ตอนที่ 603 มันไม่ใช่เรื่องแค่การไร้ผู้สืบทอด
การเดินออกมาของฉินหลิวซี ดึงดูดให้คนที่มาดูความครึกครื้นชี้มือชี้ไม้ นี่ก็คือหมอลัทธิเต๋าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนี้หรือ ก็ดูเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ไม่ได้ดูท่วงท่าสง่างามเหมือนเทพเซียน
แต่เมื่อเห็นท่าทางประจบประแจงของมู่ซื่อจื่อ ช่างเถิด เอาคำว่า ‘ธรรมดา’ กลับคืนมา
สามารถทำให้มู่ซื่อจื่อที่เป็นถึงจอมเสเพลอันดับหนึ่งในเมืองหลวงราวกับสุนัขเลียแข้งเลียขา ถือว่าเก่งกาจเป็นอย่างมาก อย่าลืมว่าเมื่อท่านนี้มุทะลุขึ้นมา แม้แต่ขุนนางระดับสูงก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา
“ข้าอยู่เป็นเรื่องปกติจะตายไป ว่าแต่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ซ้ำยังบอกว่าแม่นางน้อยกล่าวหาเจ้า เจ้าตั้งใจใส่ความชัดๆ” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเย็นชา
มู่ซีเขม่นตาใส่นาง “เจ้าอย่าไม่รู้จักบุญคุณไปหน่อยเลย ข้ากำลังช่วยออกหน้าให้เจ้าอยู่”
“ขอบใจมาก แต่ไม่จำเป็น กลับไปเที่ยวเล่นเถิด”
มู่ซีโกรธมากกับท่าทีไม่แยแสของนาง ให้ตายเถอะ หากครั้งต่อไปยังออกหน้าช่วยนางอีกข้าคือสุนัข
ฉินหลิวซียืนเอามือไขว้หลัง มองดูมารดาตระกูลจังและคนอื่นๆ จากนั้นก็มองไปยังจังหย่ง ดวงตาอันสวยงามคู่หนึ่งสะท้อนแสงเย็นชา แล้วจึงเอ่ย “พวกเจ้าบอกว่าข้ายุยงให้ลูกสะใภ้คนโตกับบุตรชายเจ้าหย่าร้าง นายหญิงผู้เฒ่าพูดจาเหลวไหลใส่ร้ายผู้อื่นตามอำเภอใจ กล่าวความเท็จเช่นนี้ระวังในภายภาคหน้าเมื่อไปถึงยมโลกจะถูกส่งไปดึงลิ้นที่นรก อย่างไรเสียก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยทำเรื่องผิดศีลธรรม ถึงขั้นแก่ชีวิตคนมาก่อน”
นางสายตาคมกริบ แม่สามีผู้นี้ก็ไม่ใช่คนดี ตอนที่ช่วยคนทำคลอดก็ได้ทำให้ทารกหญิงเสียชีวิต ไม่กลัวบาปกรรม เหอะ
ฉินหลิวซีร่ายคาถา ดึงดวงวิญญาณเด็กทารกหญิงทั้งสองมา หากติดตามนางต่อไปเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำอะไรนางไม่ได้ ซ้ำยังจะวิญญาณแตกสลายไปอย่างไร้สาเหตุ
เมื่อแม่จังเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็ตัวสั่น รู้สึกหนาวในหัวใจ ถอยหลังไปสองสามก้าว มองไปรอบๆ รู้สึกเย็นที่ท้ายทอย
นักต้มตุ๋นผู้นี้ชั่วร้ายมาก
ลวี่เซี่ยวซานเดินมา คำนับฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนแล้ว” จากนั้นนางก็มองไปยังมารดาตระกูลจังและคนอื่นๆ กล่าวว่า “การที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้าตั้งใจอยากจะทำให้ข้าไร้ผู้สืบทอด ไม่มีความเกี่ยวข้องกับใคร แล้วก็อย่าคิดว่าข้าจะยกโทษให้พวกเจ้า”
ฮือฮา
ผู้คนต่างพากันฮือฮา ไร้ทายาทสืบทอด หากมีชื่อเสียงเช่นนี้ จะล้างอย่างไรก็ล้างไม่ออกแล้ว
มารดาตระกูลจังไม่ได้สนใจความชั่วร้ายของฉินหลิวซี เมื่อเห็นว่าลวี่เซี่ยวซานกล่าวเช่นนี้ ก็อดร้อนใจไม่ได้ “เจ้า เจ้าถูกคนทำของใส่จึงได้เป็นเช่นนี้ ไป กลับบ้านไปกับแม่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะไม่ถือสาแล้ว ครอบครัวของพวกเรายังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสวยงามเหมือนเมื่อก่อน”
นางทำท่าจะไปจับมือลวี่เซี่ยวซาน
จังหย่งเข้าไปขวางนาง “ท่านแม่ อย่าทำขายหน้าต่อหน้าคนอื่นอีกเลย”
เขามองไปยังฉินหลิวซี สายตามีความขุ่นเคืองเล็กน้อย เขารู้ตั้งแต่วันนั้นแล้วว่าคนผู้นี้อันตรายมาก ไม่เคยคิดว่าจะอันตรายถึงขั้นนี้ ทำเอาโชคของเขาแปรผันไปทันที
“เจ้ามองข้าทำไม ดูสายตาเจ้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง กำลังด่าข้าอยู่ในใจกระมัง” ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว
จังหย่งรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย รูม่านตาสั่น ถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ใจเต้นราวกับกลอง ไม่กล้าสบตากับนาง กระทั่งหลบตาเล็กน้อย
ฉินหลิวซีโน้มตัวเข้าไปหา เอ่ย “คนทำอะไรไว้สวรรค์ดูอยู่ เจ้าทำอะไรไว้ หนีไม่พ้นสายตาของสวรรค์และสายตาของข้าด้วย”
นางชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง
“พูดจาเหลวไหล” จังหย่งพามารดาและคนอื่นๆ กำลังจะจากไป
มู่ซีพึ่งถูกฉินหลิวซีทำให้โกรธเมื่อครู่นี่ ไฟนี้ยังไม่ได้ถูกบรรเทาลง กล่าวว่า “ข้าให้พวกเจ้าไปแล้วหรือ แล้วพวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร ยังไม่คุมตัวพวกเขาส่งไปศาลปกครองอีก จะปล่อยให้พวกเขามาลอบสังหารข้าหรือ”
จังหย่งสีหน้ามืดมน “ท่านซื่อจื่อ ท่านกำลังยัดเยียดข้อกล่าวหานะขอรับ ชีวิตชาวบ้านตัวเล็กๆ ที่ต้องปากกัดตีนถีบอย่างพวกเราไม่มีค่า ท่านอย่าได้ทำลายชื่อเสียงของฮองเฮาด้วยเหตุนี้จะดีกว่าขอรับ”
“เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ ซ้ำยังเอาพี่สาวข้ามากดดันข้า ข้าเห็นแก่หน้าเจ้าเกินไปแล้วกระมัง” มู่ซียกเท้าขึ้นถีบ ทำเอาเขากระเด็นออกไป จากนั้นก็เตะต่อยเขา
มารดาตระกูลจังกรีดร้องอย่างน่าสังเวช “ฆ่าคนแล้ว”
น่าเสียดายที่ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไป
นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างผู้มีอำนาจกับราษฎรทั่วไป
ฉินหลิวซีรู้สึกหมดสนุกเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “มู่ซื่อจื่อ เห็นสมควรแล้วก็หยุดเถิด หากจะทุบตีก็ไปไกลๆ หน่อย อย่าก่อความวุ่นวายที่โรงประมูลจิ่วเสียนอีก น่ารำคาญ”
นางหันหลังเข้าไปข้างใน
เจียงเหวินเหยียนลากลวี่เซี่ยวซานตามไปทันที
เมื่อมู่ซีเห็นฉินหลิวซีไปแล้วก็กังวลเล็กน้อย ถีบจังหย่งอย่างแรง “ไสหัวไป!”
เขาก็รีบเข้าไปด้วยเช่นกัน
จังหย่งใบหน้าชาจมูกบวม เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเพียงแผ่นหลังของฉินหลิวซี สายตาแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น สบถเสียงดัง เขาสะบัดมือของมารดาออกแล้วเดินโซซัดโซเซออกไป
เขาต้องไปหาคนผู้นั้นดูว่าจะแก้ไขอย่างไรได้ จะปล่อยให้ทุกอย่างจบสิ้นเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อเรื่องสำเร็จแล้ว ความอัปยศอดสูในวันนี้ เขาจะให้ชดใช้ทีละคนอย่างแน่นอน
วันเวลาอีกยาวไกล
ลวี่เซี่ยวซานเดินตามหลังฉินหลิวซี เข้าไปในโถงบุปผา กล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย เรื่องนี้รบกวนท่านแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ วันนั้น ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ”
นางเอ่ยพลางคุกเข่าคำนับอย่างเคร่งขรึม
ฉินหลิวซีมองนาง ขมวดคิ้ว
ลวี่เซี่ยวซานคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน กล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย…”
“ข้าจะไม่ถามว่าตอนนี้ท่านเด็ดขาดเพียงนี้ ถูกหลอกมาหลายปีขนาดนั้นได้อย่างไร หรือเต็มใจที่จะเชื่อในภาพลวงตาเหล่านั้นอย่างโง่งม สรุปก็คือท่านอย่าได้โทษที่ข้าทำลายภาพลวงตานี้”
ลวี่เซี่ยวซานตัวแข็งทื่อ ก้มหน้าลง
ฉินหลิวซีมองดูพลังงานแห่งความตายที่รวบรวมอยู่รอบตัวนาง สะบัดแขนเสื้อปัดออกไปบางส่วน กล่าวว่า “ธนูที่ยิงออกไปจะไม่ย้อนกลับ ในเมื่อท่านเลือกที่จะฟ้องหย่า เช่นนั้นก็ทำได้เพียงสู้จนถึงที่สุด มิเช่นนั้นตระกูลลวี่จะไม่มีอนาคตให้กล่าวถึง”
“หมายความว่าอย่างไรหรือ” ลวี่เซี่ยวซานเงยหน้าขึ้นทันที
มู่ซีที่ยืนพิงประตูอยู่ไม่ไกลก็เงี่ยหูฟังเช่นกัน
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าว่าสามีของท่าน…”
“ข้าหย่าเขาแล้ว ท่านเรียกชื่อจริงของเขาเถิด”
“อ้อ ข้าดูโหงวเฮ้งของจังหย่งอดีตสามีท่าน เดิมทีเขาควรเป็นคนที่ด้อยกว่าผู้อื่นและไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น แต่เขากลับเจริญรุ่งเรือง ซ้ำยังร่ำรวยและมีหน้าที่การงาน พลังงานโชครอบตัวก็มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งนี่ไม่สอดคล้องกับโหงวเฮ้ง” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ส่วนโหงวเฮ้งของท่าน เดิมทีควรจะมีความสุขกับวัยชราและจากไปอย่างสงบสุข แต่ตอนนี้กลับเป็นโหงวเฮ้งที่อายุสั้น พลังงานโชคของท่านสูญหายไป รอบตัวเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความตาย เกรงว่าจะตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต”
“อะไรนะ”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
เจียงเหวินเหยียนกับลวี่เซี่ยวซานอุทานด้วยความตกใจพร้อมกัน
ลวี่เซี่ยวซานมองไปด้านข้างของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว พลังงานแห่งความตาย ไหนล่ะ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
“พี่หญิงเจียง” ลวี่เซี่ยวซานมองเจียงเหวินเหยียนด้วยความตื่นตระหนก ทั้งๆ ที่หย่าคนจอมปลอมผู้นั้นแล้ว เหตุใดชีวิตของนางยังเป็นเช่นนี้
“อย่าพึ่งกังวล” เจียงเหวินเหยียนโอบไหล่นาง กล่าวว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แก้ไขได้หรือไม่”
“ท่านมีแปดอักษรเวลาตกฟากของจังหย่งอยู่กระมัง”
ลวี่เซี่ยวซานรีบพยักหน้าแล้วบอกวันเวลา
ฉินหลิวซีคำนวณโดยการนับข้อนิ้วอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ดวงดาวแห่งโชคลาภของชะตาชีวิตสูญเปล่า ไม่มีดวงจะมั่งคั่งร่ำรวย แปดอักษรนี้ไม่มีรากเหง้า เดิมทีเป็นคนที่ควรจะไม่สามารถสะสมทรัพย์สมบัติ ยากจน ไม่เจริญรุ่งเรืองไปตลอดชีวิต”
“แต่เขาแต่งกับซานเหนียง แม้ว่าจะไม่ใช่ความร่ำรวยของตัวเอง แต่ชีวิตก็มั่งคั่งและมีเกียรติ ซ้ำยังสอบติดรองบัณฑิตจิ้นซื่อและจะได้เข้ารับราชการ” เจียงเหวินเหยียนตกใจเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีมองลวี่เซี่ยวซานด้วยความเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย เอ่ยว่า “บอกได้เพียงว่าท่านโชคร้ายได้พบกับคนโหดเหี้ยมอย่างแท้จริงที่พยายามจะเปลี่ยนโชคของตัวเองโดยการทำให้ผู้อื่นไร้ทายาทสืบทอด”