คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 600 มีคนมาช่วยถือหางแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 600 มีคนมาช่วยถือหางแล้ว

ฉินหลิวซีมองดูใบหน้าของคนตระกูลจังเหล่านั้น รู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย สมองเช่นนี้เหตุใดจึงสามารถกล่อมลวี่เซี่ยวซานจนกลับตาลปัตรได้ แสดงละครเป็นเวลาหลายปีซ้ำยังไม่ถูกจับได้

ดูแล้วก็ไม่ใช่คนฉลาดนัก

หรือว่าเป็นเพราะถูกต้อนจนตรอก

เอ้ย ดูเหมือนคำสุภาษิตนี้จะไม่ได้ใช้เช่นนี้

เช่นนั้นก็คงบอกได้เพียงแค่ว่าตกจากสวรรค์ลงมาสู่นรกภายในวันเดียว ถูกแรงกระตุ้นครั้งใหญ่ ความฉลาดจึงหายไป

“คนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ท่านจะดูอยู่เฉยๆ เช่นนี้ แล้วปล่อยให้พวกเขาพูดจาเหลวไหลหรือ” เถิงเจากังวลเล็กน้อย

ฉินหลิวซีหันมา เอ่ยว่า “เจ้าจะรีบร้อนไปทำไม ลองดูให้ดีๆ สิ พวกเราเป็นนักต้มตุ๋น ไม่ใช่ เป็นนักพรตเต๋า ยังต้องเจอเรื่องเช่นนี้อีกมากมายบนเส้นทางแห่งการฝึกฝน เพราะว่ายิ่งเจ้าได้เรียนรู้มากมายเท่าใด ก็จะยิ่งมองเห็นได้ชัดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าควบคุมปากของตัวเองไม่ได้ เอ่ยความจริงออกมา ชะตาชีวิตของคนมากมายก็จะเปลี่ยนไป คนที่เปลี่ยนเป็นดีก็จะรู้สึกขอบคุณเจ้า ส่วนคนที่รับไม่ไหวก็จะโทษเจ้า ด่าเจ้า เกลียดชังเจ้า เหมือนกับที่พวกเขาอยากจะฉีกอาจารย์เป็นชิ้นๆ”

นางชี้ไปที่คนตระกูลจัง เอ่ยอีกว่า “พวกเขาโทษที่อาจารย์พูดมาก ทำลายชีวิตอันสงบสุขและมั่งคั่งของพวกเขา เช่นเดียวกับความเกลียดชังที่ตัดอนาคตอันสดใสและฆ่าบิดามารดาของผู้คน เจ้าดูความขุ่นเคืองของพวกเขา สามารถพุ่งขึ้นเสียดฟ้าได้แล้ว”

เถิงเจามุมปากกระตุกเล็กน้อย ยามนี้ใช่เวลามาสั่งสอนหรือ

เขาอดกลั้น เอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านควรทำอย่างไร”

“ควรทำอย่างไร” ไม่รู้ว่าเฟิงซิวขึ้นมาบนหลังคาตั้งแต่เมื่อใด ยืนมือไขว้หลังมองตัวตลกที่อยู่ด้านล่าง เอ่ยว่า “มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของอาจารย์เจ้า หากนางอารมณ์ไม่ดี แม้แต่จะคุกเข่าต่อหน้านางเกรงว่าพวกเขาก็ไม่กล้าแล้ว”

ฉินหลิวซีกลอกตาใส่เขา เอ่ยกับเถิงเจาว่า “อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล พวกเราเป็นนักพรตฝ่ายคุณธรรม ต้องพิชิตใจคนด้วยคุณธรรม”

เข้าใจแล้ว ยกเว้นการลอบวางแผน!

“เจ้าไม่จำเป็นต้องโกรธพวกเขา หากพวกเขากล้าสาดน้ำสกปรกเช่นนี้จึงจะเป็นการกล่าวหาโดยแท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกล่าวหาอาจารย์” ฉินหลิวซีถ่มเปลือกเมล็ดแตง

เฟิงซิวเอ่ยว่า “มีคนมาช่วยถือหางอาจารย์เจ้าแล้ว”

น้ำเสียงนี้ฟังดูอิจฉา

เถิงเจามองออกไป มีคนควบม้าวิ่งมาทางนี้ ข้างหลังยังมีสุนัขตามมาเป็นขบวน เอ้ย องครักษ์

“ทันทีที่เขาออกโรง เกรงว่าท่านจะมีชื่อเสียงในเมืองหลวงจริงๆ แล้ว” เฟิงซิวมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยว่า “เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าแม้แต่ในวังก็จะสังเกตเห็นเจ้า”

คนที่มาคือมู่ซี สถานะของเขาได้กำหนดไว้แล้วว่าไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่สามารถถ่อมตนได้ เมื่อเขาช่วยถือหางให้ฉินหลิวซีแล้ว นางไม่อยากมีชื่อเสียงนั้นเป็นเรื่องยาก

“กลัวอะไร อย่างไรเสียข้าก็เตรียมกลับเมืองหลีอยู่แล้ว” ฉินหลิวซีปัดเปลือกเมล็ดแตงบนมือ ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย “แต่ไยจึงมีเขาไปเสียทุกที่ อันธพาลน้อยอันดับหนึ่งไม่ควรไปเตร็ดเตร่อยู่ในสถานที่รื่นเริง เที่ยวเล่นไปวันๆ หรอกหรือ มาทำอะไรอยู่รอบๆ โรงประมูลจิ่วเสียนทั้งวัน”

เฟิงซิวสบถ ก็เป็นเจ้าที่ไปดึงดูดผึ้งป่าและผีเสื้อมาเองไม่ใช่หรือ

มู่ซีกระโดดลงจากหลังม้า ในมือถือแส้ม้าที่มีด้ามจับฝังด้วยอัญมณีเจ็ดสี ภายใต้แสงแดดสว่างไสว อัญมณีได้เปล่งประกายสีสันเจ็ดสีออกมา

“อัญมณีนี้ควรฝังไว้บนบัลลังก์ของเจ้าลัทธิเต๋าของพวกเรา เจาเจา เจ้าว่าใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีมองไปที่ด้านจับที่อยู่ในมือของมู่ซีด้วยความโลภ คันไม้คันมือเล็กน้อย อยากจะไปแงะออกมาจริงๆ

เถิงเจามุมปากกระตุก ยากที่จะบอกได้ว่าใช่หรือไม่ รู้เพียงว่าท่านกลายเป็นเชือกร้อยเงินไปแล้ว

การมาของมู่ซี ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งและเผด็จการของอันธพาลน้อย ทำให้ทุกคนที่มาดูความครึกครื้นต่างถอยหลังไปสองก้าว แต่ดวงตากลับยิ่งมีความสนใจมากขึ้น

ว่ากันว่ามู่ซื่อจื่อจอมเสเพลอันดับหนึ่งในเมืองหลวงนั้นไม่เอาอะไรสักอย่าง เย่อหยิ่ง กล้าล่วงเกินทุกคน หากเขารู้สึกว่ามีเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด ตราบใดที่เขาคิดว่าถูกเขาก็จะออกโรง ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายได้เพียงแต่ทอดถอนใจที่ตัวเองโชคร้าย

ดังนั้นการมาของมู่ซื่อจื่อผู้นี้ หรือว่ามาเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับคนตระกูลจัง

ถูกต้องแล้ว ตระกูลจังไม่ได้มีความแค้นใจกับนักต้มตุ๋นผู้นี้ แต่ถูกนักต้มตุ๋นเอ่ยสองสามประโยคก็ทำเอาสามีภรรยาต้องหย่าร้าง ครอบครัวที่เดิมทีสงบสุขก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เป็นใคร ใครก็โกรธ

เมื่อคนตระกูลจังเห็นมู่ซีก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ทั้งยังมีความหวังเล็กน้อย หรือว่าตระกูลของตัวเองจะโชคดีที่ได้พบมู่ซื่อจื่อมาช่วยออกโรงตัดสินให้

ก่อนที่มารดาตระกูลจังจะทำอะไร คุณหนูจังที่ปีนี้อายุเพียงสิบสี่ปีก็กัดริมฝีปาก คุกเข่าลงตรงหน้ามู่ซื่อจื่อ เงยใบหน้าเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือดั่งดอกสาลี่ที่เปื้อนไปด้วยสายฝน เอ่ยด้วยความน้อยใจว่า “ท่านซื่อจื่อ ทุกคนต่างบอกว่าท่านเป็นคนยุติธรรม ขอให้ท่านซื่อจื่อช่วยทวงความเป็นธรรมให้กับตระกูลจังของพวกเราด้วยเถิด”

บนหลังคา ฉินหลิวซีกำเมล็ดแตงออกมาใหม่ เอ่ยอย่างออกรสออกชาติว่า “ข้าเดิมพันด้วยแตงหนึ่งเมล็ด เจตนาเดิมของนางนั้นไม่ได้อยู่ที่จุดนี้ แต่อยู่ที่จุดอื่น คิดที่จะปีนขึ้นที่สูงล้วนๆ”

เฟิงซิวพูดไม่ออก นายท่านช่วยใจป้ำกว่านี้สักหน่อยเถิด

เถิงเจาเหลือบมองคุณหนูจังผู้เสแสร้งอย่างเย็นชา สมองมีหลุมบ่อ ล้วนเต็มไปด้วยน้ำ

จู่ๆ คุณหนูจังก็พุ่งเข้ามา ทำเอามู่ซีตกใจจนชะงักฝีเท้า ก้าวถอยหลัง เอ่ยว่า “เจ้าเป็นใครกัน ขอเตือนว่าอย่าพุ่งมามั่วซั่ว กระโจนเข้ามาแล้วก็จะมาให้ข้ารับผิดชอบเจ้า ฝันไปเถอะ!”

คึๆ

ใครบางคนในฝูงชนหัวเราะออกมา

คุณหนูจังสีหน้าแดงก่ำ ยิ่งรู้สึกน้อยใจกว่าเดิม นี่ไม่ใช่บทที่นางคิดไว้

มู่ซีมองสำรวจนางกับคนตระกูลจัง สีหน้ามืดลงในทันที หรี่ตาลงพลางเอ่ย “เป็นพวกเจ้าที่มาคิดบัญชีกับเจ้านักต้มตุ๋นผู้นั้นหรือ แซ่อะไรนะ”

“ซื่อจื่อ แซ่จังขอรับ” บ่าวรับใช้เดินเข้ามา เอ่ยแนะนำว่า “จังหย่งบุตรชายคนโตของตระกูลจังคือรองบัณฑิตจิ้นซื่ออันดับหนึ่ง แต่งงานกับบุตรสาวของแม่ทัพลวี่เทียนผู้ปกป้องแผ่นดินที่กล้าหาญ ดูเหมือนว่าจังหย่งผู้นั้นจะมีอะไรกับสาวใช้ข้างกายของคุณหนูลวี่จนตั้งครรภ์ จึงได้โวยวายจะหย่าร้าง”

“มีหรือข้าจะไม่รู้ ไหนเลยต้องให้เจ้าบอก หลบไป” มู่ซีผลักเขาออก เหลือบมองคนตระกูลจัง “รองบัณฑิตจิ้นซื่ออันดับหนึ่ง จังหย่งไปทำอะไรที่ผิดศีลธรรมมากระมัง จึงได้ติดรองบัณฑิตจิ้นซื่ออันดับหนึ่ง ถูกสวรรค์ลงโทษแล้ว”

การสอบราชสำนักมีสามระดับ ขั้นหนึ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึง ถูกครอบครองโดยจ้วงหยวน[1] ปั่งเหยี่ยน[2] ทั่นฮวา[3] ขั้นสองคือผู้ที่สอบได้อันดับที่สี่ไปจนถึงหนึ่งร้อย รางวัลรองบัณฑิตจิ้นซื่อ หรือผู้ที่ได้ขั้นสามซึ่งมีมากที่สุดจะได้ตำแหน่งรองบัณฑิตจิ้นซื่อ ไม่ต้องพูดถึงความแตกต่าง การเลื่อนตำแหน่งในภายภาคหน้าก็มีข้อจำกัด

ส่วนจังหย่ง แม้ว่าจะอีกแค่ลำดับเดียวก็จะได้เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อแล้ว หรือจะถอยหลังไปหลายลำดับก็ไม่ต่างอะไรกับรองบัณฑิตจิ้นซื่อทั่วไป แต่เขาดันเป็นลำดับหนึ่งของขั้นสาม ไม่สูงไม่ต่ำ เป็นลำดับที่น่าอึดอัดและทำใจยากที่สุด ทำให้หลายคนเอาไปเป็นประเด็นพูดคุย

โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขากำลังมีปัญหาเรื่องการหย่าร้างกับภรรยา ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าเขาประสบกับเทพแห่งความโชคร้ายเสียแล้ว

และการที่มู่ซีเอ่ยอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ก็เป็นการตบหน้าเขาอย่างชัดเจน เสียงดังเพียะ

ในโรงน้ำชาตรงข้ามกับโรงประมูลจิ่วเสียน มีคนได้ยินคำพูดนี้ยังอดส่ายหน้าไม่ได้

เจ้าเด็กมู่ซีผู้นี้อาศัยสถานะในการเป็นทายาทสืบทอดเพียงผู้เดียวของทั้งสองจวน ได้รับความรักจากฮองเฮา ได้รับการคุ้มครองจากฝ่าบาท เป็นที่โปรดปรานของตระกูล กำเริบเสิบสานโดยไร้ความหวาดกลัว มีที่พึ่งพาโดยไม่ต้องกังวลใดๆ เห็นใครแล้วไม่สบายใจก็กำจัดคนนั้น โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างไร เบื้องหลังมีใครหรือไม่ด้วยซ้ำ

หากเอ่ยอย่างไม่น่าฟังคือมู่ซีเป็นจอมเสเพลที่ไม่เอาถ่าน แต่เอ่ยตามตรง มีไม่กี่คนในเมืองหลวงที่ได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริงและเป็นอิสระเหมือนที่เขาทำ ซึ่งทำให้คนต่างอิจฉาตาร้อน

แม้แต่องค์ชายก็ไม่กระทำการหยิ่งผยองเท่าเขา

ขนาดโดนเขาตบหน้าอย่างโจ่งแจ้ง คนตระกูลจังก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะโกรธด้วยซ้ำ ยิ่งไม่กล้าเอ่ยอะไร

[1] จ้วงหยวน อันดับหนึ่ง

[2] ปั่งเหยี่ยน อันดับสอง

[3] ทั่นฮวา อันดับสาม

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท