ตอนที่ 552 นักต้มตุ๋นผู้นี้ไม่ได้เย็นชามากนัก
เมื่อได้รู้ว่าเถิงเจาเป็นลูกศิษย์คนโตของฉินหลิวซี ปู่ทวดหวงเซียนและคนอื่นๆ ไหวพริบดีเป็นอย่างมาก มอบผลหลิงกั่วจากภูเขาลึกกล่องเล็กให้อีกหนึ่งกล่อง ซ้ำยังให้ขนอีกสองกระจุก
ผลหลิงกั่วจากภูเขาลึกยังพอเข้าใจได้ แต่ขนนี้หมายความว่าอย่างไร
“พวกเขาล้วนบรรลุถึงขั้นแปลงกายได้แล้ว เรียกได้ว่ามีตบะ ขนทั้งสองกระจุกนี้สามารถนำมาทำเป็นยันต์แคล้วคลาดได้ เมื่อตกอยู่ในอันตรายก็เผามันเป็นการบอกเหตุ พวกเขาจะรับรู้และมาช่วย”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “เทียบกับเครื่องรางที่อาจารย์ให้เจ้าไม่ได้ แต่สามารถใช้เป็นธนูบอกเหตุได้”
ทุกคนแทบจะล้มลง ขนของหวงเซียนสามารถปกป้องให้แคล้วคลาดได้ แต่เจ้าใช้มันเป็นลูกธนูบอกเหตุ?
ลองคิดดูขณะที่เถิงเจาต่อสู้อาคมอยู่กับคนหรือผี หากสู้ไม่ได้ก็เผาขนหวงเซียน เพียงพอนนับหมื่นพันตัวก็จะมาหา?
ฉากนั้นร้อนแรงมาก!
ปู่ทวดหวงเซียนและคนอื่นๆ รู้สึกอายเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ย “ใช่แล้ว เทียบไม่ได้กับเครื่องรางที่นายท่านหล่อหลอมด้วยตัวเอง ถือเสียว่าเป็นยันต์คุ้มภัยก็แล้วกัน”
ฉินหลิวซีมีอารมณ์ฉุนเฉียว ถือหางคนใกล้ชิด เอาใจลูกศิษย์คนโตผู้นี้ก็เหมือนกับเป็นการเอาใจนาง จริงสิ จากนี้ไปในห้องโถงเตือนใจจะเพิ่มภาพเหมือนบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินอีกหนึ่งภาพ ก็คือเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้ หากไปล่วงเกินเขาขึ้นมาจะถูกเขาเรียกอาจารย์มาสมทบ
ปู่ทวดหวงเซียนสลักรูปลักษณ์ของเถิงเจาไว้ในหัว วางแผนที่จะวาดภาพเหมือนทันทีที่กลับไป เพื่อเตือนเด็กๆ ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวในเผ่าอีกครั้ง
หวงจิ่วแกล้งทำเป็นนอนตายอยู่บนพื้น
เขาไม่ใช่จิ่วเอ๋อร์คนโปรดของท่านปู่ทวดอีกต่อไป
ไม่มีใครรักแล้ว
“ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มตั้งโถงเซียนกันเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ยกับปู่ทวดหวงเซียนและคนอื่นๆ ว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตระกูลอันก็ไม่ได้เชิญพระภิกษุหรือนักพรตเต๋ามา เรื่องการตั้งป้ายโถงนี้คงต้องให้ข้าทำแทนแล้ว คงไม่รังเกียจหรอกกระมัง”
ย่าทวดหวงเซียนปรบมือพลางร้องอุทาน กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “ท่านเต็มใจเขียนป้ายตั้งในโถงนี้ นับว่าเป็นวาสนาของเด็กคนนี้ที่เก้าชาติก็หาไม่ได้ เป็นสิ่งที่พวกเราอยากจะขอก็ขอไม่ได้ จะรังเกียจได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว ท่านถ่อมตนแล้ว ในด้านลัทธิเต๋า ข้าว่าไม่มีปรมาจารย์ท่านใดที่เทียบท่านได้” ปู่ทวดหวงเซียนกล่าวเอาอกเอาใจ
กลุ่มคนทำพิธีเขียนป้ายโถงอยู่ที่ห้องใต้หลังคา
การจะเชิญเซียนปกป้องจวน ต้องเชิญเซียนประตูประจำจวนก่อน ป้ายโถงไม่สามารถเขียนชื่อบุคคลได้ หวงจิ่วอยู่อันดับเก้า ฉินหลิวซีจึงเขียนเพียงท่านหวงเซียนที่เก้าเป็นชื่อเท่านั้น
นางเขียนชื่อบนผ้าสีเหลืองขนาดหนึ่งฉื่อ[1]ด้วยตัวอักษรข่าย[2] จากนั้นก็เขียนโครงสั้นไว้ทั้งสองข้าง ‘เงินทองข้าวของเต็มคลัง ปกป้องคนแคล้วคลาดปลอดภัย’
หลังจากนั้นนางก็นำป้ายโถงแปะไว้ที่ด้านในตู้เพื่อตั้งโถง ถวายเครื่องบูชาและธูป จากนั้นก็ท่องคาถาลัทธิเต๋าเพิ่มความมั่งคั่งและโชคลาภ ขณะที่ท่องคาถา นางยังก้าวตามตำแหน่งของดวงดาวอีกด้วย
