คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 565 เจ้าเด็กคนนี้บ้าหรือไม่

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 565 เจ้าเด็กคนนี้บ้าหรือไม่

ฉินหลิวซียอมออกเดินทางไปตรวจ ทำให้ลิ่นชิงอิงผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง คิดว่าเมื่อกลับจากบ้านมารดาไปแล้วจะส่งจดหมายหาสหายสนิทสมัยยังเยาว์ ไม่ว่าจะรักษาได้หรือไม่ ลองดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไรนี่นา

เมื่อจบเรื่องแล้ว ฉินหลิวซีนึกถึงหญิงสาวที่ตนเก็บเอาไว้ในขวดหยก หยิบกระดาษและพู่กันออกมา วาดภาพเหมือนหนึ่งภาพก่อนจะยื่นให้พวกฮูหยินลิ่น “ไม่รู้ทั้งสองท่านรู้หรือไม่ว่าแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนของตระกูลใด”

ฮูหยินลิ่นรับมาดูชั่วครู่ ไม่รู้สึกคุ้นตาแต่อย่างใด จึงส่ายศีรษะ

ลิ่นชิงอินรับภาพวาดไป เอียงศีรษะครุ่นคิด เอ่ยบอก “เอ๋ นี่ดูเหมือนจะเป็นแม่นางจากจวนถงจี้จิ่ว[1]สำนักศึกษากั๋วจื่อเจียน”

ฮูหยินลิ่นประหลาดใจ “บ้านถงจี้จิ่วหรือ”

“สามปีก่อนข้าเคยเจอหนึ่งครั้ง แต่ไม่ได้พูดคุยกัน ตอนนั้นอยู่ในงานเลี้ยงงานหนึ่ง เด็กคนนี้ก็ไปด้วย” ลิ่นชิงอิงเอ่ย “แต่ได้ยินว่า แม่นางตระกูลถงจี้จิ่วผู้นี้สติปัญญาไม่สติปัญญาไม่ค่อยดีนัก”

ฮูหยินลิ่นเองก็เคยได้ยินมาก่อน เอ่ยกับฉินหลิวซี “เป็นเช่นนั้น ถงจี้จิ่วมีบุตรสาวผู้หนึ่ง สติปัญญา…เหมือนว่าตอนเด็กจะเคยมีไข้สูง ทำให้สติปัญญาไม่ดี เจ้าอาวาสน้อยท่านตามหานางทำไมหรือ”

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจอแม่นางน้อยหลงทางโดยบังเอิญ ถามนางว่ามาจากบ้านใด กลับไม่รู้ จึงได้มาถามกับพวกท่าน”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

ฮูหยินลิ่นเอ่ย “แต่ไม่เคยได้ยินว่าจวนถงจี้จิ่วมีเด็กหายไปนี่นา”

ฉินหลิวซียิ้มไม่เอ่ยว่าจา

ฮูหยินลิ่นก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดมาก โดยทั่วไปแล้วหากมีหญิงสาวหายไป ตระกูลใดต่างก็ไม่แพร่งพรายออกไป เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง ดังนั้นหากนางจะไม่เคยได้ยินก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก

ฉินหลิวซีเอ่ย “ขอฮูหยินนำรถไปส่งข้าที่จวนถงจี้จิ่วด้วยเถิด”

ฮูหยินลิ่นยังไม่ทันเอ่ย ลิ่นชิงอิงพลันเอ่ยขึ้น “หากเจ้าอาวาสน้อยไม่รังเกียจ มิสู้นั่งรถไปกับข้าดีหรือไม่ บ้านสามีข้าอยู่ห่างจากจวนถงจี้จิ่วไม่ไกลนัก”

ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านช่วยนำทางได้ แต่ข้าแต่งกายเช่นนี้ คงไม่ดีนักหากนั่งรถคันเดียวกันกับท่าน นั่งคนละคันจะดีกว่า”

ลิ่นชิงอิงชะงัก มองตามการแต่งกายของฉินหลิวซี แต่งกายเป็นนักพรตไม่ผิด แต่หากคนไม่รู้ ผู้ใดบ้างที่จะมองออกว่านางเป็นนักพรตหญิงเล่า

หากให้คนเห็นว่านางนั่งรถม้าคันเดียวกันกับนักพรตหนุ่ม ไม่แน่อาจมีข่าวลือไม่น่าฟังออกไป วาจาทำร้ายคน ฉินหลิวซีทำเพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายเพราะความเข้าใจผิด

ลิ่นชิงอิงและฮูหยินลิ่นพึงพอใจต่อความใส่ใจนี้ เอ่ย “เช่นนั้นก็ส่งรถไปอีกหนึ่งคัน ข้าจะไปส่งท่าน”

ฉินหลิวซีไม่ปฏิเสธ

ออกจากจวนเสนาบดี ฉินหลิวซีก็ให้รถตรงดิ่งไปยังตระกูลถง ลิ่นชิงอินประหลาดใจเล็กน้อย เจอกับแม่นางน้อยหลงทางมิใช่หรือ ไม่ต้องไปรับคนหรือ

ความสงสัยนี้ของลิ่นชิงอินเก็บมาจนถึงจวนถงจี้จิ่ว ในขณะที่รอบ่าวรับใช้ไปรายงาน ในที่สุดนางก็เอ่ยถามฉินหลิวซีอย่างอดไม่ได้

ฉินหลิวซีตบขวดหยกข้างเอว “อยู่ที่นี่”

ลิ่นชิงอิงมองของของนาง ใบหน้างามสง่าและใจกว้างนั้นแตกระแหงเล็กน้อย เด็กคนนี้บ้าหรือไม่

เพียงแต่ประสบการณ์ของนางที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นผู้ดูแลเรือนมาหลายปี ยังคงทำให้นางรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้ มุมปากยกยิ้ม ไม่เอ่ยสิ่งใด

ทันใดนั้นนางพลันนึกถึงตัวตนของฉินหลิวซีขึ้นมา ความสามารถทางการแพทย์ของนาง เป็นหนึ่งในวิชาของลัทธิเต๋า และนางก็คงไม่ได้รู้เพียงวิชาการแพทย์กระมัง อย่างไรนางก็เป็นนักพรตเต๋าผู้หนึ่ง

เช่นนั้นที่นางบอกว่าอยู่ในขวดนั่น หรือว่าคือ

ลิ่นชิงอิงมองขวดหยกทรงน้ำเต้ามันวาวทั้งยังถูกสลักอักษรคาถาซับซ้อนขวดนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป

หรือว่าแม่นางตระกูลถงผู้นี้ไม่อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ

ตระกูลถงรับข่าวการมาเยือนของลิ่นชิงอิงเองก็มึนงง แม้ลิ่นชิงอิงจะเกิดในเชื้อสายรอง แต่ก็เป็นบุตรีคนโตของเสนาบดีลิ่น ได้รับการอบรมสั่งสอนจากมารดาเชื้อสายหลัก มารยาทการอบรมสั่งสอนล้วนไม่เลว ฐานะไม่นับว่าสูงส่งมากนัก แต่เมื่อพิจารณาจากตระกูลลิ่นแล้ว ถือว่าได้รับความสำคัญ นับว่าเป็นสตรีจากตระกูลสูงศักดิ์

โดยเฉพาะเสนาบดีลิ่นบิดาของนาง มีเขาลูกใหญ่เป็นที่พักพิงเช่นนี้ นางได้แต่งออกไปกับบุตรชายคนโตเชื้อสายหลักของขุนนางกรมการปกครองไปนานแล้ว พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรชายสองคนบุตรสาวอีกหนึ่งคน รอเสนาบดีลิ่นได้รับการแต่งตั้ง แม่สามีของนางก็ยกอำนาจผู้ดูแลเรือนให้นาง ไปใช้ชีวิตมีความสุขอยู่กับหลานแล้ว

ลิ่นชิงอิงที่เป็นเช่นนี้กลับไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลถงมากนัก แต่กลับมาเยือนถึงจวน ทำให้คนประหลาดใจยิ่งนัก

นายหญิงใหญ่ตระกูลถงมาต้อนรับที่ประตูรองด้วยตนเอง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ในใจกลับนึกประหลาดใจต่อการมาเยือนของอีกฝ่าย

ความจริงลิ่นชิงอิงรู้สึกราวกับขึ้นขี่บนหลังเสือยากที่จะลงมาได้ นางเองไม่รู้ว่าควรเอ่ยอย่างไร อย่างไรนายหญิงใหญ่ตระกูลถงผู้นี้ก็มีรอยยิ้มเบ่งบาน ไม่ได้เผยความเจ็บปวดอย่างใดออกมา ไม่คล้ายว่ามีหญิงสาวสูญหายไปเลยสักนิด เช่นนั้นจะต้องบอกว่าแม่นางที่บ้านท่านหายไป ข้าตั้งใจพานางมาส่งคืนให้พวกท่านอย่างนั้นหรือ

เอ่ยเช่นนี้ คงได้โดนอีกฝ่ายใช้ไม้กวาดไล่ตะเพิดออกไปเป็นแน่

ลิ่นชิงอิงหันไปหาฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีกลับมองเข้าไปในจวนของถงจี้จิ่ว พบว่าทุกหนทุกแห่งในจวนนี้เต็มไปด้วยความเป็นสิริมงคลควรค่าแก่การเรียนการสอนและให้ความรู้แก่ผู้คน ดวงดาวเหวินชางเข้าบ้าน ความโชคดีเข้มข้น ใบหน้าของผู้อยู่อาศัยก็จิตใจดี เหมาะแก่การเกิดของผู้มีจิตใจดี

นายหญิงใหญ่ถงเองก็มองไปยังฉินหลิวซีด้วยความประหลาดใจ คนผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่งกายแยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ดูชุดแล้วเหมือนนักพรตเต๋าอย่างไรอย่างนั้น

“ผู้นี้คือ”

ลิ่นชิงอิงยิ้มแข็งขืน เอ่ย “นี่คือท่านหมอนักพรตที่ทำการรักษาให้ท่านย่าที่จวนมารดาของข้า ท่านเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิงเมืองหลี ฉายาปู้ฉิว”

เป็นนักพรตเต๋าจริงด้วย

รอยยิ้มของนายหญิงใหญ่ถงชะงักค้างไปชั่วครู่ นายท่านผู้เป็นพ่อสามีคือจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจียน เชื่อและยึดมั่นในคำกล่าวที่ว่าขงจื๊อไม่พร่ำเอ่ยถึงผีสางเทพเจ้าให้รบกวนจิตใจ สตรีในจวนไหว้พระได้ ทว่าไม่อาจเชื่อในผีสางเทพเจ้าได้ ยิ่งไม่อาจเชิญเหล่านักพรตแม่หมอเข้ามาในเรือนได้

หากนายท่านรู้ว่ามีนักพรตมาที่บ้าน ตามนิสัยหัวโบราณคร่ำครึของเขา เกรงว่าคงได้โกรธเกรี้ยวราวกับฟ้าผ่าเป็นแน่

ลิ่นชิงอิงยิ่งรู้สึกว่าตนเองสะเพร่าแล้ว ดูเหมือนถงจี้จิ่วจะเกลียดเรื่องผีสางเทพเจ้าเป็นที่สุด

“เอ่อ…”

“ข้ามาเพราะแม่นางในจวนของท่าน” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง

นายหญิงถงหัวใจกระตุกอยู่ในใจ

นางส่งสายตาให้กับสาวใช้ผู้หนึ่ง สาวใช้ก้าวถอยไปไม่กี่ก้าว หันหน้าใช้เส้นทางอื่นเพื่อตรงดิ่งไปยังเรือนหลักเพื่อรายงาน ขณะเดียวกันนายหญิงใหญ่ก็เดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าใจเย็น เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่รู้ว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยมาเพราะสตรีของเรา มีเหตุใดหรือไม่”

“ข้าไม่รู้ แต่นายหญิงใหญ่จงบอกว่าเป็นแม่นางจากจวนของพวกท่าน” ฉินหลิวซีหยุดไปชั่วครู่ เอ่ย “อายุสิบสามสิบสี่ ใบหน้ากลมตากลม”

หัวใจของนายหญิงใหญ่ถงเต้นถี่ขึ้นมาทันใด

“คงจะเป็นน้องสาวสามีของท่านผู้นั้น” ลิ่นชิงอิงฝืนยิ้ม เอ่ย “นางบอกว่าเจอน้องสาวสามีท่านหลงทาง จึงพานางกลับมาส่ง”

สีหน้าของนายหญิงใหญ่ถงยิ่งไม่น่ามองขึ้นมา เอ่ย “น้องสาวของข้าไม่ได้ออกไปที่ใด”

ลิ่นชิงอิงไม่โง่ เพียงมองสีหน้าและฟังน้ำเสียงก็รู้ว่านางไม่พอใจแล้ว รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในใจอย่างอดไม่ได้

สะเพร่าแล้วจริงๆ

ฉินหลิวซีกลับปล่อยหญิงสาวผู้มีบุญบารมีผู้นั้นออกมา เห็นนางวิ่งไปยังทิศทางเรือนหลักด้วยความคุ้นเคย จึงรู้ทันทีว่าหาถูกแล้ว เอ่ย “ร่างของนางไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่จิตวิญญาณของนางหายไปบางส่วน ถูกข้าพบเข้าโดยบังเอิญ”

หัวใจของนายหญิงใหญ่หดเกร็ง เอ่ยเสียงดัง “นี่เป็นไปไม่ได้ น้องสาวของข้ายังสบายดีอยู่เลย”

[1] จี้จิ่ว ชื่อตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ดูแลกั๋วจื่อเจียน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท