คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 560 รังแกคนตายที่พูดไม่ได้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 560 รังแกคนตายที่พูดไม่ได้

เมื่อปรมาจารย์ไท่เฉิงกับฉังชวนปั๋วเผชิญหน้ากัน ในที่สุดก็รู้ว่าความขัดแย้งที่มีมาตลอดนั่นเป็นเพราะเหตุใด เห็นได้ชัดว่าตัวเองถูกคนอื่นใช้เป็นเบี้ย เพียงเพราะเห็นบาปกรรมบนตัวของฉังชวนปั๋วที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แล้วรวมกับลานเล็กที่เต็มไปด้วยพลังหยินแห่งนี้ก็ตรงกันแล้ว

นักพรตลามกผู้นี้คงจะเป็นคนที่ฉังชวนปั๋วเชิญมาหรือให้การสนับสนุน ช่วยเขาจัดการบาปกรรมบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าไปทำอะไรจึงได้ถูกคนจับจ้อง และตัวเองก็ถูกล่อลวงมาที่นี่

สีหน้าของปรมาจารย์ไท่เฉิงยังคงสงบ แต่กลับคำรามอยู่ในใจ เป็นคนขาดคุณธรรมใจดำอำมหิตที่ไหนมาหลอกเขา

แล้วตัวเองก็ดันกระโดดลงไปในหลุมขนาดใหญ่นี้

รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ดี แต่ปรมาจารย์ไท่เฉิงกลับไม่รีบร้อน เพียงใช้กระบี่ชี้ไปยังนักพรตซวีกง เหลือบมองฉังชวนปั๋ว ซักถามว่า “ข้าคือปรมาจารย์ไท่เฉิงแห่งอารามจินหัว ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอย่างไร อารามจินหัวของข้าติดตามตรวจสอบนักพรตมารผู้นี้มาตลอด ทำร้ายดวงวิญญาณบริสุทธิ์นับไม่ถ้วน คืนนี้ได้ให้ผีแอบเข้ามาสอดแนมทำเรื่องไม่ดีในอารามข้า ถูกข้าไล่ตามมาสังหารที่นี่ แล้วท่านคือใคร”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงท่าทางชอบธรรมและน่าเกรงขาม ไม่มีความรู้สึกผิดที่ฆ่าคนเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีแววตาขุ่นเคืองที่บ่งบอกว่านักพรตมารและข้าไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ และสายตาที่มองไปยังฉังชวนปั๋วก็แฝงไว้ด้วยความสงสัย ทำให้คนตกตะลึง

ใช่แล้ว ข้ากำลังรังแกคนตายที่พูดไม่ได้ เขาก็คือนักพรตมารอย่างแน่แท้ และข้าก็เป็นเจ้าอาวาสฝ่ายคุณธรรมที่ปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋า ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นปรมาจารย์ที่ฝึกบำเพ็ญถึงขั้นสร้างรากฐานแล้ว ข้าสังหารนักพรตมารที่ทำชั่ว ไม่มีอะไรที่ผิด

ฉังชวนปั๋วคิดในใจ ‘หากไม่ใช่เพราะข้ารู้จักนักพรตไร้ประโยชน์ผู้นี้ ข้าเกือบจะเชื่อแล้ว’

อีกฝ่ายได้สร้างเวทีละครขึ้นมาแล้ว หากไม่แสดงจะแพ้เอาได้

ฉังชวนปั๋วแสดงสีหน้าตกใจ และยกมือขึ้นคำนับพลางกล่าวในเวลาที่เหมาะสมว่า “ท่านเจ้าอาวาสอุตส่าห์มาด้วยตัวเอง ข้าคนแซ่เฉิงเสียงมารยาทแล้ว ท่านบอกว่านักพรตผู้นี้คือนักพรตมารที่พวกท่านตามสืบสวนหรือ หรือว่านี่คือนักพรตไท่หยางอารามของท่าน แต่เขาเรียกตัวเองว่านักพรตซวีกง”

ปรมาจารย์ไท่เฉิง “!”

ต่ำช้า นี่เป็นการตำหนิตัวเองหรือว่าตั้งใจเอ่ยเสียดสีอารามจินหัวของพวกเขากันแน่

บรรดาผู้สูงศักดิ์ในเมืองล้วนเจ้าเล่ห์เพทุบายกันหมดเลยหรือ

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ยด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “หากเป็นศิษย์ทรยศของอารามข้า ได้ทำสิ่งเลวร้ายมากมายที่เป็นอันตรายต่อใต้หล้าสมควรถูกฟ้าผ่า ได้ถูกถอนการฝึกบำเพ็ญและไล่ออกจากสำนักไปนานแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

ฉังชวนปั๋วหัวเราะในใจ แต่ใบหน้ากลับมีความชื่นชมเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสยึดมั่นในความชอบธรรมจริงๆ หรือว่านักพรตไท่หยางถูกอารามท่านลบชื่อออกไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

ความโกรธในใจของปรมาจารย์ไท่เฉิงเพิ่มพูนขึ้น กล่าวว่า “ท่านยังไม่ตอบเลยว่าคนผู้นี้มาอยู่จวนท่านได้อย่างไร ท่านกับเขามีความสัมพันธ์กันอย่างไร”

ฉังชวนปั๋วเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่น กล่าวว่า “จะมีความสัมพันธ์อะไรได้ เขาเพียงแค่มาจวนข้าเพื่อขอความเมตตา บอกว่าจวนข้ามีวิญญาณร้ายก่อความวุ่นวาย มีพลังหยินวนเวียนอยู่ คนในจวนจึงป่วยง่าย ข้าลองคิดดูก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงได้เชิญเขามา จัดให้อยู่ที่ลานเล็กแห่งนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นนักพรตมารจริงๆ ตั้งแต่นักพรตประหลาดผู้นี้เข้ามาในจวนก็แทบจะไม่ออกไปไหน เอาแต่ทำลับๆ ล่อๆ อะไรบางอย่าง ที่แท้ก็หลบซ่อนตัวจากท่านอยู่หรือ บอกตามตรง แม้ว่าจวนฉังชวนปั๋วของพวกเราจะไม่สู้ขุนนางท่านอื่น แต่เรื่องทำการกุศลแจกข้าวก็เสียเงินเพียงไม่กี่ตำลึง ก็เลยปล่อยเขาทำตามอำเภอใจ”

เขาเอ่ยกึ่งจริงกึ่งเท็จ ปรมาจารย์ไท่เฉิงคิดในใจว่า ‘หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าบนตัวเจ้าเต็มไปด้วยบาปกรรม ข้าก็คงเชื่อเจ้าไปแล้ว’

“ที่แท้ท่านก็คือฉังชวนปั๋ว” ปรมาจารย์ไท่เฉิงยกมือขึ้นคำนับ ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าอยากรู้ว่าคนผู้นี้กำลังทำเรื่องชั่วร้ายอะไรอยู่ ไม่ทราบว่าฉังชวนปั๋วจะช่วยอำนวยความสะดวกได้หรือไม่”

ฉังชวนปั๋วรีบกล่าวว่า “ท่านยินดีที่จะปราบสิ่งชั่วร้ายเพื่อคืนความสงบสุขให้กับจวนฉังชวนปั๋วของข้า นั่นถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง เพียงแต่หลังจากที่คนผู้นี้เข้ามาในจวน ก็อยู่ที่ลานเล็กนี้มาตลอด ข้ามีหน้าที่ราชการต้องทำ ไม่เคยได้เจอเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาทำอะไรบ้าง”

นักพรตซวีกง ‘พากันรังแกคนตายที่พูดไม่ได้อย่างนั้นหรือ แต่ละคนพากันโยนความผิดมาที่ข้าหมด’

ปรมาจารย์ไท่เฉิงสบถ เดินเข้าไปในห้องเล็ก ไม่ได้เห็นใบหน้าที่หุบยิ้มกลายเป็นบูดบึ้งของฉังชวนปั๋วที่อยู่ข้างหลังเขา

เมื่อเข้ามาในห้อง เขาก็รีบสวมกางเกงซับในที่ผูกไว้ที่เอวทันที จากนั้นก็ใช้เชือกมัดให้แน่น มองไปรอบๆ จนกระทั่งเห็นส่วนที่ยุ่งเหยิงในห้องชำระ

ที่นี่ยุ่งเหยิงไปหมด ราวกับถูกอะไรระเบิดใส่ มีคราบเลือด มีเศษเสื้อผ้า นักพรตซวีกงคงถูกลอบทำร้ายที่นี่กระมัง

โจรน่ารังเกียจที่ไร้ยางอาย

ปรมาจารย์ไท่เฉิงกัดฟัน สิ่งที่เขาโกรธมากที่สุดคือตัวเองไม่เพียงแต่ถูกลอบวางแผน ซ้ำยังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง นี่จึงจะเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง

เขาเข้าไปในทางลับ เห็นพลังหยินอันแข็งแกร่งและกลิ่นเลือดยังคงหลงเหลืออยู่ สายตาแฝงไว้ด้วยความรังเกียจ บุกเข้าไปในห้องลับแห่งนั้น ฉังชวนปั๋วราวกับถูกตบหน้าจนบวม

ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นของมีค่าใดๆ จึงได้ถอยออกมา คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วร่ายคาถาบังตาไว้

