คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 569 ข้าแนะนำเจ้าใส่ใจเรื่องแก้แค้นให้น้อยลงสักหน่อย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 569 ข้าแนะนำเจ้าใส่ใจเรื่องแก้แค้นให้น้อยลงสักหน่อย

ทุกครั้งหลังมีการแห่จ้วงหยวนในฤดูใบไม้ผลิ ล้วนมีข่าวดีๆ ตามมา อย่างเช่นจิ้นซื่อคนไหนได้รับเลือก ถูกครอบครัวใดหมายตาว่าเป็นบุตรเขยในอุดมคติ อีกทั้งผู้ใดได้รับเลือกเป็นบุตรเขยบ้าง เหล่านักเล่าในโรงน้ำชาเอ่ยถึงได้ไม่หยุดไม่หย่อน

แน่นอนว่านอกจากเรื่องงดงามเหล่านี้แล้ว ยังมีข่าวลือแปลกๆ ที่แพร่กระจายในหมู่จิ้นซื่อส่งต่ออกมา หนึ่งในนั้นที่ดึงดูดความสนใจเป็นที่เอ่ยถึงก็คือเรื่องของจวนฉังชวนปั๋ว

ว่ากันว่าคุณชายเหวินยวนจวนฉังชวนปั๋วสอบได้อันดับที่ห้าในขั้นสอง แต่ในเรื่องดีมีเรื่องร้าย วันที่มีการประกาศผลสอบรอบหน้าพระที่นั่ง คุณชายเหวินยวนกลับถึงจวนก็ประสบกับเรื่องร้ายมองเห็นผี ยามนี้ยังไม่หายดีนัก

จริงสิ วันที่เกิดเรื่องเจ้าอาวาสอารามจินหัวบุกเข้ามาก่อเรื่องในจวนก็เพราะตามจับนักพรตชั่วร้ายที่หนีมายังจวนฉังชวนปั๋ว ต่อสู้กันหนึ่งรอบ จากนั้นลงอาคมก่อนจะออกไป

แต่เจ้าอาวาสอารามจินหัวผู้นั้นเพิ่งไป คุณชายเหวินยวนกลับมาถึงจวนก็เกิดเรื่องร้ายขึ้น ว่ากันว่าเป็นความชั่วร้ายที่นักพรตชั่วผู้นั้นทำเอาไว้ และเจ้าอาวาสอารามจินหัวจึงถูกเรียกตัวกลับไปปราบสิ่งชั่วร้าย

ส่วนเรื่องคุณชายเหวินยวนประสบเคราะห์ร้าย ผู้คนด้านนอกมากมายหลายปาก ต่างมีแบบฉบับของตนเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบบใด ปรมาจารย์ไท่เฉิงที่ถูกเชิญตัวกลับไปกะทันหันมีความรู้สึกว่าตนเองซวยแล้ว

ถูกคนวางกับดักให้ไปสังหารนักพรตซวีกงนั่นที่จวนฉังชวนปั๋ว จากนั้นถูกฉังชวนปั๋วควบคุม จากนั้นยังถูกบีบบังคับให้ลงอาคมปัดเป่ากลิ่นอายชั่วร้ายที่กระจายไปทั่วทั้งจวน เรื่องซวยซ้ำซวยซ้อนจนเขาคิดว่าเทพแห่งความซวยมาสิงร่างเสียแล้ว

เอาเถิด ถือว่าเขาซวย ลงอาคมก็ลงไปแล้ว ถือเสียว่าไม่ให้อารามจินหัวของพวกเขาต้องมีชื่อเสียงเกี่ยวพันธ์กับเรื่องผิดทำนองคลองธรรม ไม่นับว่าเสียเปรียบนัก

หลังเรื่องในจวนฉังชวนปั๋วเสร็จสิ้นเขาตั้งใจจะกลับอารามทันที กำลังหยิบเงินทองแดงต่างๆ ออกมาเตรียมทำนายด้วยวิชาต้าเหยียนซื่อ[1] ต้องการดูว่าคนสารเลวผู้ใดที่มาวางแผนร้ายกับเขา

ทว่ายังไม่ทันได้ทันแสดงอานุภาพ เขาพลันเจ็บหน้าอกขึ้นมา ลำคอมีกลิ่นคาว เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก จุดหลิงไถหนึบชาขึ้นมา

ปรมาจารย์ไท่เฉิงตกใจอย่างมาก นับข้อนิ้วคำนวณ พบว่ามนต์คาถถสะท้อนกลับในระดับเล็กน้อย เป็นไปได้เยี่ยงไร

เขาทั้งตกใจทั้งโกรธ มนต์สะท้อนกลับระดับกลาง สำหรับเต๋าแล้วมีความเสียหาย แต่เขาไม่ได้ทำอะไร และไม่ได้ต่อสู้ด้วยวิชากับผู้ใด จะเจอสะท้อนกลับได้อย่างไร

ไม่รอให้ปรมาจารย์ไท่เฉิงได้คลายความงุนงง คนของจวนฉังชวนปั๋วก็มาแล้ว บอกว่าคุณชายเหวินยวนของพวกเขาประสบเหตุร้าย แผ่นหยกที่เขามอบให้มีรอยร้าวเพราะขับไล่ผีร้าย ขอเชิญปรมาจารย์ไท่เฉิงไปช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย

ปรมาจารย์ไท่เฉิงโกรธไม่น้อย ผู้มีอำนาจอย่างคนเหล่านี้ คิดว่าเขาที่เป็นเจ้าอาวาสเป็นหมาเป็นแมว เรียกก็มาไล่ก็ไปอย่างนั้นหรือ

แต่อีกฝ่ายทั้งขอร้องทั้งข่มขู่ แต่หลังจากการขัดขืนแล้ว เขาก็ไม่มาที่จวนฉังชวนปั๋วไม่ได้

เขาจะรอดู เป็นผีร้ายตนใดที่สามารถทำให้เครื่องรางของเขาเกิดรอยร้าวและยังสะท้อนมนต์กลับมาที่ตัวเขาได้

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเข้ามาในจวนฉังชวนปั๋วก่อนจะถูกพาไปยังเรือนของเฉิงเหวินยวน เขามองกลิ่นอายชั่วร้ายที่ลอยโขมง หัวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นมาเขาทำพิธีในจวนนี้แล้ว จวนสะอาดสะอ้านแล้วเขาถึงไป ไยจวนนี้ถึงได้มีไอชั่วร้ายเข้มข้นเช่นนี้อีกแล้วเล่า อีกทั้งความโกรธแค้นยังกลายเป็นความชั่วร้าย

ฉังชวนปั๋วเห็นเขาปรากฏตัว รีบวิ่งเข้ามาหา สายตาเย็นยะเยือก น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาส ท่านต้องช่วยลูกชายของข้าให้ได้ หากนักพรตซวีกงไม่ได้ตายอยู่ในเงื้อมมือของท่าน บุตรชายของข้าก็ไม่มีทางต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้”

วาจานี้ของเขาไม่ปิดบังแววตำหนิและโกรธแค้นเลยแม้เพียงนิด

ตอนที่ซวีกงอยู่ เฉิงเหวินยวนไม่เป็นอะไร แต่พอเขาตายเฉิงเหวินยวนก็ถูกผีสิง ดังนั้นจะไม่ให้ฉังชวนปั๋วโกรธได้อย่างไร

หากคนตรงหน้าไม่ได้อาศัยว่าเป็นปรมาจารย์ไท่เฉิงละก็ เขาคงจัดการกับนักพรตบ้านี่ไปแล้ว

ปรมาจารย์ไท่เฉิงได้ยินคำตำหนิ สีหน้าไม่น่ามองขึ้นมา เดิมเรื่องราวมากมายที่เกิดในจวนฉังชวนปั๋วก็ทำให้เขาไม่พอใจอยู่แล้ว ยามนี้ฉังชวนปั๋วยังกล่าวโทษเขา ต้องการโยนความรับผิดชอบมาที่ตัวเขาอย่างนั้นหรือ

ตุ๊กตาดินเผาก็ยังมีความเหมือนเพียงสามส่วน[2] ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ตุ๊กตาดินเผา

ปรมาจารย์ไท่เฉิงหน้าตึง เอ่ย “ฉังชวนปั๋วเอ่ยเช่นนี้หมายความอย่างไร จวนของท่านเกิดเรื่อง ไม่ใช่เพราะเวรกรรมของพวกท่านเองหรอกหรือ ตอนข้ากลับไป ไอชั่วร้ายในจวนได้กำจัดออกไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ ในห้องนี้มีความโกรธล้นหลาม ฉังชวนปั๋วจะโทษข้า มิสู้ไปถามคุณชายของท่านไปทำความชั่วใดมา”

ฉังชวนปั๋วหน้าตึง

ปรมาจารย์เฉิงไท่ยังระบายความอัดอั้นไม่หมด เอ่ยต่อ “ดูความโกรธแค้นจนกลายเป็นความชั่วร้ายนี้ ดูเหมือนเวรกรรมในตัวคุณชายท่านจะหนักหนา ข้าคงไร้ความสามารถ ท่านปั๋วไปเชิญปรมาจารย์ท่านอื่นเถิด”

เขาเอ่ยจบหมุนตัวเตรียมเดินออกไป

ผู้มีอำนาจมีอำนาจแท้จริง แต่อารามจินหัวของเขาก็ไม่ใช่ใครจะมาดูถูกได้ อีกทั้งจวนฉังชวนปั๋วทำกรรมใดไว้ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ อีกฝ่ายต้องการใช้อำนาจบีบบังคับเขาก็ต้องดูว่าตนเองจะมีความสามารถนั้นหรือไม่

อีกทั้งหากอยากมาบีบบังคับตน ก็ต้องรอดูว่าชีวิตของเฉิงเหวินยวนผู้นี้จะรอดถึงวันนั้นหรือไม่

เป็นเช่นนั้น เมื่อเขาจะเดินหนี ฉังชวนปั๋วก็ร้อนใจ รีบเรียกเอาไว้พร้อมยิ้มประจบประแจงอ้อมมาอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ย “ไยท่านเจ้าอาวาสต้องมาถือสาคนเช่นข้า บุตรชายของข้าถูกผีเข้าสิงร่าง ข้าผู้เป็นบิดาก็ต้องร้อนใจ ขอท่านได้โปรดอภัยด้วย”

เขาเอ่ยก่อนจะหันไปยกมือประสานให้กับปรมาจารย์ไท่เฉิง ก้มหน้าท่าทางจริงใจ หลุบตาลงซุกซ่อนแววตาสังหารในดวงตา เขาอยากจัดการปรมาจารย์ไท่เฉิง แต่เรื่องของบุตรชายก็รีบร้อน ต้องรีบแก้ไข มิเช่นนั้นคงเป็นอันตรายถึงชีวิต

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเห็นเช่นนั้น ความโกรธในใจคลายออกเล็กน้อย ส่งเสียงหยัน เอ่ย “กำจัดขับไล่สิ่งชั่วร้ายเป็นวัตถุประสงค์ของอารามเรา ท่านนำทางเถิด ดูว่าสิ่งใดที่กล้าทำร้ายคนเช่นนี้”

ฉังชวนปั๋วนำทางเขาเข้าไปในห้อง เพียงเข้าไปในห้องปรมาจารย์ไท่เฉิงก็ได้กลิ่นเลือดคละคลุ้ง พื้นตรงหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด

ในห้องนอน มีเสียงคร่ำครวญดังขึ้นมา

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเดินเข้าไป องครักษ์สูงใหญ่น่ากลัวสี่คนกำลังจับแขนขาของเฉิงเหวินยวนกดเอาไว้ เฉิงเหวินยวนที่อยู่บนเตียงนั้นเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าเหมือนถูกข่วนดึงผิวหนังออกไปเป็นแผ่น เผยให้เห็นเนื้อสดๆ เต็มไปด้วยเลือด เลือดนั้นไหลลงมาจากใบหน้า ลงมาบนเตียง เนื้อออกสีดำแล้ว

นอกจากใบหน้า เสื้อผ้าของเขาก็หลุดรุ่ย หน้าอกก็ถูกข่วนจนเลือดเนื้อผสมปนเป แผ่นหยกชิ้นใหญ่ถูกกดเอาไว้ที่หน้าอกของเขา

เมื่อปรมาจารย์ไท่เฉิงมองเห็นเฉิงเหวินยวนก็สูดลมหายใจเข้าลึก

เขาก้าวเข้าไปใกล้ ถูกเฉิงเหวินยวนที่กำลังถูกกดเอาไว้หันมามอง ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ ตะโกนใส่ปรมาจารย์ไท่เฉิง “นักพรตโง่ ข้าเตือนเจ้าอย่ามายุ่งเรื่องของผู้อื่น”

เยี่ยม เป็นบทพูดของผีร้าย

ปรมาจารย์ไท่เฉิงได้ยินเสียงชายหญิงแหบแห้งผสมกัน จากนั้นมองดวงตาแดงก่ำของเฉิงเหวินยวน ก็รู้แล้วว่ามีผีสิงร่างแล้ว จากนั้นมองแผ่นหยกของเขา

แผ่นหยกที่เดิมแวววาวมีจิตวิญญาณยามนี้มีรอยร้าว จิตวิญญาณแตกสลาย แผ่นหยกหม่นแสง ราวกับมีพลังงานร้ายบางส่วน

“ได้อย่างไรกัน” ปรมาจารย์เห็นเครื่องรางที่ตนสร้างมาเองกับมือกลายเป็นเช่นนี้ไปก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

[1] ต้าเหยี่ยนซื่อ เป็นการทำนายอย่างหนึ่งโดยใช้ไม้เล็กหรือตะเกียบจำนวนหนึ่งมาพยากรณ์

[2]ตุ๊กตาดินเผาก็ยังมีความเหมือนเพียงสามส่วน สันดานหรือนิสัยลึกๆ ของคนนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ในที่นี้หมายถึงต่อให้เขามาเป็นนักบวชแล้วก็ยังมีความโกรธอยู่ เปรียบกับตุ๊กตาดินเผา ที่ต่อให้เอามาปั้นเป็นคนแล้วก็ยังเป็นดินอยู่

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท