คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 551 เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 551 เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว

ขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า หวงต้าเซียนซึ่งควรเรียกว่าหวงจิ่วได้นำผู้อาวุโสทั้งสองท่านมาปรากฏตัวต่อหน้าฉินหลิวซีและคนอื่นๆ อีกครั้ง

เมื่อฮูหยินอันและคนอื่นๆ เห็นเพียงพอนทั้งสามตัว ก็ยังคงตื่นตระหนกเล็กน้อย โดยเฉพาะสองตัวในนั้นที่ได้แสดงการแปลงร่างเป็นคนต่อหน้าพวกเขา จึงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจยิ่งกว่าเดิม

อะไรคือการขอเลื่อนขั้น พวกเขาได้ฟังมาจากฉินหลิวซีแล้ว หากขอเลื่อนขั้นสำเร็จก็จะสามารถแปลงกายได้ ฟังดูค่อนข้างลึกลับ แต่ฉากที่เพียงพอนกลายร่างเป็นคนได้เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาจริงๆ ทำเอาตกใจจนก้าวถอยหลัง

“ปีศาจ” ฮูหยินอันตกใจจนตาเหลือกเป็นลมไป

“ท่านแม่” อันฮ่าวรีบพยุงนาง หันไปมองฉินหลิวซีอย่างช่วยไม่ได้ ท่านดูเอาเองเถิด

ฉินหลิวซีให้เถิงเจาเอาน้ำมันสมุนไพรมาทาใต้จมูกนาง ฮูหยินอันค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เมื่อความทรงจำกลับมาแล้ว ก็อุทานด้วยความตกใจอีกครั้ง “ฮ่าวเอ๋อร์ ข้าเห็นปีศาจกลายร่างเป็นคน มันน่ากลัวมาก”

หวงจิ่วทนฟังไม่ได้อีกต่อไป เอ่ย “ปีศาจอะไรกัน พวกเราคือหวงเซียน อย่างมากก็นับว่าเป็นสิ่งวิเศษ”

เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย ความคิดทั้งหมดของฮูหยินอันก็ฟื้นคืนมา ดึงบุตรชายคนโตมาบังไว้ตรงหน้า โผล่ศีรษะออกมาครึ่งหนึ่งมองดูทั้งสองที่แต่งกายเป็น ‘คน’ วัยกลางคน

เป็นคนที่ทั้งกลัว ทั้งอ่อนหัด ทั้งอยากรู้อยากเห็นตามแบบฉบับ

อันฮ่าวที่ถูกมารดาของตัวเองดึงมาเป็นโล่กำบังไม่กล้ากล่าวอะไรสักคำ อย่างไรเสียก็เป็นแม่แท้ๆ เพียงแต่มีสีหน้าหมดปัญญา พยายามสงบสติอารมณ์

ใบหน้าของใต้เท้าอันสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย

เถิงเทียนฮั่นเหลือบมองมือที่บีบข้อมือของตัวเองอยู่อย่างเงียบๆ คิดในใจว่า ‘สงบนิ่งอะไรกัน ปล่อยมือของท่านออกก่อนแล้วค่อยมาพูด’

แต่ปู่ทวดหวงเซียนและคนอื่นๆ กลับจ้องมองไปยังฉินหลิวซีด้วยดวงตาสดใส ยิ้มหน้าบาน ก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางประจบประแจง โค้งคำนับ “นายท่าน ท่านมาเมื่อหลวงตั้งแต่เมื่อใด ไยจึงไม่บอกกันสักหน่อย ดูสิ ทำเอาเจ้าเด็กไม่เอาไหนของพวกเราผู้นี้ไปล่วงเกินท่านเข้า ทำเอาเข้าใจผิดไปกันใหญ่ คนกันเองแท้ๆ แต่กลับไม่รู้จักกัน”

เขาเอ่ยพลางเตะหวงจิ่ว “ยังไม่รีบคุกเข่าโขกศีรษะขอโทษนายท่านอีก”

หวงจิ่ว “?”

เดี๋ยวนะ ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าล้วนเป็นผู้ที่ถูกรังแกไม่ใช่หรือ ข้ายังไม่ทันได้ร่ายคาถาอะไรเลย เขาก็เสกยันต์สกัดจุดมา ชนิดที่สกัดจุดจนขยับไปไหนไม่ได้จริงๆ ซ้ำยังเสกยันต์บ้าบออะไรมาอีกก็ไม่รู้ ทำเอาขนสีเหลืองทองอันงดงามที่ข้าภาคภูมิใจไหม้จนโล้นไปหมดแล้ว

และที่สำคัญที่สุดก็คือเขายังหลอกให้ข้ามาเป็นเซียนปกป้องจวนของตระกูลอันด้วย

ดังนั้นท่านปู่ทวด ข้าสิที่เป็นผู้ถูกกระทำ ข้าต่างหากที่เป็นคนของเผ่าท่าน ทำไมท่านไม่รักจิ่วเอ๋อร์เลย ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่าข้าเป็นเพียงพอนที่มีพรสวรรค์ที่สุดในเผ่าของเรามาตลอดไม่ใช่หรือ

เมื่อย่าทวดหวงเซียนเห็นว่าเจ้าเด็กโชคร้ายผู้นี้ไม่ขยับเขยื้อน และเห็นว่าสีหน้าของฉินหลิวซีไม่แน่นอน จึงรีบกดเขาหมอบลงทันที “เจ้าเด็กโง่ โขกศีรษะให้นายท่านเดี๋ยวนี้”

หวงจิ่วผู้น่าสงสารถูกบังคับกระแทกพื้นไปหลายครั้ง หัวสมองเริ่มมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย “…”

ย่าทวด ท่านใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัวเช่นนี้จะสูญเสียจิ่วเอ๋อร์ไปรู้หรือไม่

ทุกคนที่เห็นฉากนี้ล้วนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ราวกับว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ

ฉินหลิวซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหลือบมองหวงเซียนทั้งสองตน กล่าวว่า “พวกเรารู้จักกันหรือ”

ปู่ทวดหวงเซียนยิ้มพลางเอ่ย “สัตว์ประหลาดตัวน้อยอย่างพวกเราจะกล้าก่อปัญหาต่อหน้าท่านได้อย่างไร ท่านไม่เคยเห็นพวกเรามาก่อน แต่พวกเราเคยเห็นท่านมาก่อน”

นั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ดูเหมือนจะสามหรือสี่ปี ตอนนั้นนายท่านน้อยผู้นี้ยังไม่ได้ทำพิธีปักปิ่น[1] ยังคงเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาและมีจิตใจดี (ต่อมาได้พิสูจน์แล้วว่าคิดผิด)

ครั้งนั้นพวกเขาได้เห็นกับตาว่ามีฮุยเซียน[2]ตนหนึ่งที่ฝึกบำเพ็ญมาเป็นเวลาสามร้อยปีได้ไปล่วงเกินท่านนี้เข้า ซ้ำยังพยายามจะดูดกลืนวิญญาณของนางเพื่อให้การฝึกบำเพ็ญก้าวหน้า แต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี

การเอาคืนครั้งนั้นเป็นการใช้เชือกมัดแล้วทุบตี ฉินหลิวซีไม่ได้ฆ่าอย่างทารุณกรรมวิปริต เพียงแต่ลงมือทุบตีอย่างรุนแรงจนตาย วิญญาณของฮุยเซียนตนนั้นถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยไฟนรก ตามที่นางกล่าว ฮุยเซียนตนนั้นฆ่าผู้บริสุทธิ์มานับไม่ถ้วน ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของเขาไม่ถึงร้อยก็เกือบร้อย มีบาปเต็มตัว มีเพียงไฟนรกเท่านั้นที่สามารถกำจัดได้

ไฟนั่นน่ากลัวมาก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่บนตัวของพวกเขา เพียงแต่มองดูแสงไฟจากระยะไกลก็ยังรู้สึกจิตวิญญาณไม่มั่นคงและสั่นสะท้าน

ตอนนั้นพวกเขาหลบอยู่ด้านหลังหลุมศพแล้วแอบมอง ตกใจกลัวจนอยากจะมุดเข้าไปในหลุมศพเก่านั่น โดยเฉพาะตอนที่นางเหลือบมองมาทางพวกเขา ฉี่ราดไปหมดแล้ว

โชคดีที่นางไม่ได้ฆ่าตามอำเภอใจ เมื่อฆ่าฮุยเซียนตนนั้นแล้วนางก็จากไป แต่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่นและมีความทรงจำที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก ต่อมาก็ได้มีการร่วมมือกับร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ เมื่อรู้ถึงความสัมพันธ์ของนางกับเฟิงซิว ทั้งยังเป็นเจ้านายในนามผู้อยู่เบื้องหลังร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ก็เลยถือว่าบุคคลผู้นี้เป็นนายท่านที่ไม่ควรล่วงเกิน กระทั่งแขวนรูปเหมือนไว้ สุดท้ายเจ้าเด็กผู้โชคร้ายหวงจิ่วก็ไปล่วงเกินเข้าจนได้

เมื่อฉินหลิวซีได้ยินพวกเขาพูดถึงฮุยเซียน ก็เลิกคิ้ว “ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้าที่หลบอยู่หลังหลุมศพนั่นแล้วแอบดู”

ปู่ทวดหวงเซียนยิ้มอย่างลำบากใจ เอ่ย “เผ่าหวงเซียนของพวกเรายังได้ร่วมมือกับนายท่านซิวอีกด้วย อยากมาคำนับท่านมาโดยตลอด แต่ก็อายจนไม่กล้าแบกหน้ามา”

“หืม ก่อนหน้านี้ได้ยินเขาบอกว่าหนึ่งในแหล่งวัตถุดิบยาที่ได้ร่วมมือด้วยนั้นคือทางด้านหวงเซียนอย่างพวกเจ้า ก็คือพวกเจ้าเองหรือ” เพียงพอนสามารถค้นหาสมบัติในใต้หล้าได้ วัตถุดิบยาของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะก็มีผู้จัดหามากมาย อย่างเช่นตระกูลของพวกมัน

ใช่แล้ว เนื่องจากสามารถกลายร่างเป็นคนเดินไปมาในทางโลกได้ พวกมันย่อมต้องใช้ชีวิตเหมือนคน เรียนรู้สิ่งเดียวกันกับคน เรียกว่ากระตือรือร้นที่จะเป็นคน

“เป็นพวกเราเอง” หวงต้าเซียนยื่นกล่องทั้งสามใบให้ “ตอนที่เจอท่านครั้งแรก ในมือไม่ได้มีของดีอะไร ในนี้มีสมุนไพรเหอโส่วอูอายุห้าร้อยปี อีกกล่องหนึ่งเป็นผลหลิงกั่วจากภูเขาลึก และอีกกล่องหนึ่งมีไข่มุกทองคำ ขอนายท่านอย่างได้ถือสาหวงจิ่ว อภัยให้เขาด้วยเถิด”

“อย่างที่เจ้ากล่าว เป็นการเข้าใจผิดครั้งใหญ่ คนกันเองแท้ๆ แต่ไม่รู้จักกัน เหตุใดต้องเกรงใจเช่นนี้ ข้าก็ไม่ใช่นักต้มตุ๋นใจแคบเช่นนั้น”

ทุกคน ‘เหอะๆ มือของเจ้าไม่ต้องจริงใจขนาดนั้นก็ได้ พวกเราเชื่อเจ้าก็โง่แล้ว’

ฉินหลิวซีเปิดกล่องออก กลิ่นหอมสดชื่นของผลไม้ก็พุ่งออกมา ทำให้คนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า น้ำลายไหล

แม้แต่คนตระกูลอันที่เห็นของดีจนคุ้นชินแล้ว ก็ยังอดอยากจะชะโงกหน้าไปดูไม่ได้ว่าคือผลไม้อะไรจึงได้ล่อตาล่อใจเช่นนี้

ฉินหลิวซีบิดขึ้นมาหนึ่งผลอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนเข้าปาก จากนั้นก็ยัดอีกหนึ่งผลเข้าไปในปากของเถิงเจา กล่าวว่า “สิ่งของของหวงเซียนล้วนเป็นของดี เจ้ายังเด็ก ร่างกายอ่อนแอ บำรุงสักหน่อย”

ดวงตาเถิงเจามีรอยยิ้มเล็กน้อย กัดเบาๆ ความหวานสดชื่นของน้ำผลไม้ไหลเข้าไปในลำคอแล้วลงไปสู่กระเพาะ ทำให้แขนขาและกระดูกของเขารู้สึกอบอุ่น

เถิงเทียนฮั่นกลืนน้ำลาย เอ่ยถามเบาๆ ว่า “เจาเอ๋อร์ รสชาติเป็นอย่างไรหรือ”

ใต้เท้าอันและคนอื่นๆ แสร้งทำเป็นเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ ความจริงแล้วพวกเขาก็อ่อนแอ ถูกทำให้ตกใจจนร่างกายอ่อนแอ

เมื่อปู่ทวดหวงเซียนเห็นว่าฉินหลิวซีป้อนให้แค่เถิงเจาเท่านั้น จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านนี้คือ?”

“ศิษย์คนโตของข้า นามเต๋าเสวียนอี” ฉินหลิวซีเอ่ย

เถิงเทียนฮั่นกล่าวเสริมตามสัญชาตญาณ “แล้วก็เป็นบุตรชายคนโตของข้า นามว่าเถิงเจา ฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิว”

ใต้เท้าอันเหลือบมองเขา ‘เหอะๆ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้จะตอบสนองไวขนาดนี้ นี่ไม่ได้เป็นการเสนอหน้าต่อหน้าหวงเซียนทั้งสองหรอกหรือ’

[1] พิธีปักปิ่น จัดขึ้นสำหรับเด็กสาวที่อายุเกิน 15 ปีที่โตเป็นสาวเต็มตัวและพร้อมที่จะเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน

[2] ฮุยเซียน หนู

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท