ตอนที่ 605 โอกาสรอดที่ซ่อนอยู่ในลางร้ายอันใหญ่หลวง
ในเวลานี้ เมื่อฉินหลิวซีมองดูพลังงานแห่งความตายอันหนาทึบบนร่างของลวี่เซี่ยวซาน ก็ขมวดคิ้ว ถามถึงแปดอักษรเวลาตกฟากของนาง จากนั้นก็หยิบเหรียญกระดองเต๋าสองสามเหรียญมาทำนาย
ฉินหลิวซีโยนเหรียญกระดองเต๋าหกครั้งติดต่อกัน ในแต่ละครั้งจะให้เถิงเจาที่อยู่ข้างๆ บันทึกรูปแบบคำทำนาย หลังจากผ่านไปหกครั้ง นางมองไปยังเถิงเจา “เป็นอย่างไร”
เถิงเจาขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ลางร้ายอันใหญ่หลวง”
ฉินหลิวซีมองดูรูปแบบคำทำนายที่จดบันทึกไว้ ตบศีรษะเขาเบาๆ “ไม่ได้แอบขี้เกียจ เรียนรู้ได้ไม่เลวเลย”
เถิงเจาไม่ได้แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ แต่มองดูรูปแบบคำทำนายเหล่านั้นอย่างละเอียดแล้วเรียบเรียงอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองลวี่เซี่ยวซานซึ่งมีสีหน้าซีดและไม่กล่าวอะไรสักคำที่อยู่ตรงข้ามเขา เขาเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค “ไม่ตายแน่นอน มีโอกาสรอด”
หลังจากที่ลวี่เซี่ยวซานได้ยินเช่นนี้ แผ่นหลังที่ตั้งตรงก็ผ่อนคลายลง น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมา
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจังหย่งจะไปหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาและเตรียมที่จะลงมือฆ่าท่าน”
เนื่องจากก่อนหน้านี้ใช้วิธีให้ค่อยเป็นค่อยไป แต่การที่ให้นางค่อยๆ ตายนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว จึงทำได้เพียงใช้วิธีโหดเหี้ยม
“แต่ว่าข้าอยู่ที่นี่ เขาจะลงมือได้อย่างไร หานักฆ่ามาหรือ” ลวี่เซี่ยวซานใช้หลังมือซับน้ำตา ตกตะลึงเล็กน้อย
ฉินหลิวซี “นักพรตเต๋าบางคน หากต้องการทำร้ายคนนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ขอเพียงแค่มีแปดอักษรเวลาตกฟากของอีกฝ่ายก็พอแล้ว จังหย่งเป็นสามีของท่าน ดั่งที่ท่านรู้แปดอักษรของเขา เขาก็รู้ของท่านเหมือนกัน กระทั่งสามารถเอาของใช้ส่วนตัวของท่านไปได้ด้วย”
ลวี่เซี่ยวซานกัดฟันด้วยความเกลียดชัง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านเจ้าอาวาสน้อยสามารถลงมือก่อนเพื่อขัดขวางแผนการของเขาได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “อีกฝ่ายไม่ได้มีความคับแค้นใจกับข้า ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้น แต่ท่านวางใจได้ หากอีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวใดๆ ข้าก็สามารถปกป้องท่านจากความตายได้”
ลวี่เซี่ยวซานมีสีหน้าละอายใจ “เป็นข้าที่หยาบคายเกินไป คิดว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยเป็นนักพรตมารที่ทำเรื่องอำมหิตเช่นนั้นได้”
ฉินหลิวซีนำเครื่องรางหยกมามอบให้ “สวมเอาไว้เถิด จะปกป้องท่านให้แคล้วคลาดได้”
ลวี่เซี่ยวซานรีบรับมาด้วยทั้งสองมือ เก็บไว้ในอ้อมแขนอย่างจริงจัง พกติดตัวไว้อย่างดี
ฉินหลิวซียกม่านรถขึ้น เอ่ย “อีกไกลแค่ไหน”
“คงจะถึงก่อนฟ้ามืด” ลวี่เซี่ยวซานกล่าว
หลุมศพบรรพบุรุษตระกูลลวี่อยู่ที่หมู่บ้านเซินตำบลหย่งซุนห่างจากเมืองหลวงหนึ่งร้อยลี้ หากเร่งความเร็วมาก็จะสามารถไปถึงตอนฟ้ามืดพอดี
“ช้าไปหน่อย” ฉินหลิวซีให้เถิงเจานำพู่กันชาดปลุกเสกออกมา หยุดรถม้า วาดยันต์สองสามแผ่น แปะไว้ในแต่ละทิศของรถม้า จากนั้นก็ใช้สองมือร่ายคาถา ปากท่องคาถาย่อระยะทาง “ดึงพื้นที่หนึ่งชุ่น[1]จากทุกทิศทาง มอบให้สามตระกูล รวบรวมสี่ทิศ…จงรีบสำเร็จโดยพลัน!”
ฉินหลิวซีตบตัวรถและหัวม้า จากนั้นตัวเองก็ขึ้นมาบนรถม้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทุกคนกำลังมึนงง รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง แต่ทุกครั้งที่ขยับ ราวกับกระโดดอยู่ในอากาศอย่างไม่ต่อเนื่อง แต่เหมือนกับการก้าวเท้าของยักษ์ ระยะทางอันยาวไกลสั้นลง แม้แต่พื้นที่ก็ถูกพับเก็บ
เถิงเจาดวงตาเป็นประกาย สิ่งนี้ต้องเรียนรู้อย่างถี่ถ้วน
“หากไม่มีการฝึกบำเพ็ญในระดับหนึ่ง พลังอาคมของเจ้าก็ไม่สามารถรองรับคาถาอันทรงพลังเช่นนี้ได้” ฉินหลิวซีมองทะลุความคิดของเขา จิ้มไปที่หน้าผากเขา เอ่ย “อย่าได้คิดไร้สาระที่จะไปถึงสวรรค์ได้ในก้าวเดียว หากไม่มีรากฐานที่แน่นหนา เมื่อขึ้นไปแล้วก็มีแต่จะตกลงมา”
ลวี่เซี่ยวซานถามด้วยความอยากรู้ว่า “ลัทธิเต๋าก็คำนึงถึงการฝึกบำเพ็ญด้วยหรือ ท่านเจ้าอาวาสน้อยฝึกบำเพ็ญถึงขั้นไหนแล้ว”
ฉินหลิวซีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้ม “ไม่รู้”
หา?
“ข้าสามารถทำทุกอย่างได้อย่างละเล็กละน้อย ไม่ได้สนใจเรื่องระดับการบำเพ็ญ” ก็พอทำได้ทุกอย่างอยู่บ้าง
เถิงเจ้าเอียงศีรษะมองฉินหลิวซี ทำไมหรือ หรือว่านางเป็นบุตรแห่งสวรรค์อะไรสักอย่าง
หนึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านเซิน ฉินหลิวซีไม่ได้เร่งรีบไปที่หลุมศพบรรพบุรุษ แต่ไปหาร้านขายโลงศพหรือร้านขายธูปเทียนเพื่อเตรียมสิ่งของบางอย่างก่อน รวมถึงสิ่งมีชีวิตด้วย จากนั้นจึงได้ไปยังหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลลวี่
ด้านล่างหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลลวี่มีหมู่บ้านเล็กๆ เรียกว่าหมู่บ้านตระกูลลวี่ และหมู่บ้านนี้ถูกสร้างขึ้นโดยลวี่เถียนแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องแผ่นดินหลังจากที่เขามีชื่อเสียง พื้นที่ขนาดใหญ่เป็นดินแดนทุรกันดารที่มีทุ่งนาอันสมบูรณ์ และผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นไม่มีผู้ใดที่ไม่ใช่คนที่แก่ชราหรือพิการหลังจากเกษียณอายุจากที่เคยร่วมสนามรบกับเขา และบรรดาแม่ม่ายกับเด็กกำพร้าบางคนก็เต็มใจมาอาศัยอยู่ที่นี่
เดิมทีลวี่เถียนไม่ได้ต้องการทำเช่นนี้ อย่างไรเสียมันก็เป็นหน้าที่ของราชสำนักที่จะต้องดูแลทหารที่พิการ ชรา หรือป่วย และหญิงม่ายกับเด็กกำพร้า แต่เขากลับทำไปแล้ว เพราะว่าเขามีความสามารถและมีความตั้งใจ ดังนั้นจึงได้มีหมู่บ้านตระกูลลวี่นี้ขึ้นมา การมีอยู่ของทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ล้วนอาศัยร่มเงาของลวี่เถียน
หลังจากที่ฉินหลิวซีฟังคำพูดของลวี่เซี่ยวซานแล้ว จากนั้นก็มองดูพลังงานโชคของหมู่บ้านตระกูลลวี่แห่งนี้ ถอนหายใจ กล่าวว่า “ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจังหย่งจึงต้องการโชคลาภตระกูลลวี่ของพวกท่าน ท่านพ่อของท่านได้ทำบุญกุศลไว้มากมาย”
ลวี่เซี่ยวซานเม้นริมฝีปาก ขอบตาแดง
ความจริงแล้วตอนเด็กๆ นางมีความเอาแต่ใจอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อของนางจึงได้เปลืองแรงกายแรงใจไปช่วยจัดการทหารผ่านศึกที่เหลืออยู่เหล่านั้น ท่านพ่อก็บอกแล้วว่าที่เขาได้รับเกียรติอันสูงส่งเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะกองทหารนับหมื่นพันที่สนับสนุนเขา อย่างไรเสียต่อให้กล้าหาญแค่ไหนก็ไม่สามารถเอาชนะศึกสงครามได้ด้วยตัวคนเดียว
เมื่อเขาเจริญรุ่งเรือง มีกำลังแล้ว ย่อมตอบแทนทหารผ่านศึกที่ยังเหลืออยู่ในกองทัพและให้การช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่สูญเสียญาติจากสนามรบ นี่ก็เป็นการสะสมบุญกุศลเช่นกัน
ตอนนั้นนางไม่เห็นด้วยเล็กน้อย แต่ตอนนี้หลังจากฟังคำพูดของฉินหลิวซี ก็อดบ่นไม่ได้ว่า “เขาสะสมบุญกุศลเช่นนี้ แต่เป็นการดึงดูดหายนะครั้งใหญ่ ดังนั้นสะสมบุญกุศลไปจะมีประโยชน์อะไร ไม่ยุติธรรมเลย”
“ท่านมองเพียงด้านเดียวเท่านั้น” ฉินหลิวซีมองนางพลางกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่ท่านพบเจอ ล้วนเป็นสถานการณ์ที่บังคับให้ต้องถึงแก่ความตาย แต่ล้วนซ่อนโอกาสอันริบหรี่ไว้เสมอ มีหรือจะไม่ใช่เพราะพรนี้ที่คอยปกป้องคุ้มครองท่าน”
ลวี่เซี่ยวซานเงียบไป
“การทำความดีสะสมบุญกุศลย่อมมีการตอบแทนเสมอ มิเช่นนั้นท่านไม่มีทางได้พบพวกเรา ต้องตายโดยไร้ข้อกังขาใดๆ และจังหย่งก็จะสืบทอดต่อทุกอย่างของท่าน ซ้ำยังมีพรของบรรพบุรุษอีก ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงวงศ์ตระกูลจังไปอย่างสิ้นเชิง” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “แต่ท่านกลับได้พบพวกเรา เช่นนั้นก็มีโอกาสที่จะพลิกแพลงให้กลับมาถูกต้อง ในอนาคตค่อยแต่งสามีเข้าจวน สืบทอดความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลลวี่ แน่นอนว่าครั้งนี้ต้องดูอย่างละเอียดจึงจะดี ท่านมีสมองอันแข็งแกร่ง คนอื่นจึงจะไม่กล้าทำเรื่องตุกติก”
ลวี่เซี่ยวซานละอายใจเล็กน้อย
รถม้าเข้าไปในหมู่บ้าน และได้ดึงดูดความสนใจอย่างรวดเร็ว มีคนมาถาม เมื่อรู้ว่าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องแผ่นดินมากราบไหว้หลุมศพบรรพบุรุษ ก็อดประหลาดใจไม่ได้ รีบไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้าน
“ท่านไม่ได้มานานเท่าไหร่แล้ว” ฉินหลิวซีเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ลวี่เซี่ยวซานคำนวณดู รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที “หลังจากที่แต่งงานข้าก็ไม่เคยมาไหว้ท่านพ่อกับท่านแม่เลย”
ฉินหลิวซีมีสีหน้าพูดไม่ออก กล่าวเบาๆ ว่า “หลายปีมานี้หากท่านพ่อของท่านไม่ได้เข้าฝันไปด่าท่านว่าบุตรอกตัญญู เขาจะต้องเป็นทาสบุตรสาวอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน”
“ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ คือเขาด่าไม่ได้” เถิงเจากล่าวเสริมขึ้นมา
ลวี่เซี่ยวซานไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากมา แต่ทุกครั้งที่ถึงเทศกาลเชงเม้ง นางก็จะมีอาการไม่สบายต่างๆ นานา มีอยู่ปีหนึ่งที่มาถึงในหมู่บ้าน นางก็มีอาการท้องร่วงจนทรมาน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ลูกเขยอย่างจังหย่งไปกราบไหว้แทน
ตอนนี้ดูแล้วเกรงว่าจังหย่งจะแอบทำอะไรบางอย่าง ป้องกันไม่ให้นางไปกราบไหว้แล้วได้ค้นพบบางสิ่ง
ผู้ใหญ่บ้านรีบเข้ามาต้อนรับ เดินขากะเผลกมา เมื่อเห็นลวี่เซี่ยวซานก็น้ำตาไหล กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ในที่สุดท่านก็มากราบไหว้ท่านแม่ทัพแล้ว”
[1] ชุ่น หน่วยวัดพื้นที่ของจีน ประมาณ 3.33 เซนติเมตร