คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 547 นักต้มตุ๋นผู้นี้ไม่มีจรรยาบรรณ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 547 นักต้มตุ๋นผู้นี้ไม่มีจรรยาบรรณ

Ink Stone_Romance

ฉินหลิวซีเอามือปิดจมูกแล้วถอยหลังหลายก้าว ส่วนเถิงเทียนฮั่นก็ถูกรมควันโดยไม่ทันได้ระวังจนสีหน้าซีด ท่าทางกระอักกระอ่วนจะอาเจียนอยู่หลายครั้ง

ทำไมเหม็นขนาดนี้

มีเพียงเถิงเจาที่หลังจากสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้ง ก็หยิบกระดาษสองแผ่นออกมาอุดจมูกอย่างเงียบๆ รู้สึกดีขึ้นมาก

อย่าถามว่าทำไมเขาถึงได้มีกระดาษสองแผ่น คำตอบก็คือเป็นกระดาษยันต์ที่วาดเสีย เอาเก็บไว้ในกระเป๋าแล้วลืมทิ้ง มีประโยชน์ขึ้นมาพอดี

แม้ว่าสีหน้าของใต้เท้าอันและบุตรชายจะซีดอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นฉินหลิวซีพวกเขาก็รู้สึกอายเล็กน้อย

“ท่านอาจารย์มาแล้วหรือ” เสียงที่เป็นกังวลของสตรีดังเข้ามาใกล้

ฉินหลิวซีร่ายคาถาชำระสิ่งสกปรกให้ตัวเอง สีหน้าดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว จากนั้นก็มองไปยังผู้ที่มา เป็นสตรีที่สง่างาม สวมเสื้อผ้าหรูหรา ปักปิ่นสีแดง เพียงแค่คิ้วของนางเต็มไปด้วยความกังวล แม้แต่การแต่งหน้าก็ไม่สามารถซ่อนความซีดเซียวบนใบหน้าของนางได้

“จวิ้นจู่” ใต้เท้าอันเข้าไปพยุงภรรยา กล่าวว่า “ได้ไปเชิญมาแล้ว วางใจเถิด จะต้องแก้ปัญหาแปลกๆ ของอี้เอ๋อร์ได้แน่นอน”

ฮูหยินอันมองไปยังฉินหลิวซี หรี่ตาลง “เด็กขนาดนี้เชียวหรือ”

“แม้ว่าจะอายุน้อย แต่มีความสามารถ” ใต้เท้าอันกล่าว

ฮูหยินอันระงับความวิตกกังวล เหลือบมองไปยังเถิงเทียนฮั่น ช่างเถิด หากแก้ไขไม่ได้ค่อยไปเชิญอาจารย์ที่อารามจินหัว

ฉินหลิวซีพยักหน้าให้ฮูหยินอันเป็นการคำนับแล้วเดินเข้าไปในเรือน เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพวกเขาไม่ค่อยดีนัก จึงร่ายคาถาชำระสิ่งสกปรกอีกครั้ง กลิ่นสกปรกกระจายหายไปราวกับไม่มีอยู่แล้ว ทำให้คนรู้สึกสดชื่น

ฮูหยินอันดวงตาเป็นประกาย ท่านพี่ไม่ได้หลอกนาง มีความสามารถจริงๆ นางสะบัดสามีของนางออก ก้าวไปหาพลางเอ่ย “อาจารย์ ท่านต้องช่วยบุตรชายของข้าด้วย”

ฉินหลิวซีเข้าไปในเรือน สายตามองสำรวจไปรอบๆ กล่าวว่า “วางใจเถิด ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไม่สู้ลองบอกมาว่าคุณชายน้อยอันไปที่ไหนมาบ้าง”

หลังจากได้กลิ่นเมื่อครู่นี่ นางก็พอเดาบางอย่างได้

“ข้ามีหมู่บ้านบ่อน้ำพุร้อนแห่งหนึ่งที่ปลูกต้นท้อและต้นสาลี่ ตอนนี้เป็นช่วงที่ดอกกำลังเบ่งบานเต็มที่ บุตรชายข้าจึงนัดกับสหายสนิทสองสามคนไปพักอยู่ที่หมู่บ้านสองวัน ปรากฏว่าเมื่อสามวันก่อนเขากลับมา ดูสติล่องลอยราวกับไม่ได้นอนเลย ง่วงเป็นอย่างมาก ตัวก็มีกลิ่นเหม็น” ฮูหยินอันเล่าเรื่องราวของบุตรชายคนเล็กอย่างต่อเนื่อง”

นี่ก็คือเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับอันอี้ ตั้งแต่ที่เขากลับมาจากหมู่บ้านเมื่อสามวันก่อน ร่างกายของเขาเริ่มมีกลิ่นเหม็นโดยไม่มีสาเหตุ จากนั้นก็ลามไปทั้งห้อง จนลามไปทั้งเรือน ทำเอาไม่มีใครกล้าเข้ามาในเรือนนี้ ถูกรมกลิ่นไปหมด

สิ่งที่แปลกก็คือกลิ่นเหม็นนี้ไม่ลอยออกไป ดูเหมือนแค่ปกคลุมทั่วทั้งเรือนนี้ ทำให้ทันทีที่ผลักประตูเรือนก็รู้สึกเหม็นจนทนดมไม่ได้

เพียงแค่เรื่องกลิ่นเหม็นที่ไม่มีที่มาที่ไปไม่พอ ซ้ำทั้งๆ ที่อันอี้ง่วงนอนมากแต่กลับนอนไม่หลับ หมอเคยมาตรวจดู สั่งยาผ่อนคลายให้เขา กระทั่งจุดกำยานผ่อนคลาย แต่ทันทีที่เขาหลับตาก็ถูกทำให้ตกใจจนลืมตาตื่น ราวกับมีคนไม่อนุญาตให้เขานอน แม้กระทั่งเปลี่ยนเรือนก็ไม่ได้

คนไม่กินอาหารสามารถอยู่ได้หลายวัน แต่หากไม่นอนจะอยู่ได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่ายังมีกลิ่นเหม็นที่ไม่สามารถปกปิดได้ด้วยเครื่องหอมกลิ่นเข้มข้น ทำให้ยิ่งกินอาหารได้ยากขึ้น

เวลาผ่านไปเพียงสามวัน รูปลักษณ์ของอันอี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป ทั้งครอบครัววิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ฮูหยินอันรู้สึกว่าบุตรชายของนางกำลังเจอกับวิญญาณร้าย แต่ก็ไม่กล้าไปหาอาจารย์นักพรตเต๋าอะไรเหล่านั้นมาดูอย่างเปิดเผย ทำได้เพียงแอบส่งคนไปที่อารามจินหัว ใครจะไปรู้ว่าอารามจินหัวก็เกิดเรื่องจนปิดอาราม

เถิงเทียนฮั่นก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้ยินจากปากใต้เท้าอัน และเมื่อตระกูลอันกังวลเกี่ยวกับสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับอันอี้ ฉินหลิวซีก็มาเมืองหลวง จึงได้เป็นเส้นสายแนะนำมาให้

ดังนั้นมันช่างบังเอิญจริงๆ

“เจ้าอาวาสน้อย ท่านว่าเรือนนี้เต็มไปด้วยพลังงานโชคร้าย เป็นปัญหาอะไรหรือ” อันฮ่าวประคองมารดาที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจจากสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับบุตรชายคนเล็กด้วยตัวเองพลางเอ่ยถามฉินหลิวซี

“ไปเจอคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

กลุ่มคนเดินเข้าไปในห้อง ในเรือนนี้มีกลิ่นเหม็นเกินไป จึงมีคนรับใช้อยู่ที่นี่ไม่มาก มีเพียงบ่าวรับใช้ของอันอี้กับสาวใช้อีกสองคน ตอนนี้บ่าวรับใช้เฝ้าอยู่ที่ห้องนอน

ฉินหลิวซีเดินเข้าไปข้างใน สายตามองไปรอบๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน

ทันทีที่เดินเข้าไป นางก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างผอมเพรียวจนผิดรูปลักษณ์ มีรอยคล้ำขนาดใหญ่ใต้ตาสองข้าง นั่งเหม่อลอยอยู่ที่หัวเตียง บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็พึมพำกับตัวเอง ราวกับเป็นโรคประสาทหลอน ที่ข้างเตียงมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งเฝ้าอยู่โดยเอาผ้าปิดหน้าไว้

ข้างในห้องราวกับโถส้วม เหม็นจนทนดมไม่ได้ นอกจากนี้ในห้องก็ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้จันทน์และอื่นๆ ซึ่งทำให้กลิ่นยิ่งแปลกขึ้นไปอีก

สีหน้าของหลายคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง อดกระอักกระอ่วนไม่ได้

บ่าวรับใช้คำนับเจ้านายทั้งหลายด้วยท่าทางเฉื่อยชา จากนั้นก็ถอยไปอยู่ด้านข้าง เขาไม่กล้าบอกว่าสูญเสียการรับกลิ่นไปแล้ว

ฉินหลิวซียืนเอามือไขว้หลัง จ้องไปที่ชายหนุ่ม กล่าวให้ถูกก็คือกำลังจ้องมองไปยังวัตถุที่อยู่เหนือศีรษะที่กำลังแยกเคี้ยวขู่นาง

เพียงพอน

เพียงพอนที่กลายเป็นปีศาจกำลังหมอบอยู่บนศีรษะของอันอี้ อุ้งเท้าทั้งสองข้างดึงเปลือกตาของเขาไว้ไม่ให้เขานอนหลับ กลิ่นเหม็นมาจากบนตัวมันที่ปล่อยออกมา ซ้ำมันยังกระซิบคำพูดร้ายกาจในหูของอันอี้เป็นครั้งคราว

เมื่อเห็นมีคนมา ปีศาจเพียงพอนก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งรู้สึกว่ามีสายตาที่ผิดปกติมองมา เมื่อมองดูจึงได้รู้ว่าดวงตาของฉินหลิวซีจ้องมาที่ตัวเอง

นางมองเห็นตนได้

“เจ้าก็คือนักต้มตุ๋นที่คนตระกูลนี้เชิญมาหรือ”

หวงต้าเซียนตกใจ แต่ก็ผ่อนคลายในทันที เพียงแค่ชายหนุ่มที่มีตาทิพย์ จะไปทำอะไรได้

ฉินหลิวซีมองสำรวจปีศาจเพียงพอนตัวนี้ ทันใดนั้นก็เอ่ยปากถามว่า “คนโชคร้ายผู้นี้ไปทำอะไรให้เจ้า เจ้าจึงได้ทำกับเขาเช่นนี้”

ทุกคน “?”

พวกเขามองไปตามสายตาของฉินหลิวซี ก็ไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง หรือว่าในห้องนี้ยังมีสิ่งอื่นอยู่ด้วย

ใต้เท้าอันและคนอื่นๆ สามคนอดยืนเบียดกันไม่ได้ ตัวสั่นเทา

เจ้าเด็กไม่รักดีผู้นี้ไปนำวิญญาณชั่วร้ายกลับมาจริงๆ หรือ

เถิงเทียนฮั่นถามบุตรชายอย่างเบาๆ “เจ้ามองเห็นหรือไม่”

เถิงเจาใช้มือร่ายคาถา ท่องคาถาเปิดดวงตาสวรรค์ สองนิ้ววาดผ่านดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง หรี่ตามองไป ใบหน้าไร้ความรู้สึก

เมื่อเถิงเทียนฮั่นเห็นท่าทางนี้ก็รู้สึกใจชา เด็กคนนี้ได้เรียนรู้จริงๆ ดูท่าทางที่แม่นยำนี่สิ

เขากลั้นความโศกเศร้า ถามอย่างสงสัยว่า “มันคืออะไร”

“เพียงพอน”

“หา”

ทุกคนอุทาน อะไรนะ เพียงพอนหรือ

เพียงพอนตัวนั้นคำราม ตะโกนว่า “เพียงพอนอะไรกัน ข้าคือหวงต้าเซียน!”

“หวงต้าเซียนก็คือเพียงพอนไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “รีบเก็บกลิ่นเหม็นๆ ของเจ้าเดี๋ยวนี้ เหม็นจะตายอยู่แล้ว”

นางร่ายคาถาชำระสิ่งสกปรกอีกครั้ง ถูกรมด้วยกลิ่นนี้ทำเอานางเวียนหัว

“ไม่ ข้าจะให้เขาเหม็นตาย เขากล้าด่าว่าข้าเหม็น ซ้ำยังทำให้ข้าไม่ได้รับเลื่อนขั้น ข้าจะทำให้เขาตาย” หวงต้าเซียนแยกเขี้ยว ปล่อยกลิ่นเหม็นออกมาอีก

ฉินหลิวซีโมโห คิดจะต่อต้านนางหรือ

นางพุ่งเข้าไปคว้ามัน

หวงต้าเซียนกระโดดจากศีรษะของอันอี้ เอ่ยอย่างดูถูกว่า “เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้า คิดจะจับเซียนอย่างข้า ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว เฮือก…”

มันก้มมองยันต์แผ่นหนึ่งที่ติดอยู่ที่เท้า คิดจะใช้เท้าสะบัดออก แต่ยันแผ่นนั้นกลับลุกไหม้ขึ้นมา ประกายไฟลอยไปติดตามขนยาวๆ ของมัน

“อ๊ากกก” หวงต้าเซียนกระโดดโลดเต้นไปมา ตบตีบนตัว กรีดร้องโหยหวน “เจ้านักต้มตุ๋นไม่มีจรรยาบรรณ มีที่ไหนไม่กล่าวอะไรสักคำก็จุดไฟเผาแล้ว ขาดคุณธรรมเกินไปแล้ว รีบดับไฟให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท