คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 535 รบกวนจ่ายค่ารักษาด้วย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 535 รบกวนจ่ายค่ารักษาด้วย

ฉังอันโหวมาจวนเสนาบดีลิ่นโดยไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว เดิมทีเขากังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของบุตรชายคนเล็ก แต่บุตรชายคนโตไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว และเมื่อกลับมาอย่างกะทันหันก็ไปล่วงเกินเสนาบดีลิ่น ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ

แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยไปมาหาสู่กับชนชั้นสูงในหมู่คนยากจน แต่อีกฝ่ายมีอำนาจมากกว่าตัวเอง ซ้ำยังเป็นบุคคลสำคัญของฮ่องเต้ หากฮูหยินผู้เฒ่าจวนเขาเป็นอะไรขึ้นมาเพราะลูกทรพีของตัวเอง ก็ไม่รู้จะประจบประแจงอย่างไรเลยจริงๆ

หลังจากเข้าไปในจวนเสนาบดีด้วยสีหน้าตึงเครียด ฉังอันโหวก็แอบถามผู้ดูแลคนสนิทข้างกายเสนาบดีลิ่น เมื่อได้ฟังก็รู้ว่าฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าสบายดี และลูกทรพีของตัวเองก็ไม่ได้เพียงแต่ไม่ได้สร้างปัญหา ซ้ำยังทำเรื่องดีโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเขากับเด็กดื้อตระกูลสยงผู้นั้นแนะนำหมอที่มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมผู้หนึ่งให้กับฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าด้วยกัน ทำให้อาการป่วยฉับพลันของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ถึงขั้นเลวร้าย

เมื่อฉังอันโหวได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา หมอที่มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม?

เขาถามอีกว่าเป็นโรคฉับพลันอะไร ผู้ดูแลกลับกล่าวอย่างคลุมเครือ ล้วนเป็นโรคของคนชรา

ถูกต้องแล้ว ในตระกูลใหญ่ บรรดาผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น ต่อให้ป่วยก็จะไม่บอกรายละเอียดแก่คนภายนอกตามอำเภอใจ เพื่อไม่ให้ดึงดูดสายตาผู้ที่สอดรู้สอดเห็น

ฉังอันโหวทำได้เพียงยับยั้งชั่งใจ เมื่อได้พบกับเสนาบดีลิ่น ต่างฝ่ายต่างโค้งคำนับซึ่งกันและกันก่อน เขามองไปยังจิ่งเสี่ยวซื่อ เริ่มดุด้วยใบหน้านิ่ง ไม่กลับจวนมาเป็นปี พอกลับมาก็สร้างปัญหา คิดว่าเขาสนุกกับการอยู่ข้างนอกจนไม่อยากกลับมาแล้วเสียอีก

จิ่งเสี่ยวซื่อเม้มริมฝีปาก ไม่ตอบอะไร

ใต้เท้าสยงวางจอกสุราลงเสียงดัง เอ่ยแปลกๆ ว่า “ก็ไม่น่าแปลกที่เหลียนเอ๋อร์จะไม่กลับจวน ที่จวนนั้นยังมีพื้นที่ของเขาด้วยหรือ ผู้ที่ไม่รู้คงนึกว่าเขาถูกเก็บมาจากที่อื่นด้วยซ้ำ เป็นถึงบุตรชายคนโต สถานะเทียบไม่ได้กับบุตรของภรรยาเอกคนที่สองด้วยซ้ำ”

เมื่อฉังอันโหวได้ยินเสียงนี้ ศีรษะชาไปหมด หันไปมอง ระงับความโกรธพลางยกมือขึ้นคำนับ “พี่ใหญ่”

“ไม่ต้องสนิทสนมขนาดนั้น ข้ารับคำเรียกนี้ของท่านโหวไม่ได้หรอก” ใต้เท้าสยงลุกขึ้นยืน มองไปยังเสนาบดีลิ่น เอ่ยว่า “ท่านเสนาบดี วันนี้รบกวนท่านแล้ว ข้าขอตัวพาเจ้าเด็กไม่รักดีกลับไปสั่งสอนสักหน่อย แล้วจะกลับมาขอโทษท่านภายหลัง เหลียนเอ๋อร์ เจ้าก็ไปกับข้า ท่านยายของเจ้าคิดถึงเจ้าจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว ให้ข้าพาเจ้ากลับไปด้วย เรือนของเจ้า ท่านป้าของเจ้าก็ให้บ่าวรับใช้มาทำความสะอาดทุกวัน ทำห้องให้อบอุ่น ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เจ้าต้องกินน้ำแกงเย็นหรือข้าวชืดๆ อะไรเช่นนั้น”

หัวใจของจิ่งเสี่ยวซื่ออบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

สีหน้าของฉังอันโหวเคร่งขรึมขึ้น

เสนาบดีลิ่นยังคงยิ้ม กล่าวว่า “ฟ้าใกล้มืดแล้ว วันนี้ในจวนเกิดความวุ่นวาย ไว้วันหน้าข้าค่อยจัดงานเลี้ยงเล็กๆ หวังว่าใต้เท้าสยงกับท่านโหวจะมาร่วมโต๊ะด้วย”

ฉังอันโหวยกมือขึ้นคำนับ เอ่น “ท่านเสนาบดีลิ่นเกรงใจแล้ว บุตรชายข้าไม่รู้กาลเทศะ เพราะข้าที่เป็นพ่อสั่งสอนได้ไม่ดี โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าของท่านไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นข้าคงไม่สบายใจ”

เสนาบดีลิ่นกล่าวอย่างเกรงใจสองสามประโยค

“ไม่ทราบว่าหมอที่ช่วยรักษาท่านนั้นตอนนี้อยู่หรือไม่” ฉังอันโหวมองไปรอบๆ ไม่เห็นใครที่ดูเหมือนเป็นหมอเลย หรือว่าจะไปแล้ว

ฉินหลิวซีนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางกินอาหารอย่างช้าๆ อืม เห็นข้าเป็นอากาศ ดีจริงๆ

“เป็ดแปดสมบัตินี้ไม่เลวเลย กินเยอะๆหน่อย ช่วยบำรุงร่างกายได้” ฉินหลิวซีคีบเนื้อเป็ดใส่ในชามของเถิงเจา

เสนาบดีลิ่นไม่เข้าใจเมื่อเห็นฉินหลิวซีเพ่งความสนใจไปที่อาหารบนโต๊ะ ราวกับว่าหิวมาเป็นเวลานาน ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร

จิ่งเสี่ยวซื่อแสยะยิ้ม

ฉังอันโหวมองไปตามสายตาของเสนาบดีลิ่น สิ่งที่เห็นคือเด็กสองคนกำลังกินอาหารอยู่ เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่คือตระกูลลิ่น อาจจะเป็นเด็กรุ่นหลังในตระกูลลิ่น ถูกเรียกมากินอาหารกับสยงเอ้อร์และคนอื่นๆ

“ท่านเสนาบดี ช่างบังเอิญ บุตรชายคนเล็กตระกูลข้าก็เกิดป่วยขึ้นมากะทันหัน หมอหลวงทุกท่านหมดปัญญา ได้ยินมาว่าผู้ที่รักษาโรคให้แก่ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกท่านมีทักษะวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม ข้าอยากจะเชิญเขาไปช่วยรักษาบุตรชายของข้าที่จวนโหว หวังว่าท่านเสนาบดีจะช่วยอำนวยความสะดวกให้สักหน่อย” ฉังอันโหวกล่าวอย่างซื่อตรง

สยงเอ้อร์จ้องมอง สายตามีความตื่นเต้นเล็กน้อย อ้าปากกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกจิ่งเสี่ยวซื่อดึงแขนเสื้อ จึงปิดปากไป

เมื่อใต้เท้าสยงเห็นท่าทางของเด็กทั้งสองจึงหรี่ตาลง สองคนนี้มีบางอย่างผิดปกติ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถาม

ไฟแห่งการอยากรู้อยากเห็นในใจของใต้เท้าสยงกำลังลุกไหม้ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะไป อย่างไรเสียเสนาบดีลิ่นก็ไม่ได้ผลักไสไล่ส่งไม่ใช่หรือ

เสนาบดีลิ่นมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย เจ้าว่าอย่างไร”

ฉังอันโหว “?”

ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น สบตากับเขา ในดวงตามีความหมายที่ไม่ชัดเจน

สายตาของฉังอันโหวสบกับนาง ความหนาวเย็นไหลลงมาที่หลัง รู้สึกไม่ดีอยู่ในใจอย่างอธิบายไม่ถูก

“ท่านโหว ท่านนี้คือหมอที่ช่วยรักษาให้ท่านแม่ของข้า” เสนาบดีลิ่นยิ้มพลางเอ่ยแนะนำ “ไม่เหมือนกับหมอทั่วไป นางเป็นหมอลัทธิเต๋า”

หมอลัทธิเต๋า?

ฉังอันโหวสับสนอยู่ครู่หนึ่ง หมอลัทธิเต๋าคืออะไร

“นางเป็นคนเสวียนเหมิน และเสวียนเหมินก็มีวิชาแพทย์เช่นกัน”

ฉังอันโหวเข้าใจแล้ว กล่าวคือท่านนี้เป็นนักพรต นึกถึงตอนกลางวันที่ฮูหยินพึ่งจะเชิญนักพรตเต๋าอารามจินหัวมา บอกว่าถูกผีอำ พยายามอยู่นานก็ไม่เห็นว่าบุตรชายคนเล็กจะฟื้นขึ้นมา แต่กลับทำตัวเองน่าสังเวชไปด้วย

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเฉยๆ กับนักพรตเต๋า สัญชาตญาณบอกว่าเชื่อไม่ได้

ความกระตือรือร้นของฉังอันโหวจางหายไปในทันที แต่ไม่ได้ปรากฏชัดเจนบนใบหน้ามากนัก จึงเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าทางนักพรตเต๋าน้อยผู้นี้จะยังเด็กมาก”

เสนาบดีลิ่นกล่าวชื่นชม “ว่ากันว่าการเรียนรู้ไม่มีเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ที่บรรลุก่อนนับเป็นผู้อาวุโส ท่านเจ้าอาวาสน้อยอายุยังน้อย แต่ประสบความสำเร็จในวิชาแพทย์เป็นอย่างมาก”

หัวใจของฉังอันโหวเต้นรัว และเสนาบดีลิ่นไม่มีทางจงใจส่งเสริมผู้ใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักพรตเต๋า เช่นนั้นคนผู้นี้มีความสามารถจริงๆ หรือ

เขายกริมฝีปาก ยกมือคำนับฉินหลิวซี “ข้ามีตาหามีแววไม่ ท่านนักพรตน้อยผู้นี้อย่าได้ถือสา”

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ท่านโหวอยากขอให้ข้าช่วยบุตรชายหรือ”

ฉังอันโหวรีบพยักหน้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “ข้าได้ช่วยไปแล้ว ท่านมาก็ดีแล้ว รีบจ่ายค่ารักษาให้เรียบร้อย”

ฉังอันโหวสีหน้ามึนงง “?”

สยงเอ้อร์กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นและความตื่นเต้น

ใต้เท้าสยงตบหลังเขา ‘เจ้าเด็กบ้า รักษาท่าทีหน่อย’

จิ่งเสี่ยวซื่อก็เหลือบมองฉินหลิวซีอย่างช่วยไม่ได้

“ขอโทษด้วยที่ข้าไม่เข้าใจว่าท่านนักพรตน้อยหมายความว่าอย่างไร” ฉังอันโหวคาดไม่ถึงเล็กน้อย

ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านอยากให้ข้าช่วยบุตรชายของเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าช่วยเขาไปแล้ว”

นิ้วชี้ของนางชี้ไปทางจิ่งเสี่ยวซื่อ เอ่ย “และข้าก็ไม่ได้ช่วยเขาเพียงครั้งเดียว ข้าช่วยไปสองครั้ง ครั้งแรกเขาถูกแมลงพิษ ข้าก็ช่วยเอามันออกมาแล้ว มิเช่นนั้นเขาก็คงโดนกินไปหมดแล้ว เรื่องที่ถูกแมลงพิษคาดว่าท่านโหวก็คงจะรู้อยู่กระมัง”

ฉังอันโหวขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขารู้เรื่องนี้ เกิดขึ้นตอนที่ไปล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิบนภูเขาในปีนั้นไม่ใช่หรือ หลายปีมานี้ก็หาหมอและยารักษามาตลอด แต่หมอเผ่าเหมียวก็ไม่สามารถเอาออกมาได้ แต่ผู้ที่เรียกว่านักพรตเต๋าทำได้อย่างนั้นหรือ

จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้าเรียบเฉย ในใจสงบนิ่ง

ใต้เท้าสยงกลับไม่รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว ผลักฉังอันโหวออก คว้าจิ่งเสี่ยวซื่อมาสำรวจดูตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถูกแมลงพิษ? ถูกแมลงพิษได้อย่างไร เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด”

สยงเอ้อร์ถอยหลังไปสองสามก้าว กลัวถูกตี

จิ่งเสี่ยวซื่อเอ่ย “ท่านลุง ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว มันผ่านไปแล้ว”

ผ่านไปแล้ว ผ่านไปแล้วเสียที่ไหนกัน

ใต้เท้าสยงหันกลับมา ยกกำปั้นขึ้นมาแล้วต่อยฉังอันโหว “ให้ตายเถอะจิ่งจื้อหมิง เจ้าเป็นพ่อประสาอะไรกัน ปล่อยให้สตรีถ่อยหลังจวนของเจ้าผู้นั้นทำร้ายเหลียนเอ๋อร์ เขาเป็นบุตรชายคนโตของเจ้าเชียวนะ คนสารเลวอย่างเจ้า ไปตายเสียเถิด!”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท