ตอนที่ 577 นักพรตชื่อหยวนเลี้ยงบรรพบุรุษผู้หนึ่ง
กลับมาถึงโรงประมูลจิ่วเสียน ฉินหลิวซีก็มองเห็นที่ปรึกษาโหมวของตงหยางโหวที่มารออยู่ก่อนแล้ว
อีกฝ่ายน่าจะอายุประมาณสี่สิบ ใบหน้ายาว มีเคราสวยงาม แต่งตัวเหมือนนักวิชาการลัทธิขงจื๊อผู้อ่อนโยน ดวงตาคู่นั้นเหลือบขึ้นมาแบบไม่ตั้งใจเผยให้เห็นความเฉลียวฉลาดและสติปัญญา
ฉินหลิวซีเพียงดูโหงวเฮ้งเขาเล็กน้อย รู้สึกว่าตงหยางโหวมองคนได้ไม่เลวทีเดียว มิน่าถึงคุ้มกันทะเลตงไห่ได้มาหลายปี ข้างกายมีคนเฉลียวฉลาดคอยช่วยวางแผน ดีกว่าตนเองดิ้นรนต่อสู้ตัวคนเดียวเป็นไหนๆ
ที่ปรึกษาโหมวมองเห็นฉินหลิวซีก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาหา ไม่ได้ดูถูกว่านางเป็นรุ่นหลานของเขาได้ด้วยซ้ำ ทว่าคารวะนางอย่างให้เกียรติ
“ที่ปรึกษาโหมวไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้” ฉินหลิวซีเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย ยกมือขึ้นมา
ที่ปรึกษาโหมวยืดตัวตรง เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อยคู่ควรกับการคารวะนี้ ท่านเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อตระกูลท่านแม่ทัพ”
“เพียงบุญวาสนาเท่านั้น ไม่อาจเป็นบุญคุณได้ ท่านแม่ทัพจ่ายค่ารักษามามากพอ นับว่าหมดหนี้สินต่อกันแล้ว” ฉินหลิวซีส่งสัญญาณให้เขานั่งลง
ที่ปรึกษาโหมวยิ้มเจื่อน เอ่ย “ตอนได้รับจดหมายจากท่านแม่ทัพน้อย เดิมข้าน้อยควรรีบมาขอพบท่านทันที ทว่าไม่อาจมีหน้ามาพบเจ้าอาวาสน้อย”
“ตระกูลเหมิงไม่ยอมหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยตรงประเด็น
ดวงตาของที่ปรึกษาโหมวมีแววเหยียดหยันพาดผ่านชั่วครู่ เอ่ย “ตระกูลเหมิงมีความโลภบ้างแล้ว”
ทว่าอยู่ในความคาดหมายของฉินหลิวซี เอ่ย “ไม่มีโอกาสได้พบ พลาดแล้วก็คือพลาด ไข่มุกมังกรวารีนั่นไม่อาจตกมาอยู่ในมือของตระกูลเย่ว์ สิ่งที่ขาดก็คือวาสนา ท่านแม่ทัพไม่ต้องกังวลไป ถ้าไม่มาก็คือไม่มา ส่วนความโลภของตระกูลเหมิง เป็นธรรมชาติของคน อย่างไรพวกเขาก็ถือไพ่เหนือกว่า สำหรับคนที่มีความต้องการ แน่นอนว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสูง”
“ท่านเจ้าอาวาสน้อยเต็มใจที่จะสละไข่มุกมังกรวารีนี้หรือ” ที่ปรึกษาโหมวเห็นนางเอ่ยอย่างผ่อนคลาย อดแปลกใจไม่ได้
ฉินหลิวซียิ้มบาง “ไข่มุกมังกรวารีนั้น ข้ามุ่งมั่นที่จะเอามันมา”
ที่ปรึกษาโหมวเห็นนางเอ่ยอย่างมั่นใจ ดวงตาวาวขึ้น เอ่ย “ดูเหมือนท่านเจ้าอาวาสน้อยจะมีวิธีรับมือแล้ว”
“อย่างไรก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ
ที่ปรึกษาโหมวเห็นว่านางไม่ได้เอ่ยละเอียด เอ่ย “บางทีท่านเจ้าอาวาสน้อยอาจรออีกสักหน่อย ข้าว่าเสนาบดีลิ่นคงจะมีวิธี”
“เอ๋”
ที่ปรึกษาโหมวมองนาง เอ่ยขึ้นอีกหนึ่งประโยค “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์”
ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“หากตระกูลเย่ว์เสียคำพูด ไม่รู้ว่าราคาของไข่มุกมังกรวารีคือเท่าใด พวกเราควรให้สิ่งใดแทน” ที่ปรึกษาโหมวเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก เอ่ย “ตามใจเถิด”
ที่ปรึกษาโหมวขมวดคิ้วขึ้นมา เขากลัวการตัดสินใจแบบนี้ที่สุด ไม่มีการกำหนดจำนวน ทว่าตัวตนและความสามารถของฉินหลิวซี ยิ่งตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตระกูลเย่ว์ไม่อาจดูถูกและ ‘ตามสบาย’ ได้จริงๆ
ฉินหลิวซีเอ่ย “ในเมื่อพวกท่านไม่อาจเอาไข่มุกมังกรวารีมาได้ ท่านที่ปรึกษาก็ไม่จำเป็นต้องเที่ยวอยู่ในเมืองหลวง กลับเมืองหลีไปรับท่านแม่ทัพน้อยกลับไปทำหน้าที่เถิด”
ที่ปรึกษาโหมวเห็นเช่นนั้นหัวใจพลันกระตุก เด็กคนนี้ไม่พอใจขึ้นมาแล้วหรือไม่ โทษที่พวกเขาเสียคำพูด ดังนั้นจึงไล่พวกเขาไปอย่างนั้นหรือ
เป็นวันที่ก่นด่าตระกูลเหมิงอีกครั้ง ต้องโทษตระกูลเหมิงบ้านี่ ช่างมีความโลภนัก
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย ท่านแม่ทัพน้อยของเรากลับได้แล้วหรือ”
ฉินหลิวซีมองไป “เขาเดินได้แล้ว ไม่กลับไปแล้วจะทำสิ่งใด จะปักหลักอยู่เมืองหลีหรืออย่างไร กลับไปรักษาที่นั่นกับพวกท่านก็เหมือนกัน”
ที่ปรึกษาโหมวพ่นลมหายใจ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
เขาพูดคุยกับฉินหลิวซีไม่กี่ประโยค มั่นใจว่าฉินหลิวซีไม่ต้องการให้พวกเขาตามฉุดยื้อกับตระกูลเหมิงเพื่อเอาไข่มุกมังกรวารี จึงเอ่ยบอกว่าจะไปเมืองหลีในวันนี้อย่างมีความสุข และคำนวณเงินค่ารักษา
ส่วนจะคำนวณอย่างไร เขาต้องหารือกับท่านแม่ทัพน้อยก่อนจะวางแผนอีกครั้ง
ที่ปรึกษาโหมวไปแล้ว เฟิงซิวก็เดินเข้ามา กอดอกพิงกรอบประตู เอ่ยอย่างมีความสุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ “บอกแล้วว่าพูดดีๆ กับตระกูลเหมิงไม่อาจเอาไข่มุกมังกรวารีมาได้หรอก ทำไม พวกเราไปจัดการดีหรือไม่”
“หุบปากไปเถิด” ฉินหลิวซีกลอกตาให้เขา เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไรโรงประมูลจิ่วเสียนและร้านยาตำหนักอายุวัฒนะก็เป็นเจ้าภาพ อย่าเอาแต่คิดปล้นสะดมภ์ชาวบ้าน ทำตัวเป็นโจร เหมือนอะไรกัน”
เฟิงซิวหัวเราะ “อย่างท่านที่เอาแต่ตีหน้าเป็นคนดีทำตัวมีคุณธรรม ความจริงเบื้องหลังไม่รู้วางแผนร้ายต่อผู้คนมากเพียงใด”
ปรมาจารย์ไท่เฉิง ท่าทางมีคุณธรรมที่ขาดคุณธรรมหรือ
“เจ้าไม่ต้องยุ่ง อย่างไรหากข้าต้องการข้าก็จะเอามาอย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะของที่ต้องปรุงยา ข้าไม่อาจปล่อยให้ต้องมีเวรกรรมติดมา จะทำให้ปรุงยาไม่ราบรื่น”
เฟิงซิวอดกลั้น เอ่ย “ให้ข้าเตือนท่านสักประโยค ต่อให้ท่านเอาวัตถุดิบนี้มาได้แล้ว ปรุงยารากฐานปราณนี้ออกมาแล้ว นักพรตเฒ่าไม่มีเพียรตบะนี้ กินแล้วก็ไร้ผล ยังคงไม่อาจสร้างรากฐาน…”
เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งหายไปภายใต้สายตามุ่งร้ายของฉินหลิวซี
“เอ่ยอีกสิ” น้ำเสียงของฉินหลิวซีเยือกเย็นน่ากลัว
“ข้ามิกล้า” สายตาของท่านเมื่อครู่ ข้ากลัวเป็นบ้า
ฉินหลิวซีส่งเสียงหยัน เอ่ย “ให้บรรดาหวงเซียนช่วยดูสมุนไพรที่เหลือเริ่มสุกหรือหามาได้หรือไม่ ขอบคุณอีกครั้ง”
นางเอ่ยจบก็เตรียมเดินออกจากประตูกลับห้องของตนเอง
เฟิงซิวเอ่ยตามหลังนางหนึ่งประโยค “เสี่ยวซี หากนักพรตเฒ่าไม่อาจบำเพ็บตบะได้สมบูรณ์ครบถ้วนและวางรากฐานปรานอย่างราบรื่น ท่านจะทำอย่างไร”
เท้าของฉินหลิวซีชะงัก เงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “จะทำอย่างไรได้ ตายแล้วก็ลงไปสอบข้าราชการเถิด ลงไปเป็นยมทูตอะไรพวกนั้นอยู่เบื้องล่าง รอแก่แล้วตายแล้วค่อยไปเกิดใหม่อีกครั้ง”
เฟิงซิว “…”
เขามองร่างนางที่เดินห่างออกไป ถอนหายใจหนึ่งเฮือก ไม่รู้ว่าควรเอ่ยว่านางบ้าหรือควรบอกว่านักพรตเฒ่าโชคร้าย ลูกศิษย์เช่นนี้ แม้แต่จะไปเกิดใหม่ยังต้องต่อหลังนาง
ไหนเลยนักพรตชื่อหยวนจะเลี้ยงลูกศิษย์ เห็นอยู่ว่าเป็นบรรพบุรุษชัด
…
ยามนี้เหมิงผิงกุ้ยอันเฉิงโหว บิดาแท้ๆ ของเหมิงกุ้ยเฟย ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้เกิดมาในตระกูลยิ่งใหญ่ บิดาของเขาตอนนั้นเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ และตัวเขาเองมีโชคเล็กน้อย ตอนที่ฝ่าบาทยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็เป็นหนึ่งในทหารองครักษ์ของฝ่าบาท หลังฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ก็แต่งตั้งเหล่าทหารขั้นหก ใช้เวลาหลายปีกว่าจะขึ้นถึงขั้นสี่ และตอนนี้เป็นช่วงกำลังรุ่งเรือง ตั้งแต่สี่ปีก่อนที่เขาส่งบุตรสาวเข้าวังและได้รับความโปรดปราน จึงกลายมาเป็นผู้สูงศักดิ์ใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้ตระกูลเหมิงจะเป็นผู้สูงศักดิ์ใหม่ ยังได้รับความโปรดปราน แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในสายตาของตระกูลขุนนางที่แฝงอยู่ เหล่าเจ้าหน้าที่ขั้นสูงไม่สนิทสนมและพึ่งพาตระกูลผู้สูงศักดิ์ใหม่เช่นนี้ง่ายๆ ต่อให้เหมิงกุ้ยเฟยมีโอรสข้างกาย คนที่รักตัวกลัวตายอย่างพวกเขาก็ยังระมัดระวังที่จะไปมาหาสู่ เพื่อไม่ให้ฝ่าบาทเข้าใจว่าเป็นการจัดตั้งพรรคพวก
เหมิงผิงกุ้ยเองก็รู้ว่าคนส่วนใหญ่นั้นดูถูกตระกูลเหมิงของตน แต่นั่นแล้วอย่างไร ขอเพียงมีพระสนมกุ้ยเฟยและองค์ชายอยู่ ตระกูลเหมิงของพวกเขาต้องมีวันที่ยิ่งใหญ่สักวัน ก็จะมีคนเข้ามาพึ่งพิงเอง
เพียงแต่ใครก็พึ่งพิงได้ แต่คงไม่ใช่ลิ่นเซียงที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่มาโดยตลอดนั่นก็พอ
แต่ความจริงคือ คนผู้นี้มาหาที่บ้านในกลางดึก บอกว่ามีเรื่องหารือ นี่ทำให้อันเฉิงโหวรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
พวกเขามีอะไรต้องคุยกันหรือ
“ไม่รู้ว่าเสนาบดีลิ่นมา มีเรื่องใดหรือ” หลังจิบชา อันเฉิงโหวก็เอ่ยตรงประเด็น
เสนาบดีลิ่นวางถ้วยชาหยกขาวในมือลง ยิ้มพลางเอ่ย “เสนาบดีข้าอยากขอให้อันเฉิงโหวตัดสิ่งที่รัก มอบไข่มุกมังกรวารีให้กับข้า”
อันเฉิงโหวเกือบโดนน้ำชาร้อนลวกแล้ว จ้องมองเขานิ่งงัน เสนาบดีลิ่นบ้าไปแล้วหรือ นี่เป็นการแย่งชิงด้วยปากหรือไม่