ตอนที่ 582 ความจริงที่ผีสิงต้นไม้เห็น
ผีที่สิงต้นไม้ ความหมายตามชื่อคือผีที่อาศัยอยู่ในต้นไม้หรือท่อนไม้ นิสัยชอบหยอกล้อก่อกวนคนอื่นทว่าไม่ทำร้ายคน คนที่มักถูกเขาก่อกวนเรียกเขาว่ารุกขเทพ
จวนของตระกูลจิ่งนี้มีผีที่อยู่ในต้นดอกท้อหนึ่งต้น ต้นท้อต้นนั้นอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนพอดี ไม่รู้ว่าผีเฒ่าบนต้นไม้จะเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหรือไม่
ทุกคนได้ยินฉินหลิวซีอธิบายแล้ว รู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจ โดยเฉพาะ…
ฟิ้ว
เงาหนึ่งลอยเข้ามา
หัวใจทุกคนเต้นแรงขึ้นมา รู้สึกว่ามีบางอย่างมาแล้ว
สติของฉังอันโหวแตกกระจาย ไยบ้านของเขาจึงมีของแบบนี้
คนที่แตกกระจายยิ่งกว่ายังมีองครักษ์เงาผู้นั้นที่กระโดดลงมาจากต้นไม้ เขาเฝ้าอยู่ที่นี่มานานหลายวันแล้ว อยู่มากว่าสี่เดือนแล้ว รู้สึกว่าเมื่อยามค่ำคืนมักจะหนาวเป็นพิเศษ มีบางอย่างกระทบเท้าเขาเป็นบางครั้งบางครา และเพราะเช่นนี้ตอนเขาเฝ้ายามจึงไม่เคยหลับใหลในยามกลางคืน ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว เหมือนเขาถูกบังคับให้ทำหน้าที่
องครักษ์เงาสัมผัสได้ถึงลมหยินที่พัดผ่านเขาไป กระโดดออกไปพร้อมเสียงโศกเศร้า เขาต้องการเปลี่ยนต้นไม้
“ท่านเทียนซือได้โปรดไว้ชีวิต อย่าได้ส่งข้าไปเกิดเลย ข้าเพียงอยากอยู่บนโลกนี้ถึงยามฤดูกาลผันเปลี่ยน ดวงดาราเคลื่อนย้าย ดวงวิญญาณล่องลอยพลังสลาย…” ผีสิงต้นไม้ลอยมาอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี ประสานมืออ้อนวอน
ฉินหลิวซีมองเขาในชุดยาวสีชมพู ร่างกายผอมแห้ง บนศีรษะม้วนมวยผมมีดอกท้อปักอยู่ และใบหน้าของเขามีความดุร้าย เมื่อได้ยินความสามารถด้านบทกวีของเขาแล้ว ยกมือขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เอาล่ะ ไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งที่มีหรือไม่มี ขอเพียงเจ้าเล่าเรื่องที่นี่ออกมาให้ละเอียด เจ้าอยากไปที่ใดก็ไป”
ผีบางตนไม่ชอบที่จะไปผุดไปเกิด ยินยอมที่จะล่องลอยไปมาในโลกมนุษย์ แม้ว่าสุดท้ายจะจบด้วยการเลือนหาย ดวงวิญญาณแตกสลาย
สำหรับเรื่องนี้ ฉินหลิวซีเองก็ไม่บีบบังคับ
จิ่งเสี่ยวซื่อเห็นฉินหลิวซีเอ่ยกับความว่างเปล่า ทว่ามองไม่เห็น อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเรียบ “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ให้ข้าดูด้วย”
ฉังอันโหวหันขวับไปทางเขา เจ้าบ้าไปแล้วหรือ อยากเจอผีเสียอย่างนั้น
ฉินหลิวซีเขียนยันต์เบิกเนตรกลางอากาศ ท่องคาถาเบิกเนตร จิ่งเสี่ยวซื่อและฉังอันโหวพลันรู้สึกเสียดตา หลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มองเห็นผีต้นดอกท้อนั่นแล้ว
“เฮือก”
ฉังอันโหวตกใจกับรูปลักษณ์ของผีสิงต้นไม้จนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าซีดขาว อยากหลับตาลง
น่ากลัวยิ่งนัก
อีกทั้ง ฉินหลิวซีนี่บอกว่าต้องการเห็นผีก็เห็นผี ตั้งใจแกล้งเขาหรือไม่
ฉังอันโหวพยายามทำตัวสงบ จับโต๊ะในห้องเอาไว้ มีเพียงตัวเขาที่รู้ ขาสองข้างที่อยู่ภายใต้ชุดยาวสั่นเบาๆ ตอนที่ผีสิงต้นไม้ปรายตามาทางเขา เขาตกใจหันหน้าหนี
พรึบ
ให้ตายเถอะ ขยับตัวแรงงไป คอบิดแล้ว
ฉินหลิวซีดีดนิ้วตรงหน้าผีสิงต้นไม้ เอ่ย “มองที่ใด”
ผีสิงต้นไม้เขินอาย เอ่ย “มองท่านโหว สง่างาม ไม่ผิดจากเมื่อก่อน”
ฉังอันโหว “…”
อย่าชม โหวเช่นข้ารับไว้ไม่ได้
ผีสิงต้นไม้เห็นว่าฉังอันโหวไม่มองเขา สีหน้ามีความโศกเศร้าเสียใจ ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก
ฉินหลิวซีและจิ่งเสี่ยวซื่อมองผีสิงต้นไม้อย่างแปลกประหลาด ลอบถอยมาหนึ่งก้าว รู้สึกว่าแนวทางของผีตนนี้ไม่ปกตินัก
“เอาล่ะ เลิกเล่นได้แล้ว รีบพูดมา เห็นอะไรบ้าง” ฉินหลิวซีชี้ไปยังฮูหยินหนิว ให้ผีสิงต้นไม้เอ่ยเล่ามาอย่างละเอียด
ผีสิงต้นไม้มองตามปลายนิ้วของนางไป เอ่ยด้วยความตกใจ “แย่มาก ดูดออกไปสะอาดเช่นนี้ เลือดแม้เพียงหยดเดียวก็ไม่เหลือเอาไว้”
ฉินหลิวซีและจิ่งเสี่ยวซื่อสบตากัน เห็นละครฉากหนึ่งเข้าแล้วจริงๆ
ผีสิงต้นไม้ก้าวเข้ามาใกล้ พ่นคำดูถูกใส่ร่างของฮูหยินหนิว “ท่านโหวบุรุษรูปงามหล่อเหลาเช่นนี้ เจ้ากลับสวมเขาให้เขาเพราะตาเฒ่าเปื่อยเน่าคนหนึ่ง ตาบอดจริงๆ สมควรตายแล้ว”
มีคนรักษาความเป็นธรรมให้เขา ฉังอันโหวควรซาบซึ้ง แต่ทำไมฟังแล้ว ไยจึงรู้สึกว่ามันดูไม่รื่นหูไปหมด
“ตาเฒ่าเปื่อยเน่าคือนักพรตไท่หยางหรือ เมื่อคืนเขามาที่นี่หรือ” ฉินหลิวซีกลัวว่าผีสิงต้นไม้จะดึงเข้าบทรักน้ำเน่าอีก รีบเอ่ยเข้าหัวข้อ
“ใช่เขา ใช่เขา เป็นเขานั่นแหละ คนที่สวมเขาให้ท่านโหวก็คือนักพรตชั่วนั่น” ผีสิงต้นไม้พยักหน้า ดอกท้อเกือบจะหล่นลงมาจากหัว ถูกจับเอาไว้ได้เสียก่อน
เคราบนปากของฉังอันโหวกำลังสั่น นั่นคือกำลังโกรธ
ข้าขอบคุณเจ้ามาก แต่หุบปากได้หรือไม่ ไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยเตือนว่าข้าเป็นคนโง่
ผีสิงต้นไม้มองฉังอันโหวด้วยความสงสาร เอ่ย “เมื่อคืนนักพรตผู้นั้นมาตั้งแต่ยามเฉิน ร่ายคาถาบังตา เดินเข้าไปในห้องอย่างเปิดเผย เมื่อเข้ามา สตรีไม่รักษาขนบธรรมเนียมผู้นี้ก็พุ่งไปกอดเขา”
ทุกคน “!”
ฉินหลิวซีนึกขึ้นได้หันมองไปทางฉังอันโหว มีรอยยิ้มอยู่ในใจ ผีสิงต้นไม้เอ่ยต่อไป ทำได้สวย
ผีสิงต้นไม้ราวกับได้ยินเสียงในใจของนาง เลียนแบบท่าทางของฮูหยินหนิว เอ่ย “หนิวซื่อกอดนักพรต ร้องไห้น้ำตานองราวกับสายฝน มือกำหมัดทุบเขา เอ่ยถามไม่กี่ประโยคไยท่านพึ่งมา…”
“พอแล้ว” ฉังอันโหวเอ่ยขัด เอ่ยเสียงเย็น “เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดสำคัญไม่ต้องเอ่ย”
ผีสิงต้นไม้ส่งเสียงอ้อเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “พวกเขาเจอหน้ากันเอ่ยไม่กี่ประโยค นักพรตไปดูเด็กคนนั้น จากนั้นเริ่มโต้เถียง”
นักพรตไท่หยางไปจากอารามจินหัวแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้ไปเช่นนั้นแน่ หลังจากสืบได้ว่าฉังอันโหวนำหนิวซื่อสองแม่ลูกมาไว้ที่บ้าน เดิมคิดเตรียมพร้อมแล้ว ตนเองรักษาหายดีแล้วจะมาพาพวกเขาหนีไป
แต่เขากลับถูกพลังสะท้อนกลับเล็กๆ อีกครั้ง ก่อนจะคำนวณพบว่าคาถาที่ยืดอายุให้จิ่งอู่ถูกทำลายลงอีกครั้ง จึงรีบมาถึงที่นี่
ครั้งก่อนที่ถูกสะท้อนกลับจิ่งอู่ก็อาการไม่ดีนัก และการอยู่ในจวนเพราะคำสั่งของฉังอันโหว สองแม่ลูกจึงถูกกักขังไว้ ไม่ได้รับอาหารการกินที่ดี ร่างกายของเสี่ยวอู่อ่อนแอไม่ไหวตั้งนานแล้ว หากสะท้อนกลับอีกครั้ง เขาได้ร่อแร่รอวันตายแล้ว
นักพรตไท่หยางเห็นว่าบุตรชายมีไอความตายปกคลุมก็รู้แล้วว่าเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว
หนิวซื่อกลับใกล้จะสติแตกแล้ว นางตกลงมาจากตำแหน่งโหวฮูหยินสูงส่งสู่โคลนตมภายในวันเดียว จิตใจนั้นย่ำแย่ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าบุตรชายจะไม่ไหวแล้ว นางสูญเสียความสงบนิ่งไปแล้ว กัดฟันเอ่ยถามนักพรตไท่หยาง “ท่านต่อชีวิตให้เขาแล้วมิใช่หรือ ไยจึงยังเป็นเช่นนี้”
“มีคนทำลายวิชาของข้า” นักพรตไท่หยางกัดฟัน
หนิวซื่อเอ่ยเย้ยหยันเขารุนแรง “ครั้งแรกทำลายวิชา ครั้งที่สองก็ยังทำลายวิชา ท่านมีความสามารถเพียงเท่านี้หรือ แม้แต่บุตรชายแท้ๆ ของท่านยังช่วยไม่ได้ ยังเอ่ยว่าเป็นวิชาสืบทอดดั้งเดิมจากเทียนซือ ถุย”
“หุบปาก” นักพรตไท่หยางขายหน้าจนกลายเป็นความโกรธ เขาบีบคอของนาง
หนิวซื่อเบิกตาโตอย่างตกใจ
ดวงตานักพรตไท่หยางดูน่ากลัว เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของนาง ในใจก็คล้ายได้รับการปลอบโยน จากนั้นจึงมองไปยังจิ่งอู่ที่อ่อนแอและซีดเซียวปกคลุมไปด้วยรัศมีแห่งความตายบนเตียง สมองพลันเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมา
ว่ากันว่าทุกสิ่งมีได้ไม่เกินสาม ต่อชีวิตสองครั้งไม่สำเร็จเป็นลิขิตสวรรค์ ยามนี้เขายังถูกพลังสะท้อนกลับ ไม่สามารถต่อชีวิตให้เขาได้อีกครั้ง มิสู้ให้ลูกอยู่กับตนไปได้อีกนาน ทั้งไม่ต้องทรมานจากการเจ็บป่วย และไม่ต้องตายอีกครั้ง
สมองของนักพรตไท่หยางทำงานรวดเร็วนึกย้อนไปถึงตำราวิชาต้องห้ามเล่มนั้น หนึ่งในนั้นคือวิธีฝีกผีน้อยที่ก่อตัวขึ้นมาในหัว