ตอนที่ 536 นางเก่งเรื่องปลุกระดมความเกลียดชัง
ใต้เท้าสยงลงมือโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทำเอาทุกคนตกใจ โดยเฉพาะฉังอันโหวที่ยังไม่ได้สติกลับมาด้วยซ้ำ รู้สึกเจ็บปวดบริเวณรอบดวงตา เขารับหมัดใต้เท้าสยงเข้าไปอย่างแรง
ฉังอันโหวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด กุมตาพลางตะโกนด้วยความโกรธ “สยงติ้งปัง เจ้าคนบ้าบิ่น เจ้ากล้าลงมือได้อย่างไร!”
“ข้ามันคนบ้าบิ่น ทำไมจะไม่กล้า ตอนนั้นที่ตาเฒ่าอย่างเจ้ากับนางแพศยาผู้นั้นอยู่ด้วยกัน ทำให้น้องสาวของข้าโกรธจนล้มหมอนนอนเสื่อ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับคนสารเลวอย่างเจ้า น้องสาวของข้าไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ เป็นเพราะถูกคนสารเลวอย่างเจ้าทำร้าย ไม่เป็นไร ที่นางอายุสั้นเพราะนางไม่มีวาสนา แต่บุตรชายคนเดียวของนาง และเป็นบุตรชายของเจ้า บุตรชายคนโตของเจ้า เจ้าก็ยังละเลยไม่สนใจ ซ้ำยังให้ผู้อื่นมาทำร้ายเขา ถูกแมลงพิษหรือ ไม่แปลกใจเลยที่ข้าเห็นว่าหลายปีมานี้เหตุใดเหลียนเอ๋อร์จึงได้อ่อนแอเหมือนแมวป่วยขึ้นเรื่อยๆ พนันได้เลยว่ามีคนทำเรื่องหยาบช้าอยู่เบื้องหลัง เรื่องใหญ่เช่นนี้เจ้ายังปิดบัง ข้าจะตีเจ้าให้ตาย” ใต้เท้าสยงถกแขนเสื้อขึ้นกำลังจะพุ่งเข้าใส่
สยงเอ้อร์รีบกอดเขาไว้ “ท่านพ่อ ท่านอย่าทำเช่นนี้”
“ปล่อยข้า ข้าจะตีเขาให้ตาย” ใต้เท้าสยงไม่สามารถขยับได้ จึงทำได้เพียงใช้เท้าเตะ
ฉังอันโหวก็โมโหเช่นกัน เขาอดทนกับคนบ้าบิ่นเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ตอนนี้จึงได้โต้ตอบกลับไป
จิ่งเสี่ยวซื่อขวางเขาไว้ “ท่านพ่อ ที่นี่คือจวนเสนาบดี ไม่ใช่จวนฉังอันโหว ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราจะทำตัวต่ำช้า”
เสนาบดีลิ่นกับบุตรชายมองดูฉากที่วุ่นวายนี้ ก้าวถอยหลังอย่างเงียบๆ พวกเจ้าชอบก็พอ
หลังจากที่ฉังอันโหวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างแรง จ้องไปยังใต้เท้าสยง “ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะถือสาเจ้า เดิมทีเหตุการณ์นี้ก็เป็นอุบัติเหตุ ตอนนั้นเจ้าทำงานอยู่นอกเมืองหลวงจึงไม่รู้ เรื่องนี้เกิดขึ้นในป่าบนภูเขาระหว่างการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีใครทำร้ายเขา” เขามองไปยังจิ่งเสี่ยวซื่อ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าเองก็เช่นกัน เรื่องต่างๆ ย่อมต้องมีหลักฐาน หรือว่าเจ้าก็คิดว่าท่านแม่ของเจ้า…”
“ท่านแม่ของข้าตายไปนานแล้ว” จิ่งเสี่ยวซื่อเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หลายปีมานี้ข้าก็ไม่เคยพูดว่านางเป็นคนวางแมลงพิษข้า ท่านไม่จำเป็นต้องทวงความยุติธรรมให้ใคร”
ใต้เท้าสยงสะสมความโกรธมานาน “ยังจะเป็นใครได้อีก หากเจ้าเป็นอะไรไป ใครจะได้รับผลประโยชน์ จะเป็นใครไปได้ ตายจริง คนบางคนที่ทำชั่วได้รับผลกรรมแล้ว ผลกรรมไปตกที่บุตรชายของตัวเอง หึๆ”
“สยงติ้งปัง!” ฉังอันโหวโกรธจัด
เสนาบดีลิ่นก้าวเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ “ทั้งสองท่านฟังข้ากล่าว ล้วนเป็นผู้อาวุโสกันทั้งนั้น มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ”
ทั้งสองคนสบถออกมาพร้อมกัน จ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยความเกลียดชังจนแทบจะกินเลือดเนื้อของคนผู้นั้น
ฉังอันโหวยิ่งโกรธ หากรู้ตั้งแต่แรกก็คงไม่มาแล้ว อับอายขายหน้าไปทั่ว
“ทะเลาะกันเสร็จแล้ว เช่นนั้นก็จ่ายค่ารักษาเถิด” ฉินหลิวซีจิบชา
ทุกคน “…”
ตอนนี้ใช้เวลามาเอ่ยเรื่องค่ารักษาหรือ
ฉังอันโหวจ้องนางอย่างเย็นชา เป็นนางที่ก่อเรื่องทำให้เขาต้องขายหน้า เอ่ยขึ้นมาว่า “เรื่องที่ข้าจะขอท่าน คือขอให้ท่านรักษาบุตรชายคนเล็กของข้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้รับเกียรตินั้น” นักพรตเต๋าไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ ด้วย
เมื่อฉินหลิวซีได้ฟังน้ำเสียงแปลกๆ เช่นนี้ก็ยิ้มด้วยความโกรธ เป็นเจ้าเองที่ยื่นหน้ามาให้ข้าตีเอง
“ท่านโหวพูดถึงเรื่องอะไรกัน ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรือว่าได้ทำการรักษาให้กับบุตรชายของท่านแล้ว” ฉินหลิวซีชี้ไปยังจิ่งเสี่ยวซื่อ “เขา บุตรชายเพียงคนเดียวของท่าน”
ฉังอันโหวสีหน้ามืดครึ้ม มีร่องรอยของเจตนาฆ่าปรากฏในดวงตา “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
ฉินหลิวซีไม่กลัวแม้แต่นิด ยิ้มหน้าระรื่นพลางเอ่ย “ความหมายก็คือท่านโหวมีบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ทุกคน “?”
ห้องโถงเงียบมากจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่น
หมายความว่าอย่างไร จะบอกว่าฉังอันโหวถูกนอกใจอย่างนั้นหรือ
เสนาบดีลิ่นเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา กระแอม “เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว งานเลี้ยงนี้เลิกลาไปก่อนเถิด ใครก็ได้ ส่งใต้เท้าสยงกับท่านโหวกลับจวนที”
ฉังอันโหวกลับดีดตัวขึ้นมา ชี้ไปยังฉินหลิวซี “เจ้าเด็กเมื่อวานซืน บังอาจมาก!”
กล้าดีอย่างไรมาพูดจาคลุมเครือกับเขา!
สีหน้าของฉังอันโหวเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด มือคลำที่เอว ‘กระบี่ล่ะ กระบี่เขาอยู่ที่ไหน’
เขาจะฆ่านักพรตเต๋าน้อยผู้นี้ให้ตาย
“ท่านพ่อ!” จิ่งเสี่ยวซื่อดึงเขาไว้ เอ่ย “เลิกทำขายหน้าที่จวนเสนาบดีได้แล้ว”
“เจ้าไสหัวไปให้พ้น!” ฉังอันโหวสะบัดเขาออก
จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้ามืดครึ้ม กล่าวว่า “ท่านพ่อ จิ่งเฉาล้มป่วยกะทันหัน ท่านคิดว่าป่วยเป็นโรคขึ้นมาฉับพลันจริงๆ หรือ สะใภ้หนิวไม่ได้บอกท่านถึงเหตุผลที่แท้จริงที่เขาล้มป่วยหรือ”
ฉังอันโหวตกตะลึงก่อนจะหันมา สายตาที่มองไปยังบุตรชายคนโตราวกับมีดน้ำแข็ง
เขาไม่ได้พึ่งกลับเมืองมาวันนี้หรือ เหตุใดจึงรู้อะไรมากมายเช่นนี้ หรือว่าเขากลับมาตั้งนานแล้ว
จิ่งเสี่ยวซื่อเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ท่านอยากให้ลูกอธิบายให้ฟังหรือไม่”
หางตาของฉังอันโหวกวาดมองไปยังเสนาบดีลิ่นที่ยืนมือไขว้หลังมองไปบนเพดานห้อง ใบหูสองข้างตั้งตรง ราวกับว่า ‘ข้าไม่มอง ข้าแค่แอบฟัง’ อดรู้สึกอึดอัดในใจไม่ได้
“กลับจวนไปกลับข้า” เขาสะบัดแขนเสื้อ มองไปยังฉินหลิวซีด้วยสายตาเย็นชา ความอับอายนี้ข้าจะจำไว้
ฉินหลิวซีเอ่ยกับเถิงเจาว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าความคิดของท่านพ่อของจิ่งซื่อเป็นเช่นนี้ ‘สตรีผู้นี้ เจ้าดึงดูดความสนใจของข้าได้สำเร็จ!’”
อืม เป็นการดึงดูดเรื่องความเกลียดชัง!
