คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 592 อันธพาลตัวน้อยเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 592 อันธพาลตัวน้อยเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก

ปรมาจารย์ไท่เฉิงคิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะโจมตีอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ โดยปกติแล้วหลังจากที่ทำลายมนต์บังตาของฝ่ายตรงข้าม การตอบสนองแรกควรเป็นการสักถามฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่หรือ

แต่เขาคิดไม่ถึงว่านางจะใช้เข็มแทงโดยที่ยังไม่ได้คุยกัน ซ้ำยังแทงที่จุดฝังเข็ม ทั้งปวดทั้งชา จงใจ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนผู้นี้ต้องจงใจแน่ๆ

ไม่แปลกใจเลยที่ทำเรื่องลอบวางแผนเขาได้อย่างแนบเนียน คาดว่าทำจนชินแล้ว

ปรมาจารย์ไท่เฉิงถูกเข็มแทงลงไปในจุดฝังเข็ม เกือบจะตกลงมาจากชั้นสอง รีบใช้พละกำลังทรงตัวไว้ พลิกตัวอย่างคล่องแคล่ว มือข้างหนึ่งคว้าขอบหน้าต่างแล้วดีดตัวขึ้นมา กระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง ลงบนพื้นอย่างสมบูรณ์แบบ

ตึก

ปรมาจารย์ไท่เฉิงยืนขึ้น มีความภาคภูมิใจที่มุมปาก แต่กลับยืนตัวตรงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงหนวดเคราบนริมฝีปากของเขาที่สั่นเล็กน้อย

เถิงเจาหูตาไว มองดูเขาแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เอวเคล็ดแล้ว”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองมา อยากจะบอกว่าไม่ใช่ เขาสบายดี

“อายุเยอะแล้ว กระดูกเปราะ ควรใส่ใจกับการดูแลร่างกายสักหน่อย มีประตูดีๆ ไม่เดินเข้ามา ดันไปปีนหน้าต่าง” เถิงเจาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “สง่างามแต่มีความเสี่ยง”

ผีน้อยที่ไหนกัน กล่าวเสียดสีทุกคำพูด แต่กลับท่าทางจริงจัง

เถิงเจาเอ่ยอีกว่า “ท่านอาจารย์ของข้าจัดกระดูกได้ ขอเพียงค่ารักษาหนึ่งพันตำลึงเท่านั้น”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเบิกตาโต อะไรกัน เขามาที่นี่เพื่อก่อกวน เหตุใดสถานการณ์จึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ช่วยทำให้ดูตึงเครียดสักหน่อยไม่ได้หรือ

เขากลับไม่รู้ว่าเถิงเจาก็สามารถดูพลังงานได้เช่นกัน เขาสามารถรับรู้ได้ว่าผู้ที่มาไม่ประสงค์ดี แต่ก็สามารถเห็นแสงสีทองแห่งบุญกุศลบนตัวของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้สว่างจนแสบตาเท่าของอาจารย์ แต่ก็พอมีอยู่บ้าง อีกทั้งเจตนาร้ายก็ไม่ได้มากนัก

“เด็กน้อยอย่างเจ้า จะเคารพผู้อาวุโสก็ต้องดูให้ดี เลือกเหรียญทงเม่ยของเจ้าไป” ฉินหลิวซีผลักเถิงเจาไปที่กระบุงเหรียญทองแดง จากนั้นจึงได้มองปรมาจารย์ไท่เฉิง ก่อนจะเอ่ย “ในเมื่อท่านปรมาจารย์มาถึงที่นี่แล้ว ข้าก็จะไม่อ้อมค้อมกับท่านปรมาจารย์แล้ว จะมาคิดบัญชีเรื่องก่อนหน้านี้หรืออยากต่อสู้อาคมหรือ”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงหรี่ตาลง เอ่ย “เจ้าคือลูกศิษย์ของชื่อหยวนหรือ”

“ท่านได้ทำนายมาแล้วไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีกล่าวพลางยิ้มใบหน้านิ่ง

เมื่อปรมาจารย์ไท่เฉิงเห็นว่านางสงบนิ่งเช่นนี้ก็แอบตกใจ การฝึกบำเพ็ญของชื่อหยวนถดถอย ไม่มีความหวังไปถึงขั้นสร้างรากฐาน แต่เขากลับรับลูกศิษย์เช่นนี้ ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังมองเบื้องลึกไม่ออก ซ้ำยังมีแสงสีทองแห่งบุญกุศล เอ๋…

ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองดูแสงสีทองที่อยู่รอบตัวนาง แต่ดูเหมือนว่าจะมีรอยแยกอยู่ข้างหลัง มีแสงสีทองไหลออกไป เหตุใดเด็กคนนี้จึงได้แปลกขนาดนี้

เขาจ้องมองอย่างตั้งใจเพื่อดูความจริง แต่กลับแสบตา หน้าอกรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา มีเลือดกระอักขึ้นมาในลำคอ เขารีบหลับตาทันที ท่องบทสวดสงบจิตอย่างเงียบๆ กดเลือดในลำคอลงไป

เมื่อปรมาจารย์ไท่เฉิงลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาที่มองฉินหลิวซีแฝงไว้ด้วยความครุ่นคิดและหวั่นเกรง

ฉินหลิวซีหรี่ตาลง ตาเฒ่าผู้นี้ดูเหมือนจะถูกผลสะท้อนกลับ แต่นางยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไยจึงได้เป็นเช่นนี้ หรือว่าเป็นเพราะบาปกรรม

ใบหน้าของนางเผยให้เห็นร่องรอยของการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นในทันที

ปรมาจารย์ไท่เฉิงสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ย “แม้ว่าข้าจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาจารย์ชื่อหยวนของเจ้า แต่ก็เคยทักทายกันอยู่บ้าง ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีต่อกัน แต่เหตุใดเจ้าจึงได้มุ่งเป้ามาที่ข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“ท่านปรมาจารย์ อย่างได้กล่าวเหลวไหล ข้าจะมุ่งเป้าไปที่ท่านได้อย่างไร ท่านและข้าพึ่งจะได้เจอกันครั้งแรก” ใช่แล้ว ไม่ได้มุ่งเป้า มีเพียงลอบวางแผน

ปรมาจารย์ไท่เฉิงสบถ “เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง ในเมื่อข้ามาหาเจ้า ย่อมรู้ดีว่าเจ้าเป็นคนทำ”

“คิดไม่ถึงว่าท่านปรมาจารย์จะมองข้าสูงขนาดนี้เลยหรือ” ฉินหลิวซีแสร้งทำเป็นเขินอายพลางเอ่ยว่า “ตาเฒ่าของข้ามักจะเตือนข้าเสมอว่าอย่าได้ชะล่าใจ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน อย่าได้หยิ่งผยอง ควรจะให้เขาได้เห็นว่าท่านชื่นชมข้าอย่างไร”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงคำรามอยู่ในใจ ‘ข้าไม่ได้ชื่นชม ข้ากำลังเหน็บแนมต่างหาก!’

แต่ดูท่าทางนางขบขันและมีไหวพริบ ก็คืออันธพาลตัวน้อย ซึ่งไม่สมเหตุสมผล

“สหายเต๋าน้อย ทำอะไรไว้ในใจเจ้ารู้ดี ยังยืนยันคำเดิม ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับอารามของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงต้องวางกับดักข้า เสวียนเหมินในใต้หล้านี้ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสหายเต๋าเหมือนกัน พวกเราควรจะดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงจะถูก”

ฉินหลิวซีถอนหายใจ เอ่ยว่า “คงเมื่อเดือนที่แล้วกระมัง อารามชิงผิงของพวกเราได้ต้อนรับสหายเต๋าสองคน คนหนึ่งนามว่าเสวียนชิงจื่อ อีกคนหนึ่งนามว่าหลิงชิงหรือว่าชิงหลิงเซียนจื่ออะไรสักอย่าง”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงสีหน้าตึงเครียด

นี่เป็นศิษย์ทั้งสองของเขาไม่ใช่หรือ

“พวกเขาบอกว่าตามหาผีร้ายที่หายไปหนึ่งตน จึงมาขอความช่วยเหลือที่อารามเต๋าของพวกเรา แต่พวกเขาคงจะทำตัวสูงส่งจนติดเป็นนิสัย มาขอร้องราวกับออกคำสั่ง โดยเฉพาะเซียนจื่อผู้นั้น ยกย่องอาจารย์ของพวกเขาว่าได้ฝึกบำเพ็ญถึงขึ้นสร้างรากฐานต่อหน้าอาจารย์ของข้า จากนั้นก็ถามถึงการฝึกบำเพ็ญของอาจารย์ของข้าอย่างตรงไปตรงมา อะไรก็ไม่รู้!”

น้ำเสียงของฉินหลิวซีเย็นชาเล็กน้อย “การฝึกบำเพ็ญของตาเฒ่าเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นเล็กจะมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตาเฒ่าของข้าไม่ถือสาเด็กรุ่นเล็ก แต่ข้านั้นแตกต่าง ใครต่อต้านกับเขา ข้าก็จะใช้ความแข็งแกร่งต่อต้านคนผู้นั้น เพราะความแข็งแกร่งของข้าสามารถพิสูจน์ถึงคำสอนของตาเฒ่าได้ สุดท้ายท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นอย่างไร ข้าพาพวกเขาไปจับผีร้ายตนนั้น ผีร้ายตนนั้นใช้ภาพลวงตาทำเอาพวกเขาฉี่ราด ให้พวกเขาตายอย่างไม่อาจทำอะไรได้ โชคดีที่ข้าออกโรงจึงได้ช่วยชีวิตน้อยๆ กลับมาได้ เฮ้อ แล้วยังมาบอกว่าฝึกฝนพลังขั้นสองขั้นสาม ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ”

คำพูดเหน็บแนมนี้ ทำเอาปรมาจารย์ไท่เฉิงละอายใจ ที่แท้เจ้าเด็กชิงหลิงก็ไปล่วงเกินเขาไว้ เขารู้อยู่แล้วว่านิสัยของนางเป็นแบบนี้ เพราะว่าถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องในอารามตามใจจนเสียคน คิดไม่ถึงว่าออกไปผจญภัยก็ยังไม่รู้จักควบคุมตนเอง

“เดิมทีข้าไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้าเด็กน้อยสองคนนั่นก็ไม่ได้คุ้มค่าที่ข้าจะมาเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่ใช่หรือ แต่ข้าดันรับผู้ศรัทธามาหนึ่งคน ถูกคนร่ายมนต์ดำขโมยชีวิต เมื่อครู่ท่านปรมาจารย์ก็กล่าวไปแล้วว่าปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋าเป็นหน้าที่ของคนในเสวียนเหมินอย่างพวกเรา”

ปรมาจารย์ไท่เฉิง ‘ข้าไม่ได้พูด เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้า!’

ฉินหลิวซีฉีกยิ้มพลางเอ่ย “พวกเราเป็นฝ่ายคุณธรรมไม่ใช่หรือ ย่อมไม่สามารถทนดูมนต์ดำชั่วร้ายเหล่านั้นได้ หากไม่รู้ก็แล้วไป แต่เมื่อรู้แล้วซ้ำยังได้รับการขอความช่วยเหลือ ย่อมต้องจัดการ”

เถิงเจาที่เงี่ยหูฟังอยู่ด้านข้าง ‘ไม่ใช่ เป็นเพราะจิ่งเสี่ยวซื่อให้ค่าตอบแทนมากมายต่างหาก!’

ปรมาจารย์ไท่เฉิงอยากจะบอกว่า ‘เจ้าเนี่ยนะฝ่ายคุณธรรม คนฝ่ายคุณธรรมไม่มีทางสั่งให้ผีหยาบคายตนนั้นมาขโมยกางเกงซับในข้า!’

แต่ประวัติดำมืดเช่นนี้ อย่าเอ่ยถึงจะดีกว่า จะเสียภาพลักษณ์ เกิดนางไม่ยอมรับขึ้นมาเล่า

ไม่สิ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนผู้นี้ไม่มีวันยอมรับหรอก!

“ข้าทำลายคาถาชั่วร้ายนี้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่านักพรตมารที่สมควรตายผู้นั้นจะไม่รู้สึกสำนึกตน ซ้ำยังคิดจะร่ายคาถาลอบโจมตีข้า ข้าจึงทำได้เพียงตอบโต้ เป็นเรื่องจริงที่พวกเราเป็นผู้ที่ออกบวช แต่ไม่ใช่ชาวพุทธที่ละเว้นจากการฆ่า คงจะไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้คนมารังแกได้ คนอื่นมารังแก ก็ต้องตอบโต้ ท่านปรมาจารย์ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่”

ฉินหลิวซีดวงตาเป็นประกาย เร็วเข้า ชมว่าข้าฉลาด

สีหน้าของปรมาจารย์ไท่เฉิงมืดครึ้มไปหมด เจ้าเด็กเมื่อวานซืนผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!

เมื่อฉินหลิวซีเอ่ยเช่นนี้ เขาก็เข้าใจแล้ว ผู้ที่ทำลายอาคมของไท่หยาง ซ้ำยังให้เขารับผลสะท้อนกลับนั้นก็คือนาง ก่อนหน้านี้เป็นพวกเสวียนชิงจื่อสองคนนั่น ต่อมาเป็นไท่หยาง ความแค้นทั้งเก่าและใหม่รวมกัน นางจดบัญชีแค้นนี้ไว้ที่อารามจินหัว

เมื่อนางต้องการคิดบัญชีก็ไม่ได้ไปหาใคร มุ่งไปที่เขาในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ เป็นศิษย์พี่ และยังเป็นเจ้าอาวาสโดยตรง คิดบัญชีรวมกัน จากนั้นเขาก็ถูกลอบวางกับดัก!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท