฝ่ามือของจิ่งเสี่ยวซื่ออย่างชัดเจน

“สำเร็จแล้ว” ดวงตาคู่นั้นของฉินหลิวซีหรี่ลงเล็กน้อย มองไปยังเส้นทางแห่งกรรม เส้นที่เชื่อมจากตุ๊กตากระดาษรูปคนเป็นสีแดงเข้มและโปร่งแสง แต่เมื่อเชื่อมต่อกับเส้นชีวิตบนฝ่ามือของจิ่งเสี่ยวซื่อกลับปรากฏเป็นสีเทาดำ เหลือไม่มากแล้ว

ฉินหลิวซีให้จิ่งเสี่ยวซื่อหงายฝ่ามือออก เส้นชีวิตของเขาหดสั้นลงอีกเล็กน้อย นางอดมองอย่างเคร่งเครียดไม่ได้

“เป็น…เป็นอะไรหรือขอรับ” จิ่งเสี่ยวซื่อค่อนข้างเป็นกังวล

ฉินหลิวซีวาดยันต์แผ่นหนึ่ง สองมือประกบเป็นลักษณะปลายดาบ นางถูฝ่ามือไปที่ดวงตาของทุกคน

จิ่งเสี่ยวซื่ออยู่ๆ รู้สึกเคืองตา เมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นเส้นกรรมนั้น

“สวรรค์!” สยงเอ้อร์ตาโต เขาเห็นเส้นนั้นแต่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “นี่ นี่คือ…”

“เส้นกรรม เชื่อมโยงกับเส้นชีวิตของเจ้า” ฉินหลิวซีชี้ไปที่ฝ่ามือของจิ่งเสี่ยวซื่อ “เห็นหรือไม่ เส้นชีวิตกำลังหดสั้นลง”

จิ่งเสี่ยวซื่อตาค้าง ริมฝีปากเม้มแน่น เหงื่อแตกพลั่ก สีหน้าหมองคล้ำ

สยงเอ้อร์เห็นเข้า ร้องขึ้นอย่างตกใจ “ถ้ามันหดจนไม่เหลือแล้วจะทำอย่างไร”

“ยังจะทำอะไรได้ ก็ตายน่ะสิ” เฟิงซิวเอ่ย เขาดูตกตะลึง “โดนแย่งอายุขัยไปหมดแล้ว เส้นชีวิตถึงจุดจบ นั่นก็หมายความว่าเขากำลังจะตาย”

สยงเอ้อร์รู้สึกโกรธแต่ไม่กล้าแสดงออก เขาเอ่ยกับฉินหลิวซี “นี่มันโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไปแล้ว ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านรีบหาทางจัดการเรื่องนี้เถิด”

ฉินหลิวซีมองไปยังจิ่งเสี่ยวซื่อ พลางถาม “เจ้าว่าอย่างไร หากลงมือแล้ว อาคมย้อนคืนกลับฝ่ายตรงข้ามอาจเป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจทนรับได้

สยงเอ้อร์ร้อนรน เรื่องนี้มีอะไรต้องคิดอีก แต่เมื่อเห็นสายตาของฉินหลิวซีที่จ้องมา เขาจึงได้แต่หุบปาก” ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องของจิ่งเสี่ยวซื่อ เขาต้องตัดสินใจเอง

จิ่งเสี่ยวซื่อใบหน้าหวาดกลัว “ท่านเจ้าอาวาสน้อยไม่จำเป็นต้องลองใจข้า อย่าว่าแต่ไม่ใช่น้องชายข้า เมื่อแบกรับชะตากรรมเดียวกันกับข้า ข้าก็ไม่มีเหตุผลให้ใจกว้างพอที่จะไม่ไปต่อว่าเขา ในเมื่อมันคือชีวิตหนึ่งชีวิต เขามีมารดา ข้าก็มี ข้าไม่อาจทำให้มารดาของข้าอยู่ในโลกนี้อย่างไม่เป็นสุข ท่านช่วยข้าทำลายอาคมนี้ทีเถิด”

เขาถอยไปก้าวหนึ่ง คุกเข่าขอร้องต่อฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ ไม่ใช่ว่านางเรื่องมาก แต่บางคนอาจมี้พระแม่สถิตอยู่ในใจ คิดถึงผลที่จะตามมาแล้วอาจไม่ใจแข็งพอจะลงมือ หรือไม่ก็มาโทษนักพรตทีหลัง ดังนั้นจะทำสิ่งใดต้องออกปากถามให้แน่ใจก่อนถึงจะทำได้ ดีที่จิ่งเสี่ยวซื่อไม่ใช่คนโง่เง่าไม่เดียงสา

ได้คำตอบที่แน่ชัดจากการตัดสินใจของจิ่งเสี่ยวซื่อแล้ว ฉินหลิวซีไม่พูดมาก นางลงมือทำลายอาคมทันที ก่อนหน้านี้ฉินหลิวซีเคยบอกไว้ว่าการจะทำลายอาคมนั้น ดีที่สุดจะต้องมีวันเวลาตกฟากแปดอักษร ในเมื่อตอนนี้คำนวณออกมาได้แล้วก็ไม่มีอะไรยากเย็น

ฉินหลิวซีปักพู่กันลงไปที่กระดาษรูปคนแผ่นหนึ่ง ใช้ชาดแต้มเป็นดวงตา ด้านบนเขียนวันเวลาตกฟากและนามของผู้ที่ถูกแย่งอายุขัย จากนั้นพันเส้นกรรมกับส่วนนิ้วมือของกระดาษ

หลังจากนั้นนางก็วาดยันต์ศักดิ์สิทธิ์ไว้รอบตัวจิ่งเสี่ยวซื่อชั้นหนึ่งทันที ไอวิญญาณบนยันต์วิญญาณสว่างวาบทีหนึ่งแล้วหายไป

วงล้อมยันต์วาดสำเร็จเรียบร้อย ฉินหลิวซีจึงจุดธูปหอมเซ่นไหว้เทพเจ้า มือข้างหนึ่งเผายันต์ อีกข้างหนึ่งกดนิ้วมือชี้ไปบนกระดาษรูปตัวคน

สยงเอ้อร์จ้องมองกระดาษรูปตัวคนตลอดเวลา เมื่อฉินหลิวซีลงคาถา เขาเห็นคล้ายกับว่าตุ๊กตากระดาษรูปคนนั้นต่อสู้ดิ้นรนอย่างรุนแรง เขาตาฝาดไปหรือไม่

ฉินหลิวซีลงอาคมเรียบร้อย จึงเริ่มก้าวย่างไปตามวิถีเจ็ดดารา ปากท่องคาถาขับไล่สิ่งชั่วร้ายอัปมงคลทั้งหลาย … ฟ้าดินขจัด เดือนปีขจัด วันเวลาขจัด ขอถวายความเคารพตรีวิสุทธิ์มหาเทพทรงช่วยปัดเป่า ดังองค์ไท่ซั่งเหล่าจวิน[1]ทรงมีโองการ ข้าขอสั่ง บัดเดี๋ยวนี้!

ยันต์แผ่นหนึ่งหล่นลงบนเส้นกรรม หลอมละลายแม้ไร้ซึ่งเปลวไฟ

เวลานี้ทุกคนในที่นั้นเห็นเส้นที่โยงจิ่งเสี่ยวซื่อไว้ซึ่งเดิมเป็นสีดำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด เส้นชีวิตบนฝ่ามือค่อยๆ ยืดยาวออกไป ส่วนตุ๊กตากระดาษรูปคนนั้นกลับกลายเป็นผุยผง

ฉินหลิวซีหยิบกรรไกรทองที่ทำจากไม้เหลยจีซึ่งสลักอักษรยันต์ปราบปีศาจไว้ นางตัดเส้นกรรมที่เชื่อมระหว่างกระดาษรูปคนกับจิ่งเสี่ยวซื่อขาดโดยไร้เสียง เมื่อลงมีด อาคมต้องห้ามถูกทำทาย เส้นกรรมขาดสะบั้นลง

ที่จวนฉังอันโหวในเมืองเซิ่งจิง คุณชายห้าของตระกูลจิ่งเพิ่งปลีกตัวจากมารดากลับเข้าห้องของตัวเอง อยู่ๆ พลันตัวแข็งทื่อ กระดิกตัวไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะหลุดออกจากร่างกายไป

เขามองไปที่มือของตัวเองโดยไม่รู้ตัว แบมือออกแล้วกำแน่น

ไม่ เป็นไปไม่ได้!

จิ่งอู่รีบวิ่งออกไปจากห้อง แต่กลับออกไปไม่ได้ เกิดความเจ็บปวดที่หัวใจ รู้สึกถึงกลิ่นคาวในคอ เขากระอักออกมาเป็นเลือดสดๆ สติเลื่อนลอยล้มลงในพริบตา

“คุณชาย! เร็ว รีบไปตามฮูหยินเร็วเข้า” คนรับใช้ร้องตะโกนเสียงแหลม นางรีบวิ่งไปหาจิ่งอู่ เห็นป้ายหยกที่เขาคล้องไว้ที่คออยู่ๆ ก็หักครึ่ง นางตกใจอย่างยิ่ง

ด้านนี้เมื่อจิ่งเสี่ยวอู่ล้มลง อารามจินหัวมีนักพรตคนหนึ่งเขามีใบหน้ายาว อยู่ๆ ก็กระอักเลือดออกมา ม่านตาค้างไป นิ้วมือเขารีบนับคำนวณ ใบหน้าตกตะลึง “ใคร เป็นใครกันที่ทำลายอาคมของข้า? เฉาเอ๋อร์”

เขาพุ่งออกจากห้องไป ปะทะกับนักพรตเต๋าคนหนึ่ง เขาส่งเสียงเรียก “อาจารย์อา…”

นักพรตรู้สึกเหมือนมีลมวูบหนึ่งพัดผ่านตัวของเขาไป

ฉินหลิวซีสงบพลังลง มองไปที่ใบหน้าจิ่งเสี่ยวซื่อพลางเอ่ยว่า “อาคมถูกกำจัดแล้ว”

สยงเอ้อร์รีบไปดูเส้นชีวิตที่ยาวยืดออกไปบนฝ่ามือของจิ่งเสี่ยวซื่อ “กลับ กลับมาแล้วจริงๆ หน้าก็มีสีสันขึ้นแล้ว” สองมือเขากอดจิ่งเสี่ยวซื่อไว้ ตบหลังไปสองสี พูดไปพลางร้องไห้ไปพลาง “ไอ้เด็กหน้าเหม็น เจ้าทำข้าตกใจเกือบตาย ข้านึกว่าเจ้าจะตายแล้วจริงๆ โฮ”

ใต้ตาจิ่งเสี่ยวซื่อเริ่มมีสีสัน เขากลับดันสยงเอ้อร์ออก “บุรุษร้องห่มร้องไห้ดูเหมือนอะไรกัน”

เขาก้มศีรษะมองดูมือทั้งสองข้างของตัวเอง กระโดดไปมาสองรอบ รู้สึกได้ว่าโรคภัยที่อยู่กับตัวเขาก่อนหน้านี้ได้ถูกกวาดทิ้งไปหมดแล้ว ร่างกายรู้สึกเบาสบาย ในใจรับรู้ได้ว่ามีดที่แขวนจ่ออยู่ที่ลำคอไม่มีอยู่อีกแล้ว

เขาจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อย เดินมาข้างหน้าก่อนจะประสานมืออย่างนอบนอบคารวะต่อฉินหลิวซี เขาเอ่ยอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ “ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสน้อยที่ช่วยชีวิตข้าอีกครั้ง กลับเมืองหลวงแล้วต้องตอบแทนท่านอีกอย่างแน่นอน”

“เงินแปดพันตำลึง ห้าพันตำลึงในจำนวนนั้นแลกเป็นข้าวสารเสื้อผ้าข้าวของที่จำเป็นต่างๆ บริจาคให้โรงทานทุกแห่งในเมืองหลีในนามของอารามชิงผิง” ฉินหลิวซีตอบอย่างไม่เกรงใจ “ที่เหลือสามพันตำลึงให้ข้า”

จิ่งเสี่ยวซื่อตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่อารามชิงผิงทำจึงรู้สึกว่านี่แหละคนของอารามชิงผิง นี่แหละท่านเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิว

“จิ่งเหลียนไม่กล้าลืมอย่างแน่นอน” จิ่งเสี่ยวซื่อคารวะเป็นครั้งที่สอง

ฉินหลิวซีพยักหน้า “เจ้าเองก็ทำความดีเป็นเกราะคุ้มกันตัวได้ ยันต์แคล้วคลาดใบนี้ให้เจ้าพกติดตัว เจ็ดวันให้หลังเผาแล้วฝังไว้ที่พื้นดินที่บ้านเจ้าก็พอ”

นางส่งยันต์แคล้วคลาดให้ใบหนึ่ง แล้วเอ่ยอีกว่า “อาคมถูกทำลายไป คราวเคราะห์ถึงตายก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่นอกจากนี้ยังต้องระวังหลังจากกลับสู่ยมโลก ถึงอย่างไรน้องนอกไส้ของเจ้าก็ไม่ได้เป็นคนดี พวกเขารู้ว่าอาคมถูกทำลาย ไม่รู้ว่าจะออกอาการคลั่งแค่ไหน เพียงแต่เรื่องนี้ข้าเข้าไปยุ่งไม่ได้”

สยงเอ้อร์ถาม “ท่านเจ้าอาวาสน้อย กลับเข้าเมืองหลวงแล้วท่านจะไปพักค้างคืนที่ไหน ไม่สู้ไปบ้านข้าดีกว่า? ถ้าเกิดฝ่ายตรงข้ามหวนกลับคืนมาอีก พวกเราคนธรรมดาจะไปสู้อะไรได้”

“ไม่ต้อง อาคมที่ถูกทำลายไปแบบนี้ไม่สามารถกระทำได้เป็นครั้งที่สอง” ฉินหลิวซีส่ายหน้า “หากมีเรื่อง เจ้าไปหาข้าที่โรงประมูลจิ่วเสียนได้”

สยงเอ้อร์ถอนหายใจออกมา ค่อยวางใจหน่อย ต้องกอดขาลูกพี่คนนี้ไว้ไม่ให้หลุดมือถึงจะดี

[1]เทพสูงสุด 3 พระองค์ในลัทธิเต๋า คือ อวี้ชิงหยวนสื่อเทียนจวิน ซั่งชิงหลิงเป่าเทียนจวิน และ ไท่ซั่งเหล่าจวิน หรือไท่ชิงเต้าเต๋อเทียนจวิน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท