คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 579 นางกำลังทดสอบขอบเขตแห่งความตาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 579 นางกำลังทดสอบขอบเขตแห่งความตาย

ทั้งตระกูลจะมีความดีความชอบ หรือจบสิ้นทั้งตระกูล ใช้หัวแม่เท้ายังเลือกได้

อันเฉิงโหวรับกล่องเล็กที่เก็บสิ่งเหล่านั้นที่เรียกว่าเป็นหลักฐานเอาไว้ ทั้งยังส่งกล่องไม้จื่อถานใบเล็กที่มีชื่อและล้ำค่าให้กับเสนาบดีลิ่น สายตามองตามเขาหายไปกับความมืดด้วยสีหน้าไร้สี ไร้ร่องรอย

รอจนเขาไปแล้ว อันเฉิงโหวถึงกับเสียการทรงตัว เกือบยืนไม่อยู่ เกาะขอบประตูเอาไว้ หันกลับไปมองกล่องเล็กขัดตานั่น กระอักเลือดออกมา

ตำแหน่งของกล่องเล็กนั่น ก่อนหน้านี้ยังวางกล่องยาวที่มีโสมพันปีวางอยู่ ยามนี้กลับเปลี่ยนมาเป็นสัญลักษณ์ตัดศีรษะเอาชีวิต

หากรู้เช่นนี้แต่แรก ในตอนที่ตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นำโสมพันปีออกมา คงได้แลกเปลี่ยนอย่างมีความสุขแล้ว คงไม่เสียเปรียบอย่างตอนนี้

ไม่ ไม่เสียเปรียบ กล่องนั่นมีศีรษะของคนจวนอันเฉิงโหวแขวนอยู่หลายร้อยเลยด้วยซ้ำ

อันเฉิงโหวนึกขึ้นมาได้ ร้องเรียกคนเข้ามา ต่อให้สตรีนางนั้นอ่อนโยนอ่อนหวานเพียงใด ก็ไม่อาจเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป

ค่ำคืนที่มืดมิด

เสนาบดีลิ่นนั่งอยู่บนรถม้า ได้ยินเสียงลมก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ สายตามองลงไปยังกล่องไม้จื่อถานใบเล็กในมือ นิ้วมือเรียวยาวสัมผัสด้านบนเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มขึ้น

น้ำใจนี้ชดใช้คืนได้โดยไม่ติดค้างแล้ว

“ท่านเสนาบดี หลักฐานพวกนี้จะมอบให้อันเฉิงโหวเพื่อแลกกับสิ่งนี้หรือขอรับ” พ่อบ้านคุกเข่านั่งอยู่ด้านข้างเขา เอ่ยถามเสียงเบาหนึ่งประโยค “ไม่เก็บหลักฐานเอาไว้สักครึ่งหรือขอรับ”

เสนาบดีลิ่นเคาะกล่องไม้ เอ่ย “ไยต้องเก็บเอาไว้ เพียงของไร้ประโยชน์ที่ต้องทิ้งเท่านั้น”

พ่อบ้านชะงัก เอ่ย “การซื้อขายครั้งนี้อันเฉิงโหวได้กำไรแล้ว”

ชีวิตผู้คนนับร้อยเลยด้วยซ้ำ

เสนาบดีลิ่นยิ้มหยัน เอ่ย “ไข่มุกมังกรวารีอายุห้าร้อยปีหาได้ยากจริงๆ ไม่เสียเปรียบ อีกทั้ง หลักฐานนั้นเป็นของจริง คนกลับไม่เป็นเช่นนั้น”

พ่อบ้านส่งเสียง อ่า ขึ้นมา

“ฝ่าบาทไม่มีทางให้ใครก็ตามมาคุกคามตำแหน่งของตน ตัวจริงผู้นั้นถูกหาพบตั้งนานแล้ว คนนี้เป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น” เสนาบดีลิ่นเอ่ยเสียงหยัน “แต่ต่อให้นางเป็นตัวปลอม คนของรัชทายาทจยาก็ไม่สนใจ พวกเขาต้องการเพียงหัวเรือ”

พ่อบ้านสูดหายใจ เอ่ย “เช่นนั้นหมายความว่า อันเฉิงโหวถูกท่านหลอกแล้วหรือขอรับ”

เสนาบดีลิ่นเหลือบดวงตาขึ้นมองไป

พ่อบ้านรู้ตัวว่าเอ่ยพลาดไป ยกมือขึ้นปิดปาก “บ่าวเอ่ยผิดไป ขอท่านเสนาบดีลงโทษด้วย”

เสนาบดีลิ่นมองไปยังกล่องอีกใบ ถอนหายใจเอ่ย “ข้าไม่อยากทำ ข้าตั้งใจจะเอาโสมพันปีนั่นไปแลกอย่างจริงใจ หากอันเฉิงโหวรับน้ำใจนี้ ข้ายังจริงใจ อีกทั้งใจกว้าง”

พ่อบ้าน วาจานี้ของท่านโชคดีที่เอ่ยที่นี่ หากให้อันเฉิงโหวรู้ความจริง เกรงว่าคงได้กระอักเลือดจนนองพื้น

ตกลงไปในหลุมพรางอย่างแท้จริง!

พ่อบ้านเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้เป็นตัวแทน จัดการแล้ว ก็สามารถหลีกเลี่ยงจากโชคร้ายที่คนเหล่านั้นจะพามา”

“เป็นเช่นนี้ไม่ผิด ดังนั้นไม่นับว่าเอาเปรียบเขา ข้าให้เขาหลีกหนีโชคร้ายแสวงหาโชคลาภ” เสนาบดีลิ่นแสดงสีหน้าออกมาว่าข้าเองก็เป็นคนดี

พ่อบ้านอยากหัวเราะ มองไปยังกล่องนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เอ่ย “ไม่รู้ว่าไข่มุกมังกรวารีอายุห้าร้อยปีคือสิ่งใดนะขอรับ”

เสนาบดีลิ่นหยิบกล่องไม้จื่อถานใบเล็กขึ้นมาก่อนจะเปิดออก ปรากฏของล้ำค่าข้างในออกมา ภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟในรถและไข่มุกราตรี มุกมังกรวารีทรงกลมเปล่งประกายสีขาวนวลดุจดวงจันทร์ คล้ายสีของแสงจันทร์ อ่อนโยนและเป็นประกาย

“สวยจริงๆ” พ่อบ้านเอ่ยชื่นชม

ไข่มุกนี้ต่อให้วางเอาไว้ประดับ ก็ทำให้อยากมอง

“สวยจริงๆ” เสนาบดีลิ่นปิดกล่องไม้ลง ปิดแสงนวลนั้น แต่ต่อให้สวยก็ไม่เข้าใจถึงประโยชน์ของมัน สำหรับเขาแล้ว เป็นเพียงไข่มุกของปลาตัวหนึ่งเท่านั้น เหมือนไข่มุกที่ผลิตจากหอยทางใต้เหมือนกัน

มังกรวารี เจ้ามีมารยาทหรือไม่ ข้าบำเพ็ญเพียรกลายเป็นมังกรวารี เพียงขาดโชคดีอีกนิดเดียว ไม่ทันได้กลายเป็นมังกร แต่มังกรวารีก็คือมังกร ปลาอะไรกัน ไม่มีความรู้เอาซะเลย

วันต่อมาฉินหลิวซีนั่งอยู่ในรถม้าที่จวนเสนาบดีส่งมารับด้วยตนเอง เป็นเสนาบดีลิ่นเชิญนางไปจับชีพจรตรวจสุขภาพให้นายหญิงผู้เฒ่า จากนั้นเชิญนางมายังห้องหนังสือ หยิบกล่องไม้จื่อถานใบเล็กออกมา เลื่อนไปตรงหน้าฉินหลิวซี

“ภารกิจสำเร็จลุล่วง”

ก่อนจะมาฉินหลิวซีก็พอเดาได้เล็กน้อย เปิดกล่องไม้ออกดู เป็นไข่มุกมังกรวารีจริงๆ ใบหน้าเปล่งประกายรอยยิ้มทันใด

เสนาบดีลิ่นแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ เอ่ยถาม “ไข่มุกมังกรวารีนี้ท่านเอามาทำอะไรหรือ”

“ปรุงยา”

สีหน้าเสนาบดีลิ่นไม่เปลี่ยน ปรุงยาจริงๆ ด้วย

ฉินหลิวซีเพียงยืนยันว่าเป็นไข่มุกมังกรวารีก็ปิดกล่องลง จากนั้นใช้ยันต์สะกดมันเอาไว้

“สิ่งนี้ทำเพื่ออะไรกัน”

ฉินหลิวซีอธิบาย “ต้องสะกดวิญญาณของมันเอาไว้ มิเช่นนั้นยามเอาไปปรุงยา ฤทธิ์ของยาก็อาจจะแตกต่างไปจากเดิม”

เสนาบดีลิ่นส่งเสียงอ้อขึ้นมา

ฉินหลิวซีผนึกกล่องเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองเสนาบดีลิ่น เอ่ย “สิ่งที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ยังเป็นผล หากเสนาบดีลิ่นเอาไข่มุกมังกรวารีมาให้ข้าได้ ข้าจะเปิดดวงท่านหรือคนในครอบครัว หรือคนอื่นๆ ให้สักครั้ง ว่ามาเถิด ท่านอยากดูอายุขัยของผู้ใด”

คิ้วของเสนาบดีลิ่นขมวด เอ่ย “คนในเสวียนเหมิน ดวงชะตาเรื่องเหล่านี้ไม่อาจเปิดเผยมิใช่หรือ ท่านกลับเปิดเผยดวงชะตา ไม่กลัวห้าโทษสามวิบัตินั่นหรือ”

“อย่างไรมันก็ไม่กล้าผ่าข้าจนตาย” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างบ้าบิ่น

เสนาบดีลิ่น คุยโวโอ้อวดไม่รู้สึกกระดากอาย เด็กคนนี้มันแน่

สวรรค์ นางทดสอบขอบเขตของความตายอยู่หลายครั้ง ข้าบอกกับใครไปแล้วเล่า

เสนาบดีลิ่นปฏิเสธฉินหลิวซี “เช่นนั้นก็ไม่ต้องหรอก”

ฉินหลิวซีงุนงง มองไป

“แสวงหาความสงบและหลีกหนีภัยพิบัติเป็นความสามารถของมนุษย์ แต่หากมนุษย์รู้เรื่องทุกอย่างไปก่อนแล้ว เช่นนั้นชีวิตก็ไร้ความหมาย การขึ้นลงของชีวิต หากเป็นดวงชะตา หากทำโดยยึดกับอนาคต ก็คงสูญเสียการวินิจฉัยที่แท้จริง” เสนาบดีลิ่นยิ้มบาง “มักมีคำกล่าวที่ว่าชีวิตขึ้นอยู่กับข้าไม่ขึ้นอยู่กับสวรรค์ ข้ากลับชอบที่จะอาศัยความสามารถตนเองไปเรียนรู้อนาคต สำเร็จหรือล้มเหลว โชคชะตาสามส่วน เจ็ดส่วนนั้นก็คือการต่อสู้ดิ้นรนเท่านั้นแล้ว”

ฉินหลิวซีเอ่ย “สมแล้วที่ท่านอยู่ในตำแหน่งสูงด้วยอายุยังน้อยเช่นนี้ ท่านช่างเป็นผู้ตื่นรู้บนโลกมนุษย์แล้วจริงๆ”

“มิกล้า เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น” เสนาบดีลิ่นหัวเราะออกมา เอ่ย “อีกหนึ่งเหตุผลที่มิกล้าให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยเปิดอายุขัยก็คือ ท่านเคยให้คำเตือนมาแล้ว”

เมื่อใดกัน

“ร่างกายของท่านแม่” เสนาบดีลิ่นเม้มริมฝีปาก เอ่ยเพียงไม่กี่คำ ฉินหลิวซีเคยเอ่ยบอกเขาแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจะมีชีวิตได้อีกนานเพียงใด จึงเพียงพอให้เขามีเวลาเตรียมตัว

ใช่ว่าไม่กตัญญู แต่ถึงรู้ ก็ไม่มีทางใช้การเตือนนี้อย่างสูญเปล่า เพราะบางครั้ง ยังขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาด้วย

ดังนั้นเขาไม่กล้ารู้มากกว่านี้ รู้อย่างอื่นอีก คงเป็นเขาที่โลภแล้ว ฉินหลิวซีไม่กลัวห้าโทษสามวิบัติ แต่เขากลัว

จิตใจคนยากที่จะเติมให้เต็ม เขาไม่อาจเปิดความโลภนี้ เพียงเปิดแล้วก็จะลุ่มหลงไม่อาจถอนตัวขึ้นมาได้

ความสามารถในการควบคุมตนเองของเสนาบดีลิ่นทำให้ฉินหลิวซีรู้สึกเสียดาย หากราชสำนักมีขุนนางเช่นนี้มากสักนิด สร้างความเจริญรุ่งเรืองไปอีกเป็นร้อยปี ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แต่น่าเสียดาย ไม่ใช่คนอื่นจะเป็นเช่นเดียวกับเสนาบดีลิ่น

“เอาเถิด ในเมื่อท่านไม่ต้องการ เช่นนั้นข้าก็จะเก็บเอาไว้”

ดวงตาเสนาบดีลิ่นวาววับขึ้นมา เอ่ย “ไม่กล้าให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยรับห้าโทษสามวิบัตินี้ ข้าเองก็อายุเกินครึ่งร้อยแล้ว ร่างกายไม่เหมือนเมื่อก่อน อยากเป็นกำลังให้ต้าเฟิงยิ่งกว่านี้ เป็นห่วงเพียงกำลัง ข้าเคยลองชาสมุนไพรที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยมอบให้ท่านแม่ หากสามารถขอสิ่งเหล่านั้นกับท่านเจ้าอาวาสน้อยสักหน่อยคงดียิ่งแล้ว”

ฉินหลิวซี “!”

ตอนข้าเข้ามาในจวน เหมือนได้ยินบ่าวรับใช้บอกกับคนครัวว่าท่านอยากกินขาหมูตุ๋นเครื่องเทศสิบสามชนิด ความอยากอาหารดีเพียงนี้ ยังบอกกับข้าว่าร่างกายไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท