ตอนที่ 584 เรามีความแค้นอะไรกัน
พิธีกรรมของนักพรตไท่หยางนั้นแท้จริงแล้วเหมือนกับการเลี้ยงศพที่มีชีวิตไม่มีผิด ทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นศพเดินได้ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะไปได้ถึงไหน ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ในเมื่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะต้องถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นสิ่งที่ดุร้าย ชั่วร้าย และเหี้ยมโหดมากขึ้นอย่างแน่นอน ใช้ราวกับเป็นอาวุธวิเศษของตัวเอง
เนื่องจากเด็กคนนั้นได้ดูดซับแก่นแท้ของเลือดและวิญญาณที่ขุ่นเคืองของบิดามารดา แม้ว่านักพรตไท่หยางจะยังไม่ตาย แต่พวกเขาก็เป็นร่างเดียวกัน แน่นอนว่ายิ่งแข็งแกร่งเท่าใดก็ยิ่งดีสำหรับตัวเอง
เมื่อจิ่งเสี่ยวซื่อนึกถึงจิ่งอู่ที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว และอาจทำร้ายผู้คนมากมาย ในใจก็รู้สึกไม่ดี
แต่นั่นก็เป็นบาปกรรมที่บิดามารดาของเขาสร้างขึ้นมา ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น
จิ่งเสี่ยวซื่อมองไปยังศพของสะใภ้หนิวที่ตายตาไม่หลับ เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย พวกเขาจะมาแก้แค้นตระกูลจิ่งของพวกเราหรือไม่”
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
จิ่งเสี่ยวซื่อกังวลเป็นอย่างมาก หากเป็นเขา เกรงว่าคงจะไม่ยอมเลิกรา
ฉินหลิวซีเหลือบมองฉังอันโหว เอ่ยเบาๆ ว่า “คนธรรมดาทั่วไป ไม่ไปล่วงเกินนักพรตจะเป็นการดีที่สุด โดยเฉพาะนักพรตที่มีตบะ เพราะหากอีกฝ่ายโจมตีในที่มืดเจ้าไม่สามารถสู้เขาได้เลย อย่างเช่นตอนนี้ หากเป็นพวกเจ้า เขาก็คงไม่ปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว”
อาจเป็นเพราะสีหน้าของฉังอันโหวยังเขียวคล้ำไม่พอ นางเอ่ยต่อไปว่า “อีกอย่าง สำหรับนักพรตไท่หยางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ถือว่าครอบครัวถูกทำลายจนหมดสิ้น ความแค้นของครอบครัวความแค้นนี้จะไม่แก้แค้นได้หรือ”
ฉังอันโหวขนลุก มองไปยังจิ่งเสี่ยวซื่อ ส่งสายตาให้เขา
จิ่งเสี่ยวซื่อขมวดคิ้วแน่น “ตอนนี้พวกเราอยู่ในที่สว่าง เขาอยู่ในที่มืด พวกเราไม่อาจป้องกันได้ ท่านเจ้าอาวาสน้อย เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านสักหน่อย”
ฉินหลิวซีถอนหายใจ “หรือว่าพวกเจ้าลืมปรมาจารย์ไท่เฉิงอารามจินหัวไปแล้ว”
จิ่งเสี่ยวซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง
“นักพรตไท่หยางมาจากอารามจินหัว หากข้าเป็นพวกเจ้า ก็จะไปหาเจ้าอาวาสอารามจินหัว บอกเขาทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอให้เขาปกป้องและมอบเครื่องรางแคล้วคลาดอะไรเหล่านั้นให้” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “เมื่อเขามอบให้แล้ว หากนักพรตไท่หยางผู้นั้นลงมือกับพวกเจ้าขึ้นมาจริงๆ เหอะ ทันทีที่สะท้อนกลับ คงจะน่าดูไม่น้อย ควรให้เจ้าอาวาสอารามจินหัวรู้ว่าสิ่งที่ควรตัดขาดแล้วไม่ตัดจะทำให้เกิดความวุ่นวาย เป็นก้อนหินที่หล่นทับเท้าตัวเอง”
เมื่อฉังอันโหวได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่หลัง นางน่ากลัวเกินไปแล้ว นี่เป็นการให้พวกเขากัดกันเองไม่ใช่หรือ
นี่มันความแค้นอะไรกัน
ขาดคุณธรรมอันยิ่งใหญ่แล้วกระมัง
ฉังอันโหวสงสัยว่าตัวเองเคยไปล่วงเกินเจ้าเด็กคนนี้เมื่อก่อนหน้านี้อย่างไม่รู้ตัวจริงๆ หรือไม่ นางสามารถทำลายอาคมให้เจ้าสี่ได้ คงจะเก่งกว่าไท่หยางผู้นั้น หากจะจัดการใคร ก็ยิ่งทำเรื่องสกปรกได้ง่ายกว่ากระมัง
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยม ต้องหลีกเลี่ยงไว้
ปรมาจารย์ไท่เฉิงที่กำลังปิดตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นที่ท้ายทอย ก่อนจะลืมตาขึ้น รู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย ความรู้สึกนี้คุ้นเคยมาก หรือว่าเจ้าเด็กเหลือขอผู้นั้นกำลังลอบวางแผนข้กับาอีกแล้ว
ไม่จบไม่สิ้นใช่หรือไม่
จิ่งเสี่ยวซื่อพิจารณาคำพูดของฉินหลิวซีอย่างละเอียด ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล การเชิญปรมาจารย์ไท่เฉิงมาอย่างโจ่งแจ้ง จะทำให้นักพรตไท่หยางผู้นั้นลูบหน้าปะจมูก
เขายกมือคำนับฉินหลิวซี “ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสน้อยที่แนะนำ”
ในเวลานี้ฉังอันโหวได้กล่าวขึ้นมาว่า “แม้ว่าจะต้องปรึกษากับปรมาจารย์ไท่เฉิง คาดว่าเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวก็มีเครื่องรางแคล้วคลาดเหมือนกันกระมัง”
เหยื่อรายใหญ่ได้ติดกับเข้าแล้ว
ฉินหลิวซีแสร้งทำเป็นเงียบขรึม ในที่สุดก็เหลือบมองจิ่งเสี่ยวซื่อ จากนั้นก็หยิบเครื่องรางป้ายไม้เหลยจี[1]หนึ่งอันออกมาจากถุงเงินที่เอวอย่าง ‘ไม่เต็มใจ’ แล้วยื่นส่งไปให้ “ป้ายเครื่องรางไม้เหลยจี สังหารสิ่งชั่วร้าย ปราบปีศาจ ปกป้องชีวิตได้สองครั้ง เห็นแก่จิ่งเสี่ยวซื่อ จะลดให้เหลือหนึ่งหมื่นตำลึง”
เส้นเลือดบนหน้าผากของฉังอันโหวเต้นตุบๆ หนึ่งหมื่นตำลัง คิดจะปล้นกันหรือ!
“แพงเกินไปหรือ” ฉินหลิวซีทำเป็นเก็บกลับไป “ช่างเถิด อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้อยากขายมากนัก พวกเราไม่มีวาสนาต่อกัน”
“มีสิ” ฉังอันโหวดึงกลับคืนมา จะต้องมีอย่างแน่นอน วาสนาเงินทอง
ฉินหลิวซียังคงเอ่ยอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย “พกติดตัวไว้เถิด”
ฉังอันโหวเก็บไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทางเคร่งขรึม จากนั้นก็มองดูศพบนเตียง ถามว่า “ควรจัดการกับศพนี้อย่างไร”
“แน่นอนว่าต้องฝัง แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะกลับมาหาท่าน อย่างไรเสียดวงวิญญาณก็ถูกดูดกลืนไปแล้ว นางไม่มีตัวตนอีกต่อไป” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “หากท่านโหวเห็นแก่ศักดิ์ศรี ก็เอาใส่ไว้ในโลงศพบางๆ เถิด อย่างไรเสียครั้งหนึ่งเคยเป็นสามีภรรยาย่อมมีความรู้สึกผูกพัน”
ฉังอันโหวเม้มริมฝีปากไม่เอ่ยอะไร
จิ่งเสี่ยวซื่อได้เดินออกไปกับฉินหลิวซีแล้ว
ส่วนผีต้นไม้ที่มองฉังอันโหวด้วยความอาลัยอาวรณ์ ก็ถูกฉินหลิวซีลากออกไปด้วย
“ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าบอกไปหมดแล้ว ท่านคงจะไม่ให้ข้าไปเกิดใหม่จริงๆ หรอกกระมัง” ผีต้นไม้คร่ำครวญ
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ใครจะไปสนใจว่าเจ้าจะไปเกิดหรือไม่ สิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ได้ยินแล้วกระมัง เจ้าเข้ามาในนี้ ตามเขาไปหาปรมาจารย์ไท่เฉิงที่อารามจินหัวแล้วอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน”
“ทำไมต้องเป็นข้า” ผีต้นไม้ต่อต้านเล็กน้อย “นั่นคืออารามเต๋าเชียวนะ ผีเฒ่าอย่างข้าเข้าไปในสถานที่เช่นนั้น ก็เท่ากับแกะเข้าปากเสือไม่ใช่หรือ”
“เพราะว่าเจ้าเป็นผีที่เห็นเหตุการณ์ หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร” ฉินหลิวซีชี้ไปที่ตุ๊กตากระดาษแล้วเอ่ยว่า “ตราบใดที่เจ้าสิงอยู่ที่ตุ๊กตากระดาษ ก็ไม่ต้องกลัวที่จะเข้าไปในอารามเต๋าแห่งนั้น”
ผีต้นไม้ยังคงไม่เต็มใจเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ไปเกิดเถิด” ฉินหลิวซีแสร้งทำเป็นดึงวิญญาณของเขา
“อย่า อย่านะ ข้าไป ข้าไปแล้วพอใจหรือไม่” ผีต้นไม้ลอยเข้าไปสิงที่ตุ๊กตากระดาษทันที ลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ ซ้ำยังหมุนตัวเป็นวงกลม ราวกับรู้สึกแปลกใหม่กับร่างกายกระดาษของตัวเองเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีส่งตุ๊กตากระดาษให้จิ่งเสี่ยวซื่อพลางเอ่ย “เมื่อไปถึงอารามเต๋า แค่กล่าวตามความจริงก็พอ”
จิ่งเสี่ยวซื่อมองดูตุ๊กตากระดาษปีนขึ้นไปบนแขนของเขา รู้สึกว่าแขนข้างนั้นเกร็งเล็กน้อย แต่กลับพยักหน้า
ฉินหลิวซีมอบเครื่องรางให้เขาพกไว้อีกหนึ่งอัน “ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง”
จิ่งเสี่ยวซื่อเม้มริมฝีปาก “เช่นนั้นข้าไม่ขอปฏิเสธ”
ฉินหลิวซีโบกมือ นั่งบนรถม้าของจวนฉังอันโหวแล้วจากไป
ฉังอันโหวเดินออกมา เรียกบ่าวรับใช้มาเก็บศพ ยืนมือไขว้หลัง กล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “ไว้เจ้าส่งตั๋วเงินไปด้วยในภายหลัง”
“ขอรับ”
ฉังอันโหวเห็นว่าเขาท่าทางเฉยเมย หันศีรษะเล็กน้อย เห็นตุ๊กตากระดาษตัวน้อยวิ่งมาหาเขา ตกใจจนก้าวถอยหลังในทันที นี่มันอะไรกัน
“ท่านโหว เป็นข้าเอง ผีต้นท้อ”
ตุ๊กตากระดาษพูดได้
ไม่สิ ผีต้นไม้สิงตุ๊กตากระดาษ ซ้ำยังพูดได้
ฉังอันโหวหลบตุ๊กตากระดาษก่อนจะเอ่ย “ไม่ควรรอช้า พวกเราไปที่อารามจินหัวเดี๋ยวนี้เลย เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา”
จิ่งเสี่ยวซื่อพยักหน้า
สองพ่อลูกนั่งบนรถม้า มุ่งหน้าไปอารามจินหัวโดยไม่กล่าวอะไรสักคำตลอดทาง
เมื่อคนรับแขกของอารามจินหัวเห็นจอมมารฉังอันโหวผู้นี้ก็รู้สึกปวดหัว เนื่องจากความหยิ่งยโสและเผด็จการของฉังอันโหว ทำให้ชื่อเสียงอารามจินหัวของพวกเขาตกต่ำ ตอนนี้ยังกล้ามาเยือนอีกหรือ
คนรับแขกบอกว่าเจ้าอาวาสกำลังปิดตัวฝึกบำเพ็ญ ไม่พบท่านผู้ประเสริฐ กำลังคิดจะไล่แขก จิ่งเสี่ยวซื่อจึงกล่าวว่า “โปรดบอกเจ้าอาวาสว่านักพรตไท่หยางได้หล่อหลอมให้จิ่งอู่กลายเป็นศพเดินได้แล้ว ค่อยให้เจ้าอาวาสตัดสินใจว่าจะพบพวกเราหรือไม่”
คนรับแขกตกใจเป็นอย่างมาก เห็นว่าพวกเขาไม่เหมือนกำลังล้อเล่น จึงรีบไปรายงานทันที
ปรมาจารย์ไท่เฉิงก็ตกใจเช่นกัน ให้พวกเขาเข้ามา จิ่งเสี่ยวซื่อก็ไม่ได้อ้อมค้อม บอกถึงจุดประสงค์ของการมาเยือนอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็ปล่อยให้พยานผีรายงาน
ปรมาจารย์ไท่เฉิงมีสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ เพียงแค่มองสองคนหนึ่งผีแล้วกล่าวว่า “ขอล่วงเกินถามหนึ่งประโยค ลำพังพวกท่านไม่มีทางบงการผีต้นไม้ตนนี้ได้อย่างแน่นอน ผู้ที่ช่วยพวกท่านคือสหายเต๋าท่านไหนกันหรือ”
จิ่งเสี่ยวซื่อระมัดระวังและเงียบไว้
“เป็นสหายเต๋าอารามชิงผิงใช่หรือไม่” ทันทีที่ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าวออกมา และเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของพวกเขาก็เข้าใจแล้ว เขาเดาถูก
ชื่อหยวนคนเจ้าเล่ห์ เรามีความแค้นอะไรกัน ทำไม่ต้องมายุ่งกับข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
[1] ไม้เหลยจี “ไม้ฟ้าผ่า” หมายถึง ไม้ที่เหลือจากต้นไม้ที่ปลูกตามปกติซึ่งถูกฟ้าผ่า