ตอนที่ 531 ทำเรื่องผิดไปด้วยเจตนาดี?
ประตูรถม้าถูกเปิดออก ฉินหลิวซีจึงได้เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนมือไพล่หลัง เขาสวมชุดตัวยาวสีอมน้ำเงินเข้ม ลักษณะเป็นผู้มีวิชาความรู้ลุ่มลึก บุคลิกงามสง่า สายตาซ่อนความเฉียบคม
คงจะขี่ม้าเร็วมา ลมหายใจของชายคนนั้นหอบกระชั้นเล็กน้อย ชายเสื้อย่นเป็นรอย ที่เอวห้อยป้ายหยกขาว แกะสลักเป็นรูปปลาคู่ เนื้อหยกเรียบลื่นเป็นมันเงา และมีกระเป๋าใบเล็กปักลายดอกกล้วยไม้สีเขียว ฝีมือการปักละเอียดอ่อนงดงาม แม้ผ้าคาดเอวยังปักลวดลายละเอียดอ่อนและประณีต
คนที่อยู่ตรงหน้านี้แต่งกายแม้ไม่หรูหรา แต่ก็ทำให้คนอดมองไม่ได้ ทั้งยังบุคลิกลักษณะแม้เห็นว่าดูลุ่มลึก แต่ทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่มีส่วนไหนที่มองไม่เห็นลักษณะอันน่าเกรงขามของบุคคลผู้สูงศักดิ์
“ท่านพ่อ” แม่นางลิ่นนั่งคุกเข่าอยู่บนรถม้า นางร้องออกมาด้วยความดีใจ
นี่คือท่านเสนาบดีลิ่นของรัชสมัยปัจจุบัน เป็นบุรุษผู้นำกองทัพเรือที่ชาวประชาผู้ยากไร้ในใต้หล้าเคารพยกย่อง
ขณะที่ฉินหลิวซีสังเกตเสนาบดีลิ่นอย่างละเอียด เสนาบดีลิ่นก็ประเมินนางอยู่เช่นกัน แม้ว่าเขาได้รับรู้เรื่องราวจากม้าเร็วที่ส่งข่าวไปบอกว่ามีคนกำลังรักษาอาการป่วยให้ท่านแม่ อายุยังน้อย แต่ไม่คิดว่าจะดูอายุน้อยถึงเพียงนี้ ดูแล้วนางน่าจะอายุไม่เกินสิบห้าสิบหกปี โตกว่าชิงถังบุตรสาวคนเล็กไม่น่าจะเกินสองสามปีหรือไม่
ใช่แล้ว เสนาบดีลิ่นที่อยู่ในวงราชการมานาน พบเจอผู้คนมาไม่น้อย แม้ใบหน้าดูแข็งกระด้างไม่นุ่มนวล แต่สายตาเขามองออกว่าฉินหลิวซีเป็นนักพรตหญิงที่แต่งตัวเป็นชาย ซึ่งเมื่อเซียวอวี๋เห็นว่าเขามาถึงแล้วก็รีบควบม้ามาด้านหน้าเพื่ออธิบาย
เสนาบดีลิ่นมองไปยังมารดาที่อยู่ในรถม้า เห็นว่าแม้สีหน้ายังซีดเซียว ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าใดนัก แต่ก็มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี หัวใจที่เหมือนถูกบีบรัดนับว่าผ่อนคลายลงแล้ว
เขาเห็นสายตาของฉินหลิวซีก็ยิ่งเอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “ได้ข่าวท่านแม่ข้าล้มป่วยกะทันหัน โชคดีที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ข้าคนแซ่ลิ่นซาบซึ้งในบุณคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ท่านแม่แม้พ้นขีดอันตราย แต่ข้ายังเป็นกังวลอยู่มาก ไม่ทราบท่านเจ้าอาวาสน้อยไปที่จวนก่อนได้หรือไม่ ช่วยตรวจชีพจรแทนท่านหมอหลวงที่ตรวจให้ท่านแม่ทุกวัน ช่วยอธิบายรายละเอียดให้ข้าฟังดูสักหน่อยได้หรือไม่ ท่านวางใจเถิด ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ตระกูลลิ่นสำนึกในบุญคุณ ท่านเจ้าอาวาสน้อยก็คือคนที่ช่วยให้ท่านแม่พ้นขีดอันตราย”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ คำพูดนี้แม้ดูสุภาพอ่อนโยน แต่ความหมายเหมือนบีบให้นางเป็นตัวประกัน ไม่ใช่ว่ากลัวข้าไม่รักษาคนให้หายดีก่อนก็จากไปหรอกหรือ
เพียงแต่นางไม่กลัว ยิ้มอ่อนพลางเอ่ยว่า “ท่านเสนาบดี ให้ข้าตรวจรักษา ราคาไม่ถูก”
“ไม่เกี่ยง”
“ได้” ฉินหลิวซีลงจากรถม้า ยื่นกล่องยาให้เถิงเจา “อย่างนั้นก็ไปกันเถิด”
นางหันไปบอกกับสยงเอ้อร์และจิ่งเสี่ยวซื่อ “ไม่มีเรื่องของพวกเจ้าแล้ว กลับไปก่อนเถิด คิดว่าคนที่บ้านเจ้าร้อนใจแล้ว”
เสนาบดีลิ่นยิ้มบางๆ “ได้ยินมาว่าโชคดีที่ได้คุณชายสยงเอ้อร์และคุณชายจิ่งซื่อขวางทางไว้ ท่านแม่จึงได้รับการรักษา ข้าให้คนเตรียมสุรารสนุ่มไว้เล็กน้อย เชิญพวกท่านไปที่จวนร่วมดื่มกินอาหารเย็นสักมื้อ ส่วนเรื่องที่จวนของท่านข้าให้คนไปรายงานก่อนหน้านี้แล้ว”
สยงเอ้อร์สองขาสั่นเทิ้ม ที่จริงบิดาของเขาอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของท่านผู้นี้ เขาและเสี่ยวซื่อแม้เป็นคุณชายผู้มีอันจะกินในเมืองหลวง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนคนนี้ พวกเขาเทียบไม่ได้แม้หมาแมวตัวเล็กๆ
ตอนนี้ถึงจะเห็นๆ อยู่ว่าเสนาบดีลิ่นพูดคุยด้วยรอยยิ้ม แต่ที่หน้าผากเขากลับเหงื่อไหลซึมท่วมหัว สันหลังเย็นวาบ เขาอยากจะปฏิเสธ
ลำคอจิ่งเสี่ยวซื่อฝืดเฝื่อน ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ฟื้นขึ้นมา นี่จะเป็นการเริ่มต้นสะสางบัญชีแค้น
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ เอาเถิด ไม่รอดไปได้แม้แต่คนเดียวแล้ว!
เมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้าอีกครั้ง มีเสนาบดีลิ่นอยู่ด้วยจึงไม่ต้องต่อแถวรอผ่านเข้าเมือง อีกทั้งท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ทั้งหมดจึงตรงเข้าไปในเมืองทันที
เสนาบดีลิ่นไปนั่งรถม้าของมารดาตน เมื่อประตูรถม้าปิดลง สายตาเขาเป็นกังวลอย่างยิ่ง เขากุมมือฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเอาไว้
“ท่านแม่ ท่านยังรู้สึกไม่สบายที่ตรงไหนอีกหรือไม่”
ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าไม่มีแรงจับมือบุตรชาย นางเอ่ยออกมาช้าๆ “ร่างกายรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง หนักศีรษะ” นางหอบหายใจทีหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อไปว่า “เจ้าอย่าทำให้แม่นางน้อยผู้นั้นลำบาก นางมีจิตใจดี”
ลิ่นชิงถังยังตกตะลึงเมื่อบิดาเปิดเผยเพศสภาพที่แท้จริงของฉินหลิวซี จนกระทั่งตอนนี้ที่ได้ยินเสียงท่านย่าอีกครั้ง “ท่านพ่อ ท่านรู้ได้อย่างไรว่านางเป็นหญิงหรือ”
นางดูอย่างไรก็ดูไม่ออก
เสนาบดีลิ่นกล่าว “พ่อยังไม่แก่ถึงขั้นที่แยกเด็กหญิงชายไม่ออก ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนตัดสินใจให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยคนนั้นรักษาท่านย่า”
ลิ่นชิงถังรีบนั่งคุกเข่าในรถม้า “ท่านพ่อ ตอนนั้นท่านย่าอาการไม่ดีอย่างมาก หน้าขาวซีดเป็นกระดาษ ที่นี่นอกจากท่านย่าแล้วก็มีเพียงข้าที่เป็นนาย ก็เลย…ลืมเรื่องที่จะถูกท่านพ่อลงโทษ อวดดีตัดสินใจโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น”
ซิ่วกูก็นั่งคุกเข่าอยู่ภายในตู้รถม้า “ท่านเสนาบดี เป็นบ่าวเองที่รู้สึกว่าไม่อาจเสียเวลา จึงกำแหงออกความคิดเห็นต่อคุณหนู หากจะลงโทษก็ลงโทษข้าเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่มีใครผิด” ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าลืมตาขึ้นอีกครั้ง “พวกนางทำถูกแล้ว หากไม่ได้เด็กคนนั้นช่วยข้าไว้ ข้ากลัวว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”
เสนาบดีลิ่นตกตะลึง จับมือนางเอาไว้แน่น “ท่านแม่ ท่านอย่าได้เอ่ยเช่นนี้”
“ร่างกาย และหัวใจแม่มีขีดจำกัด อย่างที่เด็กคนนั้นพูด อยู่ได้อีกวันก็นับว่ากำไรอีกวัน ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว” ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “ที่จริงข้าต้องไปพบท่านพ่อเจ้าแล้ว โชคดีของเจ้าที่…”
“ท่านแม่!” เสนาบดีลิ่นคิ้วขมวด ไม่อยากได้ยินคำนี้
ซิ่วกูกล่าวขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอย่าพูดอะไรเลย หากดูแลเอาใจใส่อย่างดีให้อาการดีขึ้นค่อยพูดอีกครั้งก็ไม่สาย”
นางหันไปสบตาเสนาบดีลิ่นพลางส่ายหน้า
เสนาบดีลิ่นรีบเอ่ย “ใช่แล้ว ท่านแม่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ดื่มอะไรหน่อยเถิด”
ที่จริงฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าอ่อนแรง เอ่ยออกมาสองสามประโยคต้องเสียกำลังไปมาก และยังกลัวบุตรชายจะเป็นกังวลจึงพยายามประคองสติเอาไว้ แต่ยาที่กินลงไปกำลังออกฤทธิ์ นางจึงหลับไป
เห็นนางหายใจยาว ในใจเสนาบดีลิ่นร้อนรน รีบสอบถามคนบนรถม้าถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
สามคนช่วยกันเล่าจึงถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างครบถ้วน รวมทั้งคำพูดตรงไปตรงมาของสยงเอ้อร์และฉินหลิวซี
เสนาบดีลิ่นจับป้ายหยกที่ห้อยอยู่ที่เอว “หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยคนนั้นนับนิ้วคำนวณคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้ว ถึงได้มีเจ้าเด็กสยงเอ้อร์คนนั้นมาขวางรถเอาไว้”
“นับนิ้วคำนวณ?” ลิ่นชิงถังเอ่ย “ท่านพ่อ เรื่องแบบนี้สามารถคำนวณได้หรือเจ้าคะ นางรู้ล่วงหน้า?”
เสนาบดีลิ่นมองบุตรสาว “ท่านย่าของเจ้านับถือพุทธ ครั้งนี้เจ้าออกไปก็เพื่อดูแลท่านย่าไปไหว้พระ สำหรับเสวียนเหมินลัทธิเต๋าแล้วมีเหตุผลของมันอยู่ในตัว เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้น ศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมิน คนที่มีพลังอภินิหาร มีความสามารถที่แท้จริงสามารถนับคำนวณได้”
ลิ่นชิงถังเอ่ยด้วยความตกใจ “แต่ท่าทางนางอายุมากกว่าข้าไม่มาก”
“นางอายุยังน้อย แต่เจ้าได้เห็นความสามารถทางการแพทย์ของนางแล้วเป็นอย่างไร ซิ่วกูเจ้าว่าอย่างไร” เสนาบดีลิ่นมองพลางเอ่ยกับทั้งสองคน
ซิ่วกูยิ้มขื่น “น่าอับอายยิ่งนัก ข้าเทียบนางไม่ติดเจ้าค่ะ”
แม้ว่านางแตกฉานตำราแพทย์ สำหรับโรคของผู้หญิง เพราะนางเป็นหญิงด้วยกันจึงได้ถูกส่งมาอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า
สำหรับความสามารถทางการแพทย์ของฉินหลิวซี ลิ่นชิงถังก็ชื่นชมเลื่อมใสด้วยใจจริง แต่เรื่องความสามารถในการนับคำนวณยังคงต้องรอดูไปก่อน “รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องปาฏิหาริย์เกินจริงไปสักหน่อย”
“หากเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป” เสนาบดีลิ่นไม่รู้คิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยว่า “ให้เป็นเรื่องครึกโครมไปว่าท่านย่าของเจ้าตกใจที่ม้าพยศจึงเป็นลมไป ทำให้อาการของโรคกำเริบอย่างกะทันหัน ประจวบเหมาะเจอท่านหมอ”
เรื่องการล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หากแพร่ออกไปยิ่งดึงดูดความสนใจของเหล่านักปราชญ์ เกรงว่าจะนำความยุ่งยากมาสู่เจ้าอาวาสน้อย