เถิงเจาท่าทางเหมือนคนชราตัวน้อยสีหน้านิ่ง ‘ท่านเก่งเรื่องปลุกระดมความเกลียดชังอยู่แล้ว’
ลิ่นชิงฝานหูไว เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็เกือบจะหัวเราะออกมา บีบเนื้ออ่อนที่เอวของตัวเองอย่างแรงเพื่ออดกลั้นไว้
หลังจากที่ฉังอันโหวไปแล้ว จิ่งเสี่ยวซื่อกล่าวกับใต้เท้าสยงว่า “ท่านลุง พวกท่านกลับไปก่อนเถิด”
ใต้เท้าสยงขมวดคิ้ว “เจ้ากลับไปอธิบายเรื่องถูกแมลงพิษกับพวกเราก่อนดีหรือไม่”
จิ่งเสี่ยวซื่อเอ่ย “อย่างไรเสียข้าก็ต้องกลับไปคารวะท่านย่า ส่วนเรื่องของข้า พี่รองทราบทั้งหมด”
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพายุเกิดขึ้นในจวน จากคำพูดเมื่อครู่นี้ ฉังอันโหวก็ไม่มีทางให้เขาไปจวนสยง
ใต้เท้าสยงแอบถอนหายใจในใจ ตระกูลสยงของพวกเขาถือว่าจิ่งเหลียนเป็นดั่งหลานชายแท้ๆ แต่สุดท้ายก็เป็นตระกูลทางฝั่งของท่านยาย และแม้ว่าฉังอันโหวจะแย่แค่ไหน จิ่งเหลียนก็ไม่สามารถตัดความสัมพันธ์ได้
อีกอย่างเหตุใดต้องตัดความสัมพันธ์ เขาต่างหากที่เป็นบุตรชายคนโต ตระกูลจิ่งก็ควรเป็นของเขา
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ฟังจากความหมายของนักพรตเต๋าน้อยผู้นั้น ดูเหมือนว่าฉังอันโหวโง่เง่าผู้นั้นจะถูกนอกใจ ไม่ได้การ ต้องกลับไปสอบปากคำเจ้าลูกไม่รักดี
ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นของใต้เท้าสยงลุกโชนอีกครั้ง รีบเอ่ยลากับเสนาบดีลิ่น
ลิ่นชิงฝานไปส่งพวกเขาด้วยตัวเอง
ภายในโถงบุปผาเงียบสงบลงอีกครั้ง เสนาบดีลิ่นเห็นว่าฉินหลิวซีได้สร้างพายุขึ้นมาด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อดไม่ได้ที่จะแสดงความเห็นใจต่อฉังอันโหวอย่างเงียบๆ
หากสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง เกรงว่าตระกูลจิ่งคงจะวุ่นวายอยู่สักพักหนึ่ง
“ฟ้ามืดแล้ว อย่างไรเสียพรุ่งนี้ท่านเจ้าอาวาสน้อยก็ต้องมาฝังเข็มให้ท่านแม่ข้า มิสู้พักในจวนดีหรือไม่” เสนาบดีลิ่นเอ่ย
ฉินหลิวซีพยักหน้าเห็นด้วย พรุ่งนี้ค่อยกลับไปโรงประมูลจิ่วเสียนก็ได้
ส่วนฉังอันโหวกำลังนั่งรอจิ่งเสี่ยวซื่ออยู่ในรถม้า เมื่อเห็นว่าเขาออกมาแล้วแต่ยังไม่ขึ้นมาสักที จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ต้องให้ข้าเชิญเจ้าหรือไม่”
จิ่งเสี่ยวซื่อขึ้นรถโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
ฉังอันโหวนั่งขัดสมาธิ จ้องมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม
“เจ้าเอ่ยเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ อยู่ข้างนอกมาหนึ่งปี ล้วนไปคบค้าสมาคมกับใครที่ไหนบ้าง”
จิ่งเสี่ยวซื่อยิ้มเย้ยหยัน ตอบว่า “หลายปีมานี้ข้าไปตามหาหมอขอรับการรักษาไปทุกที่เพื่อร่างกายนี้ ไหนเลยจะมีแรงหรือมีอารมณ์มาต่อกรกับใครได้ ส่วนคำกล่าวเหล่านั้นของข้าหมายความว่าอย่างไร ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าข้าถูกคนขโมยชีวิตไป เกือบจะตายอยู่ข้างนอก ที่ข้าไม่ตาย นั่นเป็นเพราะอาคมนี้ถูกทำลายแล้ว และคนที่ขโมยชีวิตข้า ท่านว่าเป็นใคร ทันทีที่อาคมถูกทำลาย ใครได้รับผลสะท้อนกลับแล้วล้มลงในทันที”
เขาแทบจะกล่าวอธิบายอย่างสงบนิ่ง เมื่อเห็นสีหน้าของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ แย่ลงเรื่อยๆ ก็อดรู้สึกมีความสุขไม่ได้