“ถ่ายทอดจิตสำนึกของเจ้าลงไปเถิด” ฉินหลิวซีชี้แนะหวงจิ่ว
ขณะที่ฉินหลิวซีเขียนป้ายโถง หวงจิ่วก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาได้เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้แล้ว แต่ก็ไม่กล้ากล่าวอะไร ถ่ายทอดจิตสำนึกลงไปในโถงเซียน
ทันทีที่ถ่ายทอดจิตสำนึก มันก็รู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในเรื่องของบุญกรรมกับทั้งตระกูลอันในทันที
สูดกลิ่นหอมเข้าไป มันรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย มันได้กลายเป็นเซียนปกป้องจวนของตระกูลอันแล้วจริงๆ
ฉินหลิวซีได้ทำพิธีอย่างเรียบง่ายสำเร็จแล้ว กล่าวว่า “เสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็บูชาอย่างที่ข้าบอกพวกท่านไปก่อนหน้านี้” หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวเตือนอีกว่า “แต่พวกท่านห้ามบอกให้คนนอกรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ได้พบได้เห็นในวันนี้ แม้ว่าจะบูชาเซียนปกป้องจวนแล้ว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดให้ผู้อื่นฟัง”
“ทำไมหรือ” ใต้เท้าอันเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขาแล้วจึงเอ่ย “ใต้เท้า ท่านก็เป็นถึงขุนนางใหญ่ขั้นสาม เป็นปัญญาชนที่แท้จริง หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป พวกท่านอยากจะเป็นผู้นำพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอำนาจลี้ลับหรือ”
แค่กๆๆ
ใต้เท้าอันและคนอื่นๆ ที่เป็นขุนนางต่างเอามือปิดจมูกไอสองสามที
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ควรกล่าว รู้ดีอยู่แก่ใจก็พอแล้ว
“อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์ทุกคนจะคิดว่าบรรดาเซียนประจำจวนที่แปลงกายได้นั้นเป็นพรจากสวรรค์ ทุกสรรพสิ่งมีจิตวิญญาณ พวกเขาจะคิดว่าพวกมันอันตราย สามารถทำร้ายคนได้” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “หากพวกท่านเผยแพร่สิ่งนี้ออกไป ปรมาจารย์เหล่านั้นที่เชื่ออย่างสุดใจว่าผู้ที่ไม่ใช่คนเผ่าเราย่อมมีความคิดที่แตกต่าง ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร มีปรมาจารย์บางท่าน เมื่อเลวขึ้นมาก็จะใช้ข้ออ้างปราบสิ่งชั่วร้ายมาจับกุมพวกมันไปหล่อหลอมเครื่องรางพลังหยินที่โหดร้าย”
ปู่ทวดหวงเซียนและคนอื่นๆ มองฉินหลิวซีด้วยความยำเกรง ในใจรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก นางดุก็จริง แต่เวลาดีนางก็ดีจริงๆ นี่เป็นการคิดเพื่อพวกมัน
ดั่งที่นางกล่าว ใช่ว่าจะไม่มีปรมาจารย์เหล่านั้นที่จับพวกมันที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณเหล่านี้ไปหล่อหลอมเครื่องรางตามความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของตนเองนั้น ดังนั้นแม้ว่าพวกมันจะกลายร่างเป็นคนใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่ก็ไม่กล้าทำเรื่องเอิกเกริก เพราะกลัวว่าจะดึงดูดปรมาจารย์ที่มีการฝึกบำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงมา ก่อให้เกิดปัญหากับตัวเองหรือแม้แต่เผ่าของตัวเอง
หวงจิ่วก็เหลือบมองฉินหลิวซี ในใจคิดว่านักพรตผู้นี้ไม่ได้เย็นชาขนาดนั้น
“ดังนั้นเพื่อตัวพวกท่านเองก็ดี เพื่อพวกมันก็ดี อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ก็ควรชั่งใจดูสักหน่อย” ฉินหลิวซีกล่าว
ใต้เท้าอันรีบเอ่ย “พวกเรารู้ขอบเขตดี”
เขาเหลือบมองฮูหยินอันอีกครั้ง นางพยักหน้าเล็กน้อย เรื่องในวันนี้จะปิดปากบ่าวรับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ต้องเปลี่ยนจากสัญญาซื้อขายทาสชั่วคราวเป็นตลอดชีวิต
ก่อนหน้านี้ผีสางนางไม้ที่พวกเขารู้จักเหล่านั้นมีอยู่แต่ในตำนานและบันทึกเถื่อนเท่านั้น สิ่งที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าที่สุดก็คือการที่ไปวัดเพื่อสักการะบูชาพุทธะและได้สัมผัสกับพระภิกษุที่มีชื่อเสียงในวันปกติทั่วไป
แต่สิ่งที่ฉินหลิวซีทำในวันนี้ ทำให้พวกเขารู้ว่าในโลกนี้มีสิ่งที่มีอำนาจลี้ลับอยู่ ไม่ควรล่วงเกินหรือทำให้ขุ่นเคือง เพื่อไม่ให้ต้องตายโดยไม่รู้สาเหตุ
ฉินหลิวซีไม่กล่าวอะไรอีก เมื่อตั้งโถงเซียนแล้วก็ถอยออกไป
พิธีเสร็จสิ้น จากนี้ไปท่านหวงเซียนที่เก้าก็กลายเป็นเซียนปกป้องจวนตระกูลอันแล้ว
เมื่อปู่ทวดหวงเซียนและคนอื่นๆ เห็นว่าพิธีเสร็จสิ้นแล้ว และได้รู้ว่าเฟิงซิวก็อยู่ในเมือง จึงได้ขอตัวจากไป ซ้ำยังพาหวงจิ่วไปคำนับด้วยกัน เพื่อไม่ให้เด็กคนนี้ไปล่วงเกินผิดคนอีก
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านหวงเซียนไปแล้วจะกลับมาอยู่หรือไม่” อันฮ่าวถามอย่างลังเล
ฉินหลิวซียิ้ม “จิตสำนึกของมันอยู่ที่โถงเซียน ต่อให้ไม่กลับมาก็จะปกป้องจวนของพวกเจ้าให้แคล้วคลาดปลอดภัย มันเป็นเซียนประจำจวนแล้ว แต่ก็ยังต้องฝึกบำเพ็ญเพื่อรอพรครั้งถัดไป พวกท่านไม่จำเป็นต้องคิดว่ามันจะปรากฏตัวเมื่อไรหรือที่ใด หากมีเรื่องอะไร มันย่อมมาเตือนพวกท่านเอง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ใต้เท้าอันยิ้มพลางลูบเครา เอ่ย “ตอนนี้เรื่องเสร็จสิ้น รบกวนเจ้าอาวาสน้อยแล้ว ได้เวลาอาหารเย็นพอดี เพื่อเห็นแก่หน้าข้าเจ้าอาวาสน้อยดื่มสักแก้วได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีย่อมไม่มีอะไรต้องปฏิเสธ
เถิงเทียนฮั่นมาอยู่ข้างเถิงเจา กล่าวราวกับไม่ได้ตั้งใจว่า “เจาเอ๋อร์ พ่อเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายุมากแล้วหรือไม่ ช่วงนี้ทำอะไรก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรงดั่งใจ เฮ้อ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก พ่อยังทนได้ ไม่ได้จะขอสมบัติล้ำค่าใดๆ จากเจ้า”
“อ้อ”
ดวงตาที่กระตือรือร้นและลุกเป็นไฟของเถิงเทียนฮั่นดับไป แค่นี้เองหรือ
เถิงเจาเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของเขาจึงเปิดกล่องที่ตัวเองได้รับมาจากปู่ทวดหวงเซียนอย่างเงียบๆ แล้วหยิบถุงเงินออกมา นับออกมาสองผล ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาจากข้างหน้าของใต้เท้าอัน คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วนับออกมาอีกสองผล ใส่ลงไปในถุงเงิน ยื่นให้เถิงเทียนฮั่น “นี่เป็นการแสดงความกตัญญูของข้า หนึ่งผลให้อาจารย์ตู้ มากกว่านี้ก็ไม่มีแล้ว พวกนี้ต้องเก็บไว้ให้ท่านอาจารย์ข้า อาจารย์ปู่ แล้วก็ยังมีศิษย์น้องแล้วก็ท่านอาจารย์อาของข้า…”
เดิมทีเถิงเทียนฮั่นรู้สึกประทับใจมาก แต่เมื่อมีชื่อออกมาจากปากของบุตรชายมากขึ้นเรื่อยๆ แสงในดวงตาของเขาก็ค่อยๆ หายไป…
[1] 1 ฉื่อ ประมาณ 33.3 เซนติเมตร
[2] ตัวอักษรข่าย เป็นอักษรจีนมาตรฐานที่ใช้ในปัจจุบัน มีต้นกําเนิดในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก