คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 545 นักต้มตุ๋นน้อยที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีมาเมืองหลวงแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 545 นักต้มตุ๋นน้อยที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีมาเมืองหลวงแล้ว

ขณะที่ฉินหลิวซีคุยงานอยู่กับบิดาของลูกศิษย์ สยงเอ้อร์กับจิ่งเสี่ยวซื่อพึ่งกลับมาถึงหน้าประตูจวนตัวเอง ก็ถูกเรียกไว้

“คุณชายสยง คุณชายจิ่ง เจ้านายของข้าขอเชิญพวกท่านทั้งสอง” ผู้ที่มาแต่งตัวเป็นองครักษ์

สยงเอ้อร์กับจิ่งเสี่ยวซื่อมองหน้ากัน ไม่คุ้นคนผู้นี้

“ไม่ทราบว่าเจ้านายของเจ้าคือ?”

องครักษ์ยกมือขึ้นคำนับ ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้านายของข้าคือรุ่ยจวิ้นอ๋อง ขอเชิญท่านทั้งสองไปดื่มสุรา”

รุ่ยจวิ้นอ๋อง?

ดวงตาของสยงเอ้อร์เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมาแล้ว เจ้านายผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นเชิญจอมเสเพลอย่างพวกเขาไปทำอะไร

แน่นอนว่าเป็นเพราะนายท่านน้อยฉินหลิวซีผู้นี้

ตอนที่ฉีเชียนได้ยินข่าวที่ดูเหมือนจะเกี่ยวกับฉินหลิวซี เขาพึ่งกลับมาจากทำงาน ได้ยินสหายร่วมงานรอบตัวเอ่ยถึงข่าวลือ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเสนาบดีลิ่นกลับเมืองมาหลังจาไปสักการะพระพุทธรูป ป่วยขึ้นมากะทันหัน ถูกคุณชายตระกูลเสนาบดีกรมกลาโหมขวางรถอยู่ที่หน้าประตูเมือง แนะนำหมอที่มีวิชาแพทย์ชั้นยอด ซ้ำยังช่วยชีวิตคนไว้ได้จริงๆ

ได้ยินมาว่าหมอผู้นั้นยังเด็กมาก บอกว่าเป็นหมอลัทธิเต๋าอะไรทำนองนั้น ซ้ำรูปร่างหน้าตางดงาม

มีคนบอกว่าสยงเอ้อร์และคนอื่นๆ กล้ามากที่ไปขวางรถจวนเสนาบดีเพื่อแนะนำหมอที่ไม่รู้ประวัติที่มา ซ้ำยังมีคนบอกว่าพวกเขาดันโชคดีได้รับไมตรีจากคนของจวนเสนาบดีจริงๆ ไม่แน่อาการป่วยของฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าอาจเป็นเพียงอาการวิงเวียนศีรษะธรรมดาทั่วไป หมอที่ไหนจะรักษาไม่ได้

ไม่ว่าจะรู้สึกทอดถอนใจหรืออิจฉา อย่างไรเสียสยงเอ้อร์และจิ่งเสี่ยวซื่อเด็กโง่ทั้งสองก็รู้จักกับหมอผู้นี้

ทันทีที่ฉีเชียนได้ยินคำว่าหมอลัทธิเต๋าก็สนใจขึ้นมา หลังจากออกจากห้องทำงานก็ส่งคนไปสืบที่จวนเสนาบดี เขาไม่ได้สืบเรื่องอาการป่วยของฮูหยินลิ่นผู้เฒ่า แต่สืบเรื่องของหมอผู้นั้น ข่าวลือนี้บอกว่าเป็นเจ้าอาวาสน้อยอารามเต๋าที่มาจากเมืองหลี

ฉีเชียนรู้ว่าอาจเป็นฉินหลิวซี แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพักอยู่ที่จวนของสยงเอ้อร์หรือที่อื่น จึงได้มาเชิญสยงเอ้อร์กับจิ่นเสี่ยวซื่อมาถามสักหน่อย

สยงเอ้อร์กับจิ่งเสี่ยวซื่อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉีเชียน ประการแรก เขาเป็นเชื้อสายราชวงศ์ที่มีฐานะสูงศักดิ์ หลานชายแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเป็นจวิ้นอ๋องตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่คอยรับใช้เสด็จย่าของเขา ตัวเองที่เป็นคนเสเพลแน่นอนว่าเข้าไปไม่ถึงแวดวงของฉีเชียน ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคย

เมื่อมาถึงห้องส่วนตัวที่ฉีเชียนจัดงานเลี้ยง ต่างฝ่ายต่างคำนับซึ่งกันและกัน มีความเงียบที่น่าอึดอัดใจ กระทั่งฉีเชียนถามอย่างตรงไปตรงมา

สยงเอ้อร์ประหลาดใจ “จวิ้นอ๋องก็รู้จักท่านเจ้าอาวาสน้อยด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“หากเป็นท่านอาจารย์ปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิง ข้าย่อมรู้จัก” ฉีเชียนพยายามระงับความตื่นเต้นในใจแล้วตอบคำถาม เขามาเมืองหลวงแล้วจริงๆ ด้วย

“รู้จักได้อย่างไร ท่านป่วยหรือว่ามีวิญญาณร้ายตามหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จิ่งเสี่ยวซื่อชนข้อศอกของสยงเอ้อร์ เจ้าโง่ รู้จักพูดจาหรือไม่

ฉีเชียนยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่ทั้งนั้น ข้าแค่ได้ยินมาว่าท่านอาจารย์ปู้ฉิวมีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงไปขอให้นางช่วยรักษาโรคให้แก่เสด็จย่าของข้า จึงได้รู้จักกัน”

“ไม่แปลกใจเลย” สยงเอ้อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เอ่ยว่า “ผู้ที่ได้รู้จักกับท่านเจ้าอาวาสน้อย บ้างก็มีโรคประหลาดซับซ้อน บ้างก็ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง บ้างก็ให้…เงินจำนวนมาก”

จิ่งเสี่ยวซื่อเหลือบมองเขา ไปๆ มาๆ เจ้าก็เข้าใจนายท่านน้อยผู้นั้นอย่างลึกซึ้งแล้ว

เมื่อฉีเชียนเห็นว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูสนิทสนม และนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาเข้าเมืองหลวงมาด้วยกัน จึงกล่าวว่า “พวกเจ้ากลับเมืองหลวงมาด้วยกัน เช่นนั้นปู้ฉิว ซึ่งก็คือท่านเจ้าอาวาสน้อยในตอนนี้ พักอยู่ที่จวนของเจ้าเป็นการชั่วคราวหรือ”

“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” สยงเอ้อร์ส่ายหน้า “เขามาเมืองหลวงด้วยธุระสำคัญ พวกเราเพียงแค่บังเอิญเจอก็เลยติดรถมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อนึกถึงถนนที่น่าสยดสยองนั่น สยงเอ้อร์ก็ตัวสั่น กลางวันแสกๆ ยังหนาวขนาดนี้

“เช่นนั้นเขาพักอยู่ที่ไหน”

สยงเอ้อร์อ้าปากแล้วก็ปิดปาก ถามด้วยความระมัดระวังว่า “จวิ้นอ๋องถามเรื่องนี้ทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ”

อย่าบอกนะว่าจะมาแก้แค้นฉินหลิวซี หากตัวเองบอกไปจะไม่เป็นการสร้างปัญหาให้นางหรือ

ฉีเชียนเห็นว่าใบหน้าของเขามีความระแวดระวัง เกาจมูกแล้วจึงเอ่ย “เขาเป็นคนรักษาเสด็จย่าของข้าจนหายดี เป็นเรื่องยากที่เขาจะมาเมืองหลวง ข้าก็ควรจะเป็นเจ้าบ้าน หากพักในโรงเตี๊ยม มีคนเยอะคงไม่สะดวกสบาย ที่จวนอ๋องยังมีเรือนรับแขกมากมายให้พักได้”

“คงจะไม่เหมาะสมกระมัง ได้ยินมาว่าจวิ้นอ๋องได้หมั้นหมายกับจวนของเว่ยกั๋วกงแล้ว ท่านเชิญนางไปพักที่จวน แม้ว่าท่านเจ้าอาวาสจะเป็นผู้ที่ออกบวชแล้ว แต่ก็เป็นนักพรตหญิง หากให้คนเอาไปนินทาจะไม่งามนะพ่ะย่ะค่ะ” สยงเอ้อร์กล่าวพลางขมวดคิ้ว

ฉีเชียนได้หมั้นหมายแล้ว การที่เขาพาฉินหลิวซีกลับมาพักที่จวนอ๋องนั้นอาจเป็นเจตนาดี แต่คนนอกไม่รู้ คิดว่าทั้งสองมีอะไรเกี่ยวข้องกัน หากเอาไปนินทาจะไม่งาม

ใบหน้าของฉีเชียนแตกร้าว คว้าแขนของสยงเอ้อร์ “เจ้าว่าอะไรนะ”

นักพรตหญิง นางเป็นนักพรตหญิง?

สยงเอ้อร์ถูกบีบจนรู้สึกเจ็บ เอ่ยว่า “ท่านปล่อยมือก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเชียนคลายมือออก ขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “ขอโทษ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าปู้ฉิวเป็นนักพรตหญิงหรือ”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ท่านไม่รู้หรือ นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร ทุกคนต่างก็รู้พ่ะย่ะค่ะ” สยงเอ้อร์ถามกลับ

เมื่อจิ่งเสี่ยวซื่อเห็นว่าฉีเชียนมีสีหน้าผิดปกติ จึงแอบสะกิดเอวของสยงเอ้อร์ อย่าพูดมาก

ฉีเชียนสับสนไปหมด เมื่อนึกถึงใบหน้าที่แยกไม่ออกว่าชายหรือหญิงก็รู้สึกขมขื่นขึ้นอย่างไร้เหตุผล

ที่แท้นางเป็นนักพรตหญิง

จิ่งเสี่ยวซื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของฉีเชียน รู้ว่าเขาคงดูไม่ออกว่าฉินหลิวซีเป็นสตรี สีหน้าในตอนนี้ราวกับสูญเสียเงินไปหลายล้านตำลึง

รุ่ยจวิ้นอ๋องผู้นี้คงไม่ได้คิดอะไรกับท่านเจ้าอาวาสน้อยหรอกกระมัง

จิ่งเสี่ยวซื่อรีบยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ยิ้มพลางเอ่ย “ได้ยินว่าจวิ้นอ๋องหมั้นหมายแล้ว ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่ากำหนดวันแต่งงานวันไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ให้กระหม่อมเตือนสักประโยค ท่านได้หมั้นหมายแล้ว ซ้ำยังเป็นสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ อย่าได้คิดเหลวไหล อย่าได้สร้างปัญหาให้ผู้อื่น

ฉีเชียนกระตุกมุมปาก กล่าวว่า “พิธีแต่งงานจะจัดขึ้นในเดือนแปด”

จิ่งเสี่ยวซื่อรู้สึกหนักใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘ช้าขนาดนี้เลยหรือ ช้าอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง’

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของฉีเชียน ในใจจิ่งเสี่ยวซื่อก็แอบระมัดระวัง อ้างว่ามีเรื่องสำคัญต้องทำ ดึงสยงเอ้อร์ลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยลา ไม่ได้บอกว่าฉินหลิวซีพักอยู่ที่ไหน

อย่างไรเสียแม้ว่าจะไม่บอก แต่ด้วยสถานะของฉีเชียน แค่สืบดูก็รู้

เมื่อสยงเอ้อร์เดินออกมาจึงเอ่ย “เจ้าทำอะไร ข้ายังไม่ได้กินสักคำสองคำเลย”

อาหารเลิศรสของหอเพียวเหมี่ยว รสชาติต้นตำรับที่แท้จริงและอร่อยมาก

“กินๆๆ กินให้โง่ไปเลย” จิ่งเสี่ยวซื่อเขกศีรษะเขา กล่าวว่า “รับผลประโยชน์จากเขาก็ต้องตอบแทนเขา หากเจ้ากิน ก็ต้องบอกที่อยู่ของท่านเจ้าอาวาสน้อยไม่ใช่หรือ”

“บอกก็ไม่เป็นไรหรอกกระมัง เขาไม่ได้จะแก้แค้นเสียหน่อย”

จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้ามืดครึ้ม กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นปัญหายิ่งกว่าการแก้แค้นเสียอีก”

หากเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ รุ่ยจวิ้นอ๋องผู้นั้นคิดอะไรกับท่านเจ้าอาวาสน้อยขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว

เขาลากสยงเอ้อร์เดินออกไป

ฉีเชียนไม่ได้รู้จากสยงเอ้อร์และจิ่งเสี่ยวซื่อว่าฉินหลิวซีอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ได้อารมณ์เสีย กำชับอิงเป่ยว่า “ให้คนไปสืบมาว่าวันนี้สยงเอ้อร์กับจิ่งเสี่ยวซื่อไปที่ไหนมาบ้าง”

อิงเป่ยเห็นว่าฉีเชียนอารมณ์ไม่ดี จึงรับคำแล้วถอยออกมา ในใจก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ท่านอาจารย์ปู้ฉิวผู้นั้นเป็นนักพรตหญิงหรือนี่

ที่ร้านสุราหรูหราแห่งหนึ่ง มีคนพูดถึงเรื่องแปลกประหลาดตอนที่จิ่งเสี่ยวซื่อและคนอื่นๆ อยู่ที่ประตูเมืองเช่นกัน มู่ซีที่แขวนยันต์และเครื่องรางป้องกันทั้งตัว ดีดตัวขึ้นมาราวกับมีอะไรดันเขาที่นั่งอยู่ขึ้นมา รีบไปหาไป่หลี่อวิ๋นที่ขึ้นชื่อเรื่องข่าวสารรวดเร็วในเมืองหลวง ตาทั้งสองข้างเป็นประกาย ถามว่า “เจ้าบอกว่าท่านหมอที่ช่วยรักษาฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าหน้าตาเป็นอย่างไรนะ”

เป็นนาง เป็นนาง ต้องเป็นนักต้มตุ๋นน้อยที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีมาเมืองหลวงแล้วแน่ๆ

“ทหาร ข้าต้องการรู้ที่อยู่ของนางภายในหนึ่งชั่วยาม” มู่ซีตะโกนใส่องครักษ์ของตัวเอง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท