คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 563 นักต้มตุ๋นผู้นี้เย่อหยิ่งกว่าข้าเสียอีก

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 563 นักต้มตุ๋นผู้นี้เย่อหยิ่งกว่าข้าเสียอีก

ฉินหลิวซีไม่ได้สนใจว่าไต้หรงจะไปไหน แต่ได้ทิ้งร่องรอยกระแสจิตไว้บนตัวนางตอนที่นางไม่ทันได้สังเกต จากนั้นก็เรียกหญิงสาวผู้มีบุญออกมา

“เจ้าเป็นใคร อาศัยอยู่ที่ไหน จำได้หรือไม่”

หญิงสาวผู้มีบุญใบหน้ากลม อายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี ดวงตากลม ทั้งตัวดูอวบอิ่ม แต่เมื่อฉินหลิวซีเอ่ยถาม นางเพียงแค่กะพริบตา ไม่ได้เอ่ยอะไรเลย ดูท่าทางโง่งมเล็กน้อย

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว มีความคิดผุดขึ้นมา จ้องมองอย่างละเอียด และพบว่าดวงวิญญาณของสตรีผู้นี้ไม่สมบูรณ์ คนเรามีสามจิตเจ็ดวิญญาณ แต่นางกลับขาดไปหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ

ทันใดนั้นฉินหลิวซีก็รู้สึกปวดหัวและรู้สึกถึงปัญหา ถอนหายใจพลางเอ่ย “หายไปหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ แต่ดวงวิญญาณนี้ยังคงบริสุทธิ์และมีชีวิตชีวา ซ้ำยังมีแสงสีทองแห่งบุญกุศลที่หนาขนาดนี้ เจ้าเป็นคนดีมาแล้วกี่ชาติ”

นางนำหญิงสาวผู้มีบุญกลับเข้าไปในขวดหล่อเลี้ยงวิญญาณอีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยพาเถิงเจาไปด้วย นางจะไปดูขบวนแห่จ้วงหยวน[1]

ทันทีที่อาจารย์และลูกศิษย์ออกไป ก็ถูกคนขวางไว้

“ในที่สุดก็ดักเจ้าไว้จนได้ นักต้มตุ๋นน้อยอย่างเจ้าปล่อยให้ข้ารอตั้งนาน”

มู่ซีสวมชุดสีแดง ดวงตาสีดำกลมโตทั้งสองข้างจับจ้องพลางพุ่งเข้าไปหาฉินหลิวซี มองนางด้วยอาการคร่ำครวญ

ฉินหลิวซีถอยหลังสองก้าว มองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เหตุใดจอมอันธพาลน้อยจึงมาอยู่ที่นี่

“เจ้าอย่าบอกว่าไม่รู้จักข้า ยังไม่ทันถึงครึ่งปีเลย” มู่ซีร้องโวยวายเสียงดัง

ฉินหลิวซีแคะหู “ได้ยินแล้ว เจ้าลดเสียงลงหน่อยก็ได้ ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่”

“แน่นอนว่ามารอเจ้าอย่างไรล่ะ เจ้านักต้มตุ๋นใจร้าย มาเมืองหลวงทำไมไม่มาหาข้า” มู่ซีไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ทำไมข้าต้องไปหาเจ้า พวกเราไม่ได้สนิทกันสักหน่อย” บ้าไปแล้ว

มู่ซีโกรธ “!”

มีตั้งกี่คนที่อยากจะเกี่ยวข้องกับข้า แต่เจ้ากลับบอกว่าไม่สนิท?

ฉินหลิวซีไม่ได้สนใจแววตาเจ็บปวดของเขา เดินทางขวาไปตามถนน ดูขบวนแห่จ้วงหยวนแล้ว นางยังต้องฝังเข็มให้ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าอีกหนึ่งครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเสนาบดีลิ่นจะนำไข่มุกมังกรวารีกลับมาให้นางได้หรือไม่ มิเช่นนั้นนางคงจะต้องใช้อวี้เสวี่ยจีสองสามขวดนั่นจริงๆ แล้ว

เมื่อมู่ซีเห็นว่านางกำลังจะไปก็ร้อนใจขึ้นมาทันที ขวางนางไว้ “เจ้าจะไปไหน”

“อย่ามาขวางทาง หากพลาดขบวนแห่จ้วงหยวนไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” ได้ยินมาว่ารุ่นนี้มีบัณฑิตจิ้นซื่ออายุน้อยจำนวนมาก นางต้องไปชมความสง่างามของบัณฑิตจิ้นซื่อเหล่านี้สักหน่อย

เมื่อมู่ซีได้ฟังดังนั้นจึงเอ่ย “เจ้าจะไปดูที่ไหน วันนี้กรมการสอบจะประกาศผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง ซึ่งเส้นทางเดินขบวนแห่นี้ หอสุราและร้านอาหารเหล่านั้นล้วนถูกคนจองไว้ตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว ไหนเลยจะยังมีตำแหน่งที่ดีให้เจ้าอยู่”

ฉินหลิวซี “อ้อ” ไยต้องเสียเงินเพื่อจองที่ เงินหามาง่ายนักหรือ

มู่ซีกล่าวอีกว่า “แต่ข้านั้นไม่เหมือนเจ้า ตำแหน่งที่ดีที่สุดในใจกลางเมืองคือทรัพย์สินของตระกูลข้า เป็นห้องส่วนตัวอันหรูหรา มีแต่ห้องใหญ่ๆ”

ดังนั้น รีบขอร้องข้าเร็วเข้า ข้าสามารถพาเจ้าไปโบยบินได้

“เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถิด” ฉินหลิวซีโบกมือแล้วเดินไปข้างหน้า

มู่ซีสับสนเล็กน้อย ไล่ตามไปพลางเอ่ย “ต้องการดูขบวนแห่ไม่ใช่หรือ ไม่ต้องการที่หรือ”

“ก็แค่พื้นที่ มีเยอะแยะจะตายไป” นางจนมาก ไม่มีเงินจะไปจองห้องส่วนตัวหรูหราอะไรเหล่านั้นได้

มู่ซี “?”

ครึ่งชั่วยามต่อมา

มู่ซีนั่งยองๆ บนหลังคาด้วยขาที่อ่อนแรงมองดูฉินหลิวซีที่อยู่ข้างๆ ตำแหน่งนี้ดี แต่ก็ง่ายที่จะตกลงไปแหลกเป็นชิ้นๆ

“จริงๆ แล้วไปที่ห้องส่วนตัวของตระกูลข้าก็ได้ มีของว่างและอาหาร ซ้ำยังใกล้ รับรองได้ว่าเจ้าได้เห็นอย่างชัดเจน” มู่ซีเอ่ยอย่างลำบาก พวกเราไม่จำเป็นต้องมากินลมอยู่ตรงนี้นะ

ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “อายุยังน้อยก็เป็นโรคตาเสียแล้ว น่าสงสารจริงๆ”

มู่ซี “…”

เขาอดทน

นี่อาจเป็นจอมมารเพียงผู้เดียวในโลกที่เย่อหยิ่งกว่าเขา

ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน สถานที่ที่นางเลือก ทิวทัศน์มีเอกลักษณ์ สามารถมองเห็นทิศทางของเมืองหลวง ซ้ำยังมองเห็นรูปแบบของบ้านเรือนที่ทอดยาวไปตามผังของเมืองหลวง

ขณะนี้เป็นเวลาต้นยามเฉิน[2]แล้ว ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น แสงยามเช้าอันนุ่มนวลตกกระทบลงบนหลังคาวัง เปล่งแสงสีทองสุกใส จากนั้นก็เริ่มมีแสงสีม่วงทองส่องประกายอยู่เหนือวัง งดงามตระการตา

พลังมังกรเปรียบดั่งสายรุ้ง ลอยอยู่เหนือวังจางๆ บ่งบอกถึงโชคลาภของราชวงศ์ต้าเฟิง

ฉินหลิวซีดึงเถิงเจาที่กำลังนั่งขัดสมาธิบนหลังคา ทำการเคลื่อนย้ายจุลจักรวาลขึ้นมา ให้เขาเปิดดวงตาสวรรค์มองดูพลังงาน และได้เอ่ยถึงเกี่ยวกับรูปแบบฮวงจุ้ยของเมืองหลวง

เมื่อฟังอาจารย์และศิษย์คู่นี้ถามตอบกัน มู่ซีก็มึนงงไปหมด ที่แท้การดูขบวนแห่จ้วงหยวนจากที่สูงนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ การสอนจึงจะเป็นสิ่งสำคัญ เป็นจอมเสเพลอย่างเขาที่คิดน้อยไป

มู่ซีถูกจู่โจมจนรู้สึกเหมือนลูกสุนัขที่รู้สึกหดหู่ใจ นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น น่าสงสารเป็นอย่างมาก

องครักษ์ที่จ้องมาทางนี้อย่างตาไม่กะพริบจากที่ไม่ไกล เมื่อเห็นภาพนี้เข้าก็รู้สึกว่าซื่อจื่อน้อยของเขาน่าสงสารมากอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับกำลังเลียบาดแผลให้ตนเอง ทนมองไม่ได้

ทันใดนั้นก็มีเสียงฆ้องดังขึ้น มีความเคลื่อนไหวมาจากในวังหลวง

“มาแล้ว” ฉินหลิวซีย่อตัวลงนั่งอีกครั้ง หยิบถุงเมล็ดแตงออกมาจากอ้อมแขน

มู่ซีเหลือบมอง ในใจคิดว่า ‘เจ้าเตรียมพร้อมมาดีจริงๆ แต่ข้าเตรียมพร้อมมาดีกว่า’ เขาตะโกนขึ้นมา “เฉวียนเซิ่ง”

องครักษ์ตอบรับในทันที เขย่งปลายเท้าเดินมาอย่างรวดเร็ว

ในใจเขาก็รู้สึกพังทลาย ดูขบวนแห่ก็ดูขบวนแห่สิ เหตุใดต้องมานั่งยองๆ บนหลังคาด้วย

ฉินหลิวซีหันมามอง มู่ซีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “หากจะดูขบวนแห่ เอาแต่ดูไม่รู้จักคนจะไปมีความหมายอะไร บัณฑิตจิ้นซื่อรุ่นนี้ เฉวียนเซิ่งได้ข้อมูลมาหมดแล้ว อีกสักครู่ให้เขาอธิบายให้ฟัง”

เมื่อฉินหลิวซีได้ยินดังนั้น ในที่สุดก็แสดงสายตาชื่นชมเขา เจ้าเด็กน้อยทำได้ดีมาก

มู่ซีเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ

เฉวียนเซิ่งมองไปทางอื่นอย่างเงียบๆ ตอนนี้นายน้อยราวกับสุนัขที่กำลังประจบเจ้านาย เหลือเพียงแค่ไม่ได้ยื่นศีรษะไปให้เขาลูบ

เสียงฆ้องและเสียงกลองดังขึ้น แม้แต่ฉินหลิวซีที่อยู่ไกลออกไปก็ยังได้ยินเสียงไชโยโห่ร้อง และเสียงตะโกนเล็กแหลมของสตรี

มู่ซีไม่ได้สนใจนัก บรรยากาศเช่นนี้เกิดขึ้นทุกๆ สามปี เมื่อมีการสอบเสริมก็จะได้เห็นอีกครั้ง ไม่เห็นมีอะไรน่าดู อย่างมากก็แค่ดูว่าใครคือจ้วงหยวน และหนุ่มรูปงามคนใดที่ได้แต่งตั้งให้เป็นทั่นฮวา[3]

แต่ฉินหลิวซีอยากดู เขาก็เลยมา

“มาแล้ว มาแล้วขอรับ” เฉวียนเซิ่งมองเห็นบุรุษที่สอบได้อันดับหนึ่ง เริ่มเอ่ยว่า “จ้วงหยวนของปีนี้คือเว่ยเซิ่ง ผู้มีความสามารถจากเจียงหนาน นามเล่นว่าหมิงอวี่ มาจากครอบครัวที่ยากจน ปีนี้อายุยี่สิบสองปี ท่านอาจารย์ของเขาคือบัณฑิตถัง จริงสิ เว่ยจ้วงหยวนผู้นี้หมั้นหมายกับหลานสาวภรรยาเอกของบัณฑิตถังแล้ว จะแต่งงานในวันพรุ่งนี้ขอรับ”

ฉินหลิวซีจ้องมองไปยังเว่ยจ้วงหยวนผู้นั้น รอบตัวมีพลังสีทองอันเป็นมงคล รูปหน้าสี่เหลี่ยมแต่ยังหล่อเหลาและสง่างาม ดาวเหวินฉวี่[4]เคลื่อนย้ายสู่ตำแหน่งการงาน มีอนาคตสดใส

“อันดับที่สองเป็นผู้ที่มาจากเมืองจิ้นในซานซี ว่ากันว่าเขาสอบราชสำนักมาแล้วสิบหกครั้ง ปีนี้อายุหกสิบปีแล้ว คาดว่าคงจะไม่เป็นขุนนางแล้วขอรับ” เฉวียนเซิ่งเอ่ยอีกว่า “ทั่นฮวาเป็นคนในเมืองหลวงของพวกเรา มาจากตระกูลบัณฑิตเมิ่ง หรือเมิ่งก่วงอวี้ที่รู้จักในนามอวี้หลังแซ่เมิ่ง อันดับสี่คือเจียงเหวินหลิวตระกูลเจียง อันดับห้าคือคุณชายเหวินยวนจวนฉังชวนปั๋ว คนผู้นี้มีชื่อเสียงในฐานะผู้ที่มีคุณธรรม เชี่ยวชาญในด้านการวาดภาพสตรี โดยเฉพาะบนเครื่องลายครามยิ่งเป็นที่เลื่องลือ…”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว มองไปยังเฉิงเหวินยวน ยกริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างเย็นชา มีบาปหนาจริงๆ ด้วย อยู่ไกลขนาดนี้ยังได้กลิ่นวิญญาณที่เน่าเหม็น นางหันศีรษะเล็กน้อย สายตาเพ่งความสนใจ

ไต้หรงลอยอยู่ท่ามกลางฝูงชนจริงๆ ด้วย ราวกับรู้สึกถึงสายตาของฉินหลิวซี จึงเงยหน้าขึ้นมามอง

[1] จ้วงหยวน ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง

[2] ยามเฉิน เวลาเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า

[4] ดาวเหวินฉวี่ คือ ชื่อของดวงดาวอันดับที่สี่ในกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ (กลุ่มดาวจระเข้) เชื่อว่าเป็นดวงดาวแห่งการศึกษา สติปัญญา ศาสตร์ต่างๆ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท