ตอนที่ 542 เดินหมากผิดก้าว
เมื่อออกจากจวนเสนาบดี ฉินหลิวซีได้รับตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งพันตำลึงกับไม้จันทร์แดงหนึ่งชิ้น ตั๋วเงินคือค่ารักษาที่ฮูหยินลิ่นมอบให้นางเป็นอั่งเปา เนื่องจากฉินหลิวซีไม่เพียงแค่ช่วยจับชีพจรพื้นฐานและยังเขียนใบสั่งยาปรับร่างกายให้แก่สตรีในเรือน แม้แต่ลิ่นชิงถังที่กำลังเตรียมเรื่องการหมั้นหมายก็ไม่ได้ถูกลืม
อย่างไรเสียสตรีก็ต้องดูแลร่างกายให้ดี ในภายภาคหน้าเมื่อไปอยู่จวนของสามี ไม่ว่าจะเป็นการดูแลจัดการหรือให้กำเนิดบุตร ก็ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงจึงจะดี
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นางยังทำนายด้วยว่าสะใภ้เฝิงมีครรภ์ แม้ว่าจะยังไม่ถึงกำหนดที่สามารถตรวจพบได้ แต่นางสัมผัสได้ถึงชีพจรของการมีครรภ์ นี่เป็นเรื่องมงคล อย่างไรก็ต้องมอบอั่งเปาซองใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล
นอกจากนี้สะใภ้เฝิงที่ได้รับรางวัลใหญ่ก็ยังได้มอบไม้จันทร์แดงให้หนึ่งชิ้น แลกกับยันต์ปกป้องครรภ์หนึ่งแผ่น
คราวนี้ฉินหลิวซีไม่ปฏิเสธ รับของมาด้วยก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถม้าของตระกูลลิ่น มุ่งหน้าไปยังโรงประมูลจิ่วเสียน
นางมองดูไม้จันทร์แดงที่ห่อด้วยผ้าไหมสีแดงด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก สตรีตระกูลลิ่นรู้จักจัดการจริงๆ มอบของล้ำค่าให้เป็นรางวัลได้ขนาดนี้ ไม่เลว ไม่เลว
เมื่อเถิงเจาเห็นท่าทางเห็นแก่เงินของอาจารย์ตัวเอง ก็อดกลอกตาไม่ได้ นั่งขัดสมาธิท่องพระสูตรเต๋าอย่างเงียบๆ
ฉินหลิวซีห่อไม้จันทร์แดงใหม่อีกครั้ง ก่อนจะจิ้มหน้าของเถิงเจา
เถิงเจาหลบกงเล็บปีศาจของนาง ส่งสายตาบอกว่า ‘มีอะไรก็ว่ามา อย่ามาแตะต้อง’
“พวกเรามาถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าจะไปพบคนในครอบครัวเจ้าที่ตระกูลเถิงหรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “ท่านพ่อของเจ้าแต่งงานใหม่แล้ว”
เถิงเจาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ไป”
ฉินหลิวซีมองเขาอย่างละเอียด ไม่ได้มีท่าทางเศร้าใจ จึงกล่าวเป็นนัยๆ ว่า “ความจริงจะไปก็ได้ บางทีแม่เลี้ยงของเจ้าอาจจะให้เงินค่าขนมเจ้ามาไว้ใช้”
เถิงเจา “…”
กล่าวไปกล่าวมา ที่แท้ก็อยากได้ค่าน้ำมันตะเกียงใช่หรือไม่
“ส่งจดหมายให้เขามาหา” เถิงเจาเอ่ยอย่างเย็นชา เขาไม่ชอบไปที่จวนนั้น ผู้คนต่างก็เย็นชา ล้วนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“ก็ได้ กลับไปก็เขียนจดหมายส่งไป ท่านพ่อของเจ้าก็คงจะคิดถึงเจ้าแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย
เถิงเทียนฮั่น ‘การคิดถึงบุตรชายนั้นเป็นเรื่องสูญเสียอย่างแท้จริง รักษาถุงเงินไว้ไม่ได้เลย’
เสนาบดีลิ่นกลับมาที่จวน เมื่อรู้ว่าฉินหลิวซีจากไปแล้ว ซ้ำยังมอบเม็ดชาสมุนไพรอันล้ำค่าให้หนึ่งขวด ก็อดตัวชาไม่ได้ ไข่มุกมังกรวารีเม็ดนั้นเกรงว่าจะต้องพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อเอามันมาให้ได้จริงๆ แล้ว
“ท่านเสนาบดี ท่านว่าต้องให้หมอหลวงโอวตรวจสักหน่อยหรือไม่” ฮูหยินลิ่นยื่นขวดเม็ดชาสมุนไพรไปให้ เอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่านเจ้าอาวาสน้อย เพียงแต่ท่านแม่อายุมากแล้ว ระวังไว้จะดีกว่า”
“อืม” เสนาบดีลิ่นรับมา เปิดจุกขวดออก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาลอยออกมาทำให้คนรู้สึกสดชื่น เขารีบปิดฝาเพื่อไม่ให้ยาสูญเสียประสิทธิภาพ ก่อนจะเอ่ยกลับคำ “ไม่ต้องหรอก ข้าจะลองแทนท่านแม่ก่อนสักหนึ่งเม็ด”
ฮูหยินลิ่น “…”
นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าอิจฉาของเขา ยิ้มพลางเอ่ย “วิชาแพทย์ของท่านเจ้าอาวาสน้อยไม่ธรรมดา นางกลั่นเม็ดชาสมุนไพรนี้ด้วยตัวเอง คิดว่าต้องดีมากอย่างแน่นอน จริงสิ วันนี้สะใภ้เฝิงก็ได้รับการตรวจว่ามีครรภ์ เป็นเจ้าอาวาสน้อยผู้นี้ที่ทำนายโหงวเฮ้งให้”
“หืม?” เสนาบดีลิ่นรู้สึกดีใจขึ้นมา
ฮูหยินลิ่นเล่าเรื่องที่ฉินหลิวซีทำนายโหงวเฮ้งให้ฟัง สุดท้ายเอ่ยว่า “นางยังได้จับชีพจรด้วย ต่อมาข้าก็ได้ขอให้ซิ่วกูกับหมอเหอจากโรงหมอว่านจินถังจับชีพจร แม้ว่าจะยังตั้งครรภ์ได้ไม่นาน แต่ก็เป็นการตั้งครรภ์จริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็คงสามารถระบุได้แล้ว”
“ดี ดีมาก” เสนาบดีลิ่นดีใจเป็นอย่างมากเช่นกัน เอ่ย “ในตระกูลมีคนเยอะจึงจะครึกครื้น ฟางเอ๋อร์และคนอื่นๆ ในรุ่นนี้ก็ควรจะมีพี่น้องเพิ่มได้แล้ว”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ฮูหยินลิ่นยิ้มอย่างเห็นด้วย กล่าวเสริมว่า “ท่านเสนาบดีได้ยินเรื่องของฉังอันโหวแล้วกระมัง เห็นบอกว่าเขาส่งคนไปล้อมด้านนอกของอารามจินหัว บอกคนที่ผ่านไปมาว่าต้องการจับปีศาจเต๋าที่ทำร้ายบุตรชายของจวนโหว ไม่ให้ราษฎรเข้าไปจุดธูป และในเมืองก็ยังมีข่าวลือว่านักพรตเต๋าอารามจินหัวมีจิตใจชั่วร้าย ฝึกฝนมนต์ดำ ส่วนคุณชายน้อยของฉังอันโหวผู้นั้นก็ป่วยหนัก ถูกส่งไปที่หมู่บ้านในชั่วข้ามคืนพร้อมกับฮูหยินฉังอันโหว”
เสนาบดีลิ่นคิดถึงสิ่งที่ฉินหลิวซีกล่าวเมื่อวานนี้ ฉังอันโหวมีบุตรชายเพียงคนเดียว อดเปลือกตากระตุกไม่ได้ เอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “เจ้าอาวาสน้อยผู้นี้วิชาแพทย์ไม่แย่ ดูโหงวเฮ้งก็ไม่เลว เมื่อวานนี้กล่าวออกมาตรงๆ ว่าฉังอันโหวมีบุตรชายเพียงคนเดียว”
ฮูหยินลิ่นเป็นหญิงที่ฉลาด เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความอยากรู้
ฉังอันโหวถูกสวมเขา เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงมาก
ผู้ที่รู้เรื่องภายใน ไม่เพียงแต่ทางด้านเสนาบดีลิ่น ทุกคนในตระกูลของสยงเอ้อร์ก็ต่างพากันเอ่ยถึง
“สมน้ำหน้าตาเฒ่าที่โดนสวมเขานั่น ดูว่าเขาจะยังทะนุถนอมสตรีถ่อยที่แสร้งทำเป็นใสซื่อผู้นั้นอยู่หรือไม่ เลี้ยงบุตรชายไม่เอาไหนให้คนอื่นมาเป็นเวลาสิบปี แม้แต่บุตรชายแท้ๆ ของตัวเองก็ยังไม่รักมากขนาดนี้ ช่างน่าขันจริงๆ” ใต้เท้าสยงด่าไปหัวเราะไป ซ้ำยังโกรธอยู่เล็กน้อย จึงเอ่ยว่า “ตอนนั้นเป็นเพราะน้องหญิงหน้ามืดตามัวไปชอบคนสารเลวที่หูหนวกตาบอดเช่นนั้น จึงมีจุดจบไม่ดี…”
ขณะที่เขาเอ่ยก็เริ่มขอบตาแดง
ฮูหยินสยงก็เช็ดที่หางตาเช่นกัน กล่าวว่า “ช่างเถิดเขาก็ได้รับผลกรรมแล้ว อย่างไรเสียจากนี้ไปจวนโหวเป็นของเหลียนเอ๋อร์ก็พอแล้ว”
“ใช่แล้ว เป็นของเหลียนเอ๋อร์ทั้งหมด เจ้าอาวาสน้อยบอกว่าเขามีเหลียนเอ๋อร์เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว นี่จึงจะเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่แท้จริง เป็นบุตรที่ควรได้รับความรัก ฮูหยิน เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ ให้เจ้ารองส่งไปให้ท่านเจ้าอาวาสน้อย หากไม่ใช่เพราะนาง เกรงว่าเหลียนเอ๋อร์คงจะพลาดท่าให้กับมนต์ปีศาจของปีศาจเต๋ากับนางแพศยาผู้นั้นจริงๆ แล้ว” ใต้เท้าสยงกล่าวกำชับ
“ไม่ต้องให้ท่านบอกข้าก็ให้เจ้ารองส่งไปอยู่แล้ว” ฮูหยินสยงเขม่นตาใส่เขา
ใต้เท้าสยง “เช่นนั้นก็ไปอุ่นสุราให้ข้าหนึ่งเหยือก ให้ห้องครัวหั่นหูหมูตุ๋นแกล้มสุรา ข้าจะดื่มฉลองสักหน่อย มีความสุขมากจริงๆ”
…
อารามจินหัว
ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองดูธูปที่หักด้วยใบหน้าซีดเซียว ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าจุดธูปไปกี่ครั้งแล้ว แต่เจ้าลัทธิเต๋าก็ไม่รับสักครั้ง นี่เป็นการลงโทษเขาอยู่
เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองเจ้าลัทธิเต๋า เพียงแต่เดินออกไปนอกวิหารด้วยท่าทางหดหู่ มายังลานเต๋า
เมื่อนักพรตไท่หยางเห็นเขาก็ตะโกนเรียกทันที “ศิษย์พี่ ท่านจะมัดข้าไปถึงเมื่อไหร่ รีบปล่อยข้าเร็ว บุตรชายข้ากำลังรอให้ข้าไปช่วย”
“เจ้าจะช่วยอย่างไร” ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองเขาอย่างเย็นชา เอ่ยดุดันว่า “เจ้าได้รับผลสะท้อนกลับ ตบะของเจ้ากำลังถดถอยลง เจ้าจะช่วยอย่างไร ข้าบอกไปแล้วว่าให้เจ้าตัดใจ แล้วตั้งใจฝึกบำเพ็ญเต๋า แต่เจ้าก็ยังคงโง่งมงายไม่ได้สติ ตอนนี้ฉังอันโหวส่งคนมาเฝ้าประตูเขาแล้ว บอกว่าอารามเต๋าของพวกเราฝึกฝนวิชามนต์ดำ มีนักพรตลิทธิมาร ผู้ศรัทธาก็ไม่กล้ามา สิ่งที่สำคัญคือเจ้าลัทธิเต๋าก็ไม่รับธูปบูชาของข้า…”
เมื่อนักพรตไท่หยางเห็นสีหน้าหงุดหงิดของเขา จึงกล่าวอย่างดูหมิ่นว่า “ศิษย์พี่ ท่านบำเพ็ญถึงขั้นสร้างรากฐาน แค่ฉังอันโหวคนเดียว เพียงแค่ร่ายคาถาโชคร้ายใส่เขา เขาก็จำเป็นต้องก้มหัวให้แล้ว หากท่านพี่ไม่ยอมทำ ข้าจะเป็นคนทำสิ่งสกปรกนี่เอง”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงตกตะลึง “เจ้าทำเช่นนี้ หรือว่าคิดจะยืนยันคำกล่าวที่ว่าอารามจินหัวเป็นสถานที่ของปีศาจร้ายอย่างนั้นหรือ”
นักพรตไท่หยางสบถอย่างเย็นชา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ศิษย์พี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าบันทึกประวัติศาสตร์ล้วนเขียนโดยผู้ชนะ”
ตราบใดที่พวกเขาเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่า ใครจะสนใจว่าความจริงคืออะไร
ปรมาจารย์ไท่เฉิงรู้สึกหวั่นใจ เขาเพียงต้องการจะสานต่อความปรารถนาของท่านอาจารย์ในตอนนั้นว่าจะส่งเสริมอารามเต๋าให้ยิ่งใหญ่ด้วยกันกับศิษย์น้อง ดังนั้นจึงได้ปกป้องเขา ตอนนี้ดูแล้วเกรงว่าจะเดินหมากผิดก้าวแล้วจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอารามจินหัวต้องถูกทำลายเป็นแน่ เขาเม้มริมฝีปากแล้วตัดสินใจ