ตอนที่ 539 กินแตงด้วยกัน
ปรมาจารย์ไท่เฉิงแทบจะอาเจียนออกมาแล้ว อารามจินหัวเป็นอารามที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเมืองหลวง โดยเฉพาะตอนที่ตัวเองรู้แจ้งไปอีกขั้น ควันธูปก็ยิ่งแผ่ขยายมากขึ้น มีผู้ศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนมาจุดธูปทุกวัน
เขาเองก็มีความทะเยอทะยานเตรียมที่จะให้ศิษย์น้องไปเปิดสาขาอารามที่อื่น เพื่อดูดซับควันธูปมากขึ้น ทำให้นิกายของเจ้าลัทธิเต๋าของพวกเขาขยับขยายกว่าเดิม เมื่อถึงเวลานั้นที่อารามต้องเปลี่ยนเจ้าอาวาส ด้วยผลแห่งความศรัทธาและบุญกุศล ก็มีความเป็นไปได้มากที่ในภายหน้าตัวเองจะได้ขึ้นสู่สวรรค์เช่นเดียวกันกับเจ้าลัทธิเต๋าปรมาจารย์จางเทียนซือใช่หรือไม่
แผ่นแป้งย่างขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นหอมโรยด้วยน้ำมันต้นหอมและเมล็ดงาเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ไท่เฉิงวางแผนจะลงมือทำ แต่ถูกไท่หยางที่ขาดคุณธรรมจนประสบเข้ากับหายนะ ทำเอาต้นหอมกับเมล็ดงากระจัดกระจายหายไปหมด เหลือเพียงก้อนแป้งสีขาวที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป
เกรงว่าก้อนแป้งสีขาวนี้อาจจะเปื้อนขี้เถ้าก้นหม้อทำให้เป็นมลทิน
เมื่อปรมาจารย์ไท่เฉิงเห็นทหารถือคบเพลิง สวมชุดเกราะล้อมรอบอารามเต๋าอยู่ตรงหน้าก็รู้สึกว่าสายตาดำมืดราวกับกลางคืน เห็นไฟเหล่านั้นกลายเป็นไฟที่น่าหวาดกลัว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงภาพอดีตอารามเต๋าที่มีชื่อเสียงที่สุดเมื่อหลายสิบปีก่อนถูกล้อมรอบไปด้วยทหารของทางการ
ใช่ นักพรตเต๋าที่ประสบความสำเร็จในวิชาเต๋านั้นเก่งกาจเป็นอย่างมาก แต่จะเก่งกาจไปกว่าทหารนับหมื่นพันได้หรือ
ไม่ว่าวิชาเต๋าของเจ้าจะล้ำเลิศแค่ไหน เพียงแค่มีคนยิงธนูขึ้นฟ้า เมื่อกองกำลังนับพันบุกเข้ามา ยังไม่ทันร่ายคาถาอาคมได้เสร็จสิ้น เจ้าก็จะถูกบดขยี้จนละเอียดไปแล้ว
เอาเถิด นักพรตที่เก่งกาจเป็นพิเศษ ตัวเองวิ่งหนีเอาตัวรอดได้นั้นไม่มีปัญหา แต่การที่ทอดทิ้งสำนักนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว
ดังนั้นการที่สวรรค์มีการควบคุมและถ่วงดุลนั้นถูกต้องแล้ว แม้ว่าจะไม่ควรล่วงเกินนักพรตเต๋า แต่ก็ไม่ใช่บุคคลที่สามารถใช้มือเดียวปกคลุมได้ทั่วท้องฟ้า อย่างไรเสียนี่คือยุคแห่งอำนาจการปกครองของฮ่องเต้ ไม่มีเซียนที่เพียงแค่โบกมือหรือดีดนิ้วก็สามารถทำลายล้างโลกได้
ปรมาจารย์ไท่เฉิงดุด่าศิษย์น้องที่สร้างปัญหาอยู่ในใจเป็นร้อยครั้ง ไปสร้างปัญหาบนศีรษะของฉังอันโหว เก่งขนาดนี้เหตุใดไม่ขึ้นสวรรค์ไปเสียเลย
เมื่อเผชิญหน้ากับฉังอันโหวที่เต็มไปด้วยไอสังหาร มาถึงอารามเต๋าด้วยตัวเอง ปรมาจารย์ไท่เฉิงก็ปั้นยิ้ม เดินเข้าไปยกมือขึ้นคารวะพลางเอ่ย “ขอสวรรค์จงอวยพร ท่านโหวมาแต่เช้าเพื่อจุดธูปบูชาหรือ”
ฉังอันโหวเหลือบมองเด็กอ้วนหน้าขาวที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยอย่างเย็นชา “จุดธูปหาบุพการีเจ้าสิ ให้เจ้าอาวาสอารามจินหัวส่งตัวนักพรตไท่หยางมาให้ข้า”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงหน้าแดง ระงับความโกรธพลางเอ่ย “ท่านโหว อาตมาก็คือเจ้าอาวาสอารามจินหัว นามเต๋าว่าไท่เฉิง”
ฉังอันโหวตกตะลึง คว้าคบเพลิงองครักษ์คนสนิทที่อยู่ด้านหลังมา ยื่นไปข้างหน้า เกือบจะไหม้เคราของปรมาจารย์ไท่เฉิง เขามองดูใบหน้าของปรมาจารย์ไท่เฉิง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าล้อข้าเล่นหรืออย่างไร เจ้าอาวาสอารามเป็นตาเฒ่าไม่ใช่หรือ”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย เชิดหน้ายืดอกพลางกล่าว “วิชาเต๋าของอาตมาประสบความสำเร็จก้าวหน้าไปอีกหนึ่งขั้น จึงได้เปลี่ยนจากวัยชรากลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง”
ดังนั้นจงเจียมเนื้อเจียมตัวเถิด คนธรรมดาอย่างพวกเจ้าเหล่านี้คิดจะมาทำตัวยิ่งผยองในอารามของข้า อย่างไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ
ฉังอันโหวสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็แสยะยิ้มพลางกล่าว “ที่แท้ก็เป็นสถานที่กำเนิดปีศาจเต๋า ไม่ทราบว่าฝึกฝนมนต์ดำอะไรจึงได้เปลี่ยนรูปลักษณ์เช่นนี้ ทหาร ไปค้นหาเอาตัวนักพรตไท่หยางออกมาให้ข้า”
อะไรนะ มนต์ดำ?
ปรมาจารย์ไท่เฉิงไม่พอใจ เมื่อเห็นทหารจะบุกเข้าไปในอารามก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “ฉังอันโหว อารามจินหัวของพวกเรานับถือคุณธรรมแห่งเต๋า เป็นลูกหลานของจางเทียนซืออย่างแท้จริง สิ่งที่ร่ำเรียนก็คือคุณธรรมแห่งเต๋า ยึดหลักปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋าเป็นอันดับแรก ไม่ได้เป็นปีศาจเต๋ามนต์ดำอย่างที่เจ้าเอ่ยอะไรนั่น”
ฉังอันโหวดวงตาแดงก่ำ เอ่ยอย่างเย็นชา “เมื่อวานนี้บุตรชายของข้าป่วยขึ้นมาฉับพลัน หลังจากที่นักพรตไท่หยางแห่งอารามเต๋าของท่านร่ายมนต์ดำ ยิ่งทำให้บุตรชายข้าเหลือลมหายใจโรยริน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ปีศาจเต๋าบังอาจทำร้ายบุตรข้า ข้าไม่สามารถทนได้ บุกเข้าไป”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงขวางไว้ มองไปยังฉังอันโหว กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ฉังอันโหว หากวันนี้เจ้ากล้าบุกเข้ามาจริงๆ ไม่กลัวหรือว่าหากเจ้าลัทธิเต๋ารับรู้จะลงโทษเจ้าและบุตรหลานในตระกูลเจ้า”
ฉังอันโหวโกรธมาก ใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองเขา “เจ้ากำลังข่มขู่ข้า หรือว่ากำลังดูหมิ่นกฎหมายและข้อบังคับของต้าเฟิง คิดจะใช้มนต์ดำอะไรนั้นทำลายใต้หล้าอย่างนั้นหรือ”
เป็นอาชญากรรมที่ชั่วร้ายที่สุด
ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าวว่า “อาตมาไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงคิดว่า…”
“คิดว่าอะไร” ฉังอันโหวสะบัดแขนเสื้อ มองต่ำลงมาที่เขา “ข้าจะไม่ทำให้เจ้าอาวาสต้องลำบาก ขอเพียงแค่อารามของท่านมอบตัวนักพรตไท่หยางมา ข้าก็จะถอนกำลังโดยไม่ลังเล”
กร๊อบ
ในยามค่ำคืน ดูเหมือนจะมีเสียงกระเทาะเมล็ดแตงดังขึ้นเบาๆ
ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองไปตามทิศทางของเสียงด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มอก
ยอดไม้พลิ้วไหวตามแรงลม
ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองไปยังฉังอันโหวอีกครั้ง จึงเอ่ย “ท่านโหวมาได้บังเอิญจริงๆ นักพรตไท่หยางได้ออกไปท่องเที่ยวแล้ว”
“เฮ้อ ตั้งมั่นที่จะปกป้องไท่หยางผู้นั้นหรือ เกรงว่าเช้าวันนี้อารามจินหัวจะไม่สามารถเปิดประตูต้อนรับผู้ศรัทธาได้แล้ว”
บนยอดไม้จากที่ไกลๆ ฉินหลิวซีกับเฟิงซิวกำลังนั่งเฝ้าดูความครึกครื้น
ตอนที่เข้าเมือง เฟิงซิวก็ปลีกตัวหนีไปแล้ว กลับไปเดินเล่นในดินแดนของตัวเองก่อน จากนั้นก็ทำตามที่ฉินหลิวซีกำชับให้แอบไปที่จวนฉังอันโหว ดูว่าใครทำอาคมใส่จิ่งซื่อ อย่างไรเสียเมื่ออาคมถูกทำลาย ฉังอันโหวจะต้องตามหาคนอย่างแน่นอน
ปรากฏว่าได้รู้จริงๆ ซ้ำยังเป็นคนสำนักเดียวกันที่ค่อนข้างคุ้นเคย นั่นก็คืออาจารย์อาของเสวียนชิงจื่อ
ทันทีที่เฟิงซิวรู้ว่ามีความครึกครื้นให้ดูก็พาฉินหลิวซีออกมาจากจวนเสนาบดี ทั้งสองคนนั่งยองๆ อยู่บนยอดไม้หน้าอารามจินหัว ทำตัวเป็นผู้ชมพลางแทะเมล็ดแตง
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิวซี เฟิงซิวก็คว้าเมล็ดแตงมาจากมือของนางสองเมล็ด ใช้มือค่อยๆ ปอกเปลือกเมล็ดแตงอย่างช้าๆ เอ่ย “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง”
“ทำไมจะไม่เป็นเช่นนั้น ฉังอันโหวไม่เพียงแต่ถูกสวมเขา ซ้ำยังช่วยคนอื่นเลี้ยงบุตรไม่เอาไหนมาเป็นสิบปี ตอนนี้ก็ยังจับคนไม่ได้ ไฟแค้นที่มีอยู่เต็มท้องหากไม่หาที่ระบายออกก็จะถอยทัพกลับไปเช่นนี้หรือ เช่นนั้นเขาก็คือเทพเจ้าเต่าผู้มีความอดทนกลับชาติมาเกิด” ฉินหลิวซีถ่มเปลือกเมล็ดแตงออกมา กล่าวว่า “หากเป็นเจ้า เจ้าทนได้หรือ”
เฟิงซิว “เจ้าว่าข้ามีโอกาสถูกคนนอกใจหรือ ข้าเป็นถึงปีศาจจิ้งจอกพันปีเชียวนะ”
ฉินหลิวซีกลอกตาใส่เขา รับชมการแสดงต่อ
ความอดทนของฉังอันโหวหมดลง โบกมือ “ไปเอาตัวมันมาให้ข้า ใครกล้าขวาง จะถูกฆ่าไม่เว้นในนามของปีศาจเต๋า”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงโมโหเป็นอย่างมาก “กล้าดีอย่างไร!”
ฉังอันโหวจ้องเขา “เจ้าว่าข้ากล้าหรือไม่ อารามจินหัวเป็นที่รู้จักในฐานะคุณธรรมแห่งเต๋า แต่กลับฝึกอาคมปีศาจชั่วร้าย แล้วยังอ้างว่าตัวเองมีคุณธรรมเต๋า? ถุย! ” เขากล่าวเสียงดังต่อว่า “เจ้าอาวาสตั้งใจขัดขวาง หรือว่ากำลังซ่อนสายลับของอาณาจักรอื่นเพื่อตั้งใจสร้างความวุ่นวายแก่ต้าเฟิงของพวกเรา กลับไปข้าจะต้องรายงานฝ่าบาทให้สอบสวนอย่างละเอียด”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงถูกกดดันจนสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว
เฟิงซิวสะกิดฉินหลิวซี กล่าวว่า “เจ้าว่าเขารู้หรือไม่ว่าไท่หยางทำให้คนแซ่จิ่งผู้นั้นเป็นคนโง่”
“เจ้าโง่หรืออย่างไร ปกป้องอย่างชัดเจนขนาดนี้ แสดงว่าเขารู้ดีจะตายไป” ฉินหลิวซีเคี้ยวเมล็ดแตงพลางเอ่ย “เสียแรงที่เสวียนชิงจื่อบอกว่าอารามจินหัวของพวกเขารุ่งเรืองเพียงใด คิดไม่ถึงว่าเจ้าอาวาสผู้นี้จะไร้เหตุผล เฮ้อ มองพวกเขาผิดไปแล้ว”
เฟิงซิวเลิกคิ้ว “เจ้าว่าหากเป็นเจ้าอาวาสชื่อหยวนของเจ้า เขาจะทำอย่างไร”
ฉินหลิวซีหัวเราะในลำคอ “หากข้าเป็นคนทำ เจ้าว่าข้าจะปล่อยให้คนจับได้หรือ แม้ว่าจะถูกจับได้ ตาเฒ่าของข้าผู้นั้นต่อให้สละอารามเต๋าก็จะปกป้องข้าอย่างแน่นอน”
“เจ้าหมายความว่าเจ้าอาวาสชื่อหยวนก็เป็นคนไม่มีเหตุผลเช่นกันหรือ”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่ตราบใดที่มีข้าอยู่ จะเปิดอารามใหม่อีกสักแห่งก็ย่อมไม่เป็นปัญหา!”
เฟิงซิว “…”
ลืมไปว่านี่คือผู้ที่หลงตัวเองอันดับหนึ่งในใต้หล้า ช่างเหมาะสมกับข้าจริงๆ!