หลังจากเดินออกมาจากห้องเล็ก ฉังชวนปั๋วก็เข้าไปหา ถามว่า “ไม่ทราบว่าข้างในมีอะไรบ้าง ปกติพวกเราก็ไม่ได้เข้าใกล้บริเวณนี้ กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินท่านอาจารย์ จึงเพียงแต่ส่งอาหารไปที่หน้าประตูเรือนก็เท่านั้น”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าวว่า “ก็เพียงแค่นักพรตกระจอกผู้หนึ่ง ไม่นับว่าเป็นอาจารย์ ข้างในไม่มีอะไร มีเพียงของเก่าบางอย่าง พวกเจ้าแค่เผามันทิ้งไปให้หมดก็พอแล้ว”

“แล้วเขาล่ะ” ฉังชวนปั๋วชี้ไปยังนักพรตซวีกงที่เสียชีวิตแล้ว

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “ทำร้ายคนมานับไม่ถ้วน ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย เอาไปทิ้งที่หลุมศพหมู่เถิด”

ฉังชวนปั๋วยิ้มเยาะอยู่ในใจ นี่หรือที่เรียกว่าฝ่ายคุณธรรม ไม่คิดจะขุดหลุมฝังศพให้ด้วยซ้ำ แค่เอาไปโยนไว้ที่หลุมศพหมู่

เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “เดิมทีที่ข้าเชิญเขามาเพราะคนผู้นี้บอกว่าจวนฉังชวนปั๋วของข้ามีพลังหยินรุนแรง ตอนนี้เขาตายด้วยกระบี่ของท่าน ปัญหาในจวนของข้ากลับยังไม่ได้แก้ไข ท่านว่าทำอย่างไรดี”

อยากให้ข้าลงมือ เจ้าก็ต้องให้ผลประโยชน์แก่ข้า!

เส้นเลือดดำบนหน้าผากของปรมาจารย์ไท่เฉิงกระตุก ต้องการให้เขาทำงานโดยเปล่าประโยชน์หรือเก็บกวาดความยุ่งเหยิงนี้?

“หากท่านสามารถนำความสงบสุขมาสู่จวนฉังชวนปั๋วของข้าได้ ชื่อเสียงเรื่องการไล่วิญญาณชั่วร้ายปกป้องเต๋านี้ ข้าจะให้คนช่วยอารามของท่านเผยแพร่ออกไปอย่างแน่นอน” ฉังชวนปั๋วเอ่ยพลางชี้ไปยังนักพรตซวีกง

ดวงตาปรมาจารย์ไท่เฉิงเป็นประกายเล็กน้อย มองไปรอบๆ พลางเอ่ย “ช่างเถิด เดิมทีลานนี้ก็ถูกเขาวางค่ายอาคมรวบรวมหยินไว้ ข้าจะแก้ไขให้ จากนั้นก็ทำพิธี พลังหยินก็จะสลายไป ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ยังต้องส่งคนไปนำสิ่งของบางอย่างมาจากอาราม ข้าเองก็พึ่งต่อสู้อาคมไป ยังต้องพักฟื้นสักหน่อย”

“เช่นนั้นไม่สู้ท่านพักอยู่ที่จวนก่อน หลังจากฟ้าสางแล้วค่อยทำพิธี” ฉังชวนปั๋วกล่าว

“ได้ โปรดนำทางด้วย” ปรมาจารย์ไท่เฉิงเชิดหน้ายืดอก

ฉังชวนปั๋วให้บ่าวรับใช้พาเขาไปที่เรือนรับรองแขก เมื่อเห็นปรมาจารย์ไท่เฉิงแสร้งทำเป็นเซียนผู้สูงส่งจึงแสยะยิ้ม หากไม่ใช่เพราะขาทั้งสองข้างใต้เสื้อคลุมเต๋านั้นเปลือยเปล่า ก็พอมีความเป็นเซียนผู้สูงส่งอยู่บ้าง น่าเสียดายที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยทำให้ภาพลักษณ์เสียหาย

“ท่านปั๋ว ต้องไว้หน้าเขาขนาดนี้เลยหรือ” ผู้ดูแลคนสนิทเข้ามาใกล้แล้วกระซิบเสียงเบา

ฉังชวนปั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “แล้วจะให้ทำอย่างไร ปล่อยให้เขาทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ จนเรื่องในจวนเผยแพร่ออกไปให้คนอื่นรู้กันหมดหรือ ให้ฝ่าบาทรู้ว่าข้าเล่นวิชามารกับนักพรตมารหรือ”

ผู้ดูแลคนสนิทรีบขอโทษ

ฉังชวนปั๋วเอ่ยว่า “ไม่มีซวีกงแล้ว แต่ได้ปรมาจารย์ไท่เฉิงมาก็ไม่ขาดทุน เอาใจสักหน่อย ไม่แน่อาจใช้ประโยชน์จากเขาได้”

เมื่อผู้ดูแลนึกขึ้นได้ว่า ‘ใช้ประโยชน์’ นั้นหมายถึงเรื่องใดก็อดตัวสั่นไม่ได้ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก

ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีตุ๊กตากระดาษตัวน้อยลอยลงไปตามกำแพงลานแล้ววิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท