คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 607 ไปให้พ้น คนอัปลักษณ์!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 607 ไปให้พ้น คนอัปลักษณ์!

ฉินหลิวซีปล่อยมือออก ปล่อยให้ขี้เถ้าของคานไม้กระจายไปในสายลม มองดูความว่างเปล่าอันมืดมิดที่คายความขุ่นมัวออกมา

ทุกคนพากันตกตะลึง สายตาที่มองฉินหลิวซีเต็มไปด้วยความยำเกรง แต่เมื่อมองดูสภาพในโลงศพอีกครั้ง ก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้

ทั้งหมดนี้คืออะไรกัน

แม่ทัพใหญ่ที่ปกป้องแผ่นดินกล้าหาญมาตลอดชีวิต แต่หลังจากความตายกลับไปได้รับการปฏิบัติอย่างต่ำช้าเช่นนี้ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน

การขุดหลุมศพบรรพบุรุษเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก คนตระกูลจังได้ทำสิ่งผิดจารีตเช่นนี้ ไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรือ

ทันทีที่คานไม้ถูกกำจัด คาถาสับเปลี่ยนโชคลาภก็ไร้ผลทันที และในขณะที่ฉินหลิวซีดึงของลงอาคมออกมาทีละชิ้น โชคลาภที่เดิมทีถูกดูดไปของตระกูลลวี่ได้ลอยกลับคืนสู่ที่เดิม กลับไปบนตัวของลวี่เซี่ยวซานอย่างรวดเร็ว

ฉินหลิวซีลากร่างบรรพบุรุษตระกูลจังออกมาวางไว้ด้านข้าง ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเสียชีวิตไปกี่ปีแล้ว กระดูกเริ่มผุกร่อนบ้างแล้ว หากใช้แรงมากเกินไปกระดูกก็จะแตกหัก

จากนั้นนางก็มองไปยังแม่ทัพใหญ่ลวี่ซึ่งถูกห่อด้วยผ้าสีขาวอย่างไม่ใส่ใจ ปิดผนึกทวารทั้งเจ็ดด้วยยันต์ และถูกตอกตะปูสะกดวิญญาณที่มือและเท้าแล้วถอนหายใจ

โดยปกติแล้ว หากหลุมศพบรรพบุรุษถูกแตะต้อง บรรพบุรุษทั้งหลายก็จะรับรู้ได้แล้วไปเข้าฝันตักเตือนลูกหลานรุ่นหลัง ให้พวกเขาให้ความสนใจไปตรวจสอบ

แต่คาถาสับเปลี่ยนโชคลาภนี้ได้ทำมาหลายปีแล้ว ลวี่เซี่ยวซานกลับไม่เคยได้รับการมาเข้าฝันของบรรพบุรุษแม้แต่ครั้งเดียว ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาไม่สามารถเอ่ยปากได้เลย

แม้ว่าจะไม่ควรยกย่อง แต่ฉินหลิวซีก็ต้องทอดถอนใจ การทำอาคมของคนผู้นี้มีความรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างมาก กำจัดต้นตอความเป็นไปได้ที่จะถูกค้นพบโดยสิ้นเชิง

ลองคิดดูสิ หากไม่ใช่เพราะตัวเองสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ใครจะไปคิดว่าในโลงศพนี้จะมีสองศพ และคนที่ถูกกดทับก็คือแม่ทัพลวี่

และเมื่อโชคลาภทั้งหมดของตระกูลลวี่ถูกถ่ายโอนไปยังตระกูลจังแล้ว ลวี่เซี่ยวซานก็จะต้องตาย จากนั้นจังหย่งค่อยนำศพของแม่ทัพลวี่ย้ายออกไป ก็จะไม่มีใครรับรู้แล้ว ทำได้อย่างเนียบเนียน

แต่น่าเสียดายที่แม่ทัพลวี่มีบุญกุศลและโชคลาภมหาศาล สวรรค์จึงมอบโอกาสรอดอันริบหรี่ให้แก่ตระกูลลวี่ของเขาอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้จัดการความวุ่นวายคืนสู่สิ่งที่ถูกต้อง

ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปาก สวรรค์ยุติธรรม และผู้กระทำผิดย่อมถูกลงโทษ เป็นเช่นนี้นี่เอง

ลวี่เซี่ยวซานเป็นลมไปสองครั้ง เมื่อตื่นขึ้นมาก็คุกเข่าอยู่ที่หน้าโลงศพของบิดาโดยไม่ขยับตัวไปไหนอยู่เป็นเวลานาน เอาแต่ร้องไห้

ฉินหลิวซีมองนางพลางถามว่า “ตอนนี้หลุมศพถูกขุดขึ้นมาแล้ว หลังจากที่จัดการสิ่งเหล่านี้แล้ว สุสานอันเป็นมงคลนี้ยังคงสามารถใช้ได้ ท่านจะฝังบิดาท่านไว้ที่นี่เหมือนเดิมหรือไม่”

คาถาสับเปลี่ยนโชคลาภของอีกฝ่ายทำได้ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่ได้ทำลายฮวงจุ้ยของสุสานมงคลนี้ นอกจากเด็กน้อยชายหญิงคู่นั้นที่ทำลายคุณธรรมของยมโลกไปเล็กน้อย แต่เนื่องจากฝังในทิศทางที่ถูกต้อง ซ้ำยังมีทองและวัตถุมงคลฝังอยู่ด้วยจึงไม่ได้กลายเป็นพลังชั่วร้าย ซ้ำยังสามารถเก็บซ่อนพลังมงคลเอาไว้ได้

ลวี่เซี่ยวซานกัดฟัน “แม้ว่าจะเป็นสุสานมงคลแต่ก็เปื้อนสิ่งสกปรกแล้ว ท่านเจ้าอาวาสน้อยช่วยเลือกสุสานมงคลอื่นให้กับท่านพ่อข้าได้หรือไม่ เปลี่ยนไปฝังไว้ที่อื่น ข้าไม่อยากให้เขาต้องทนทุกข์กับความไม่ยุติธรรมแม้แต่ตอนตายไปแล้ว”

สถานที่ที่คนตระกูลจังเคยนอน นางรังเกียจว่าสกปรก

“ก็ได้เช่นกัน”

สุสานมงคลนี้ และแม้แต่โลงศพก็เคยถูกคนอื่นเคยนอนมาก่อน แน่นอนว่าค่อนข้างสะอิดสะเอียนอยู่เล็กน้อย

ลวี่เซี่ยวซานจ้องไปที่ศพสกปรกของบรรพบุรุษตระกูลจังอีกครั้ง กัดปลายลิ้นอย่างรุนแรง กล่าวกับผู้ใหญ่บ้านว่า “ท่านลุงเจียง ให้คนบดศพนี้ให้ละเอียด แล้วเอาขี้เถ้าไปโปรยในภูเขาลึก”

ทุบกระดูกโปรยขี้เถ้า เป็นวิธีบรรเทาความแค้นที่ดีที่สุดที่นางคิดได้ แล้วยังมีคนตระกูลจังอีก อย่าได้คิดหนีแม้แต่คนเดียว

“ข้าเอง” ชายวัยกลางคนที่แขนเสื้อว่างเปล่า สีหน้ามืดครึ้ม ถอดสิ่งของออกจากศพนั่น แล้วม้วนใส่เสื่อ จากนั้นก็หยิบหินก้อนขนาดใหญ่ทุบลงไปอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง

ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดสนิท ลมพัดผ่านภูเขาและป่าไม้ เสียงลมครวญคราง

ฉินหลิวซีไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่จุดธูปสี่ดอก ไหว้ศพแม่ทัพใหญ่แล้วปักลงไป จากนั้นก็ถอดยันต์กระดาษที่ผนึกทวารทั้งเจ็ดกับตะปูสะกดวิญญาณออก แล้วสวดบทสู่สุขคติ จากนั้นจึงเอ่ย “ข้าจะรวบรวมกระดูกให้ท่าน”

แม่ทัพใหญ่ที่ปกป้องแผ่นดินบ้านเมือง เขาสมควรได้รับมัน

ลวี่เซี่ยวซานเงยหน้าขึ้น มองดูฉินหลิวซียกกะโหลกออกมา น้ำตาไหลพราก

นางมันไร้ประโยชน์ นางอกตัญญู

เมื่อคนที่อยู่ตรงนั้นเห็นการกระทำของฉินหลิวซีก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

มีลมพัดมา เสียงลมเหมือนจะผสมกับเสียงถอนหายใจ

ในคืนนั้นลวี่เซียวซานก็ได้ฝันเห็นแม่ทัพใหญ่ที่ไม่ได้ฝันเห็นมาหลายปีแล้ว อีกฝ่ายเอ่ยด้วยความรักว่าไม่โทษนาง เป็นเขาที่มีตาหามีแววไม่ พลาดเลือกคนเนรคุณมาเป็นบุตรเขย

ห้องของลวี่เซี่ยวซานมีเสียงร้องไห้ดังตลอดทั้งคืน

ทางด้านกระท่อม บุรุษชุดดำเข้าไปที่ห้องด้านในเก็บของของตัวเองเตรียมจะจากไป ตอนที่เดินผ่านร่างของจังหย่ง ได้ถูกเขาคว้าเท้าเอาไว้เบาๆ

บุรุษชุดดำก้มลงมองคนที่หน้าตาไม่คุ้นเคยกำลังขยับปาก ‘ช่วยข้าด้วย’

หลังจากที่ฉินหลิวซีทำลายคานไม้และลากบรรพบุรุษตระกูลจังออกมาจากโลงศพ จังหย่งก็ได้รับผลการสะท้อนกลับที่ร้ายแรงที่สุด เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย

ชายชุดดำยิ้ม ก้มตัวลงพลางกล่าวว่า “ไม่ยอมหรือ ขุ่นเคืองหรือ เจ้าเต็มใจที่จะให้ข้าใช้ จงรักภักดีต่อข้าหรือไม่”

รูม่านตาของจังหย่งขยายออกเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาสติไว้ ไม่กล้าตอบรับ

“ไม่เต็มใจ เช่นนั้นก็ไปตายเสียเถิด” บุรุษชุดดำกล่าวอย่างเย็นชา

จังหย่งร้อนใจเป็นอย่างมาก ดวงตากลับกลอกอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าอย่างยากลำบาก เต็มใจ เขาเต็มใจ

“นี่เป็นความยินยอมของเจ้าเอง จงภักดีและรับใช้ข้าไปทุกชาติภพ” บุรุษชุดดำยกศีรษะของเขาขึ้นอย่างอ่อนโยน “วางใจเถิด ข้าจะใช้เจ้าทำงานอย่างสุดกำลัง”

จังหย่งใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ

ต่อมาในทันที เขาก็ได้ยินเสียงกระดูกคอลั่น บิดในลักษณะแปลกๆ ดวงตาเบิกกว้าง เขามองเห็นพื้นกับข้างหลังของตัวเองได้อย่างไร

ชีวิตของเขาจบลงเช่นนี้หรือ ไม่ควรเป็นเช่นนี้ วิถีเดิมของเขาไม่ควรเป็นเช่นนี้

เขาควรจะได้รับโชคลาภมหาศาลของตระกูลลวี่ ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ราบรื่นสมปรารถนา หลังจากที่ภรรยาเอกคนก่อนเสียชีวิตได้สามปี เขาก็จะได้แต่งงานใหม่กับสตรีที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงเนื่องจากเขาเป็นคนที่มีความรักอันลึกซึ้ง มีบุตรเต็มบ้าน ตระกูลจังได้เปลี่ยนแปลงวงศ์ตระกูลไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่น้องชายและน้องสาวของเขาก็ล้วนประสบความสำเร็จ แม้ว่าน้องชายจะเสเพล แต่ก็ได้แต่งงานกับสตรีที่ดีสมดังปรารถนา เป็นเศรษฐีไปตลอดชีวิต น้องสาวก็จะได้แต่งเข้าไปในราชวงศ์ ตระกูลจังก็จะกลายเป็นเศรษฐีใหม่ที่ใครๆ ก็ยกย่อง

ตอนนี้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาก็ไม่เหลืออะไรแล้วซ้ำยังต้องมาตายอย่างน่าสังเวช เขาไม่ยอม ความขุ่นเคืองเพิ่มพูนมากขึ้น ทำไมคนที่ตายต้องเป็นเขา

เมื่อจิตสำนึกของเขาเข้าสู่ความมืดมน ความขุ่นเคืองของจังหย่งก็สะสมจนถึงขีดสุด

เขาไม่ยอม!

ทันทีที่วิญญาณออกจากร่าง เนื่องจากความขุ่นเคืองที่พุ่งทะยาน จังหย่งจึงได้มีความโกรธแค้นอย่างรุนแรงของผีร้าย บุรุษชุดดำเห็นดังนั้นก็พอใจเป็นอย่างมาก มือร่ายคาถา ดึงวิญญาณขุ่นเคืองของเขาที่ต้องการจะโบยบินออกไปกลับมา สะกดไว้ในกระดิ่งขังวิญญาณ ตบเบาๆ พลางกล่าวว่า “อยู่ในนี้ไปก่อน”

เมื่อบุรุษชุดดำจะไปจากกระท่อม ก็ทิ้งคบเพลิงลงไป ไฟแผดเผากระท่อมและศพข้างในจนกลายเป็นเถ้าถ่านในทันที

และในขณะเดียวกัน มารดาตระกูลจังและคนอื่นๆ อัดกันอยู่ในเรือนที่เช่าอยู่เพียงชั่วคราว เห็นว่าฟ้ามืดแล้วแต่จังหย่งยังไม่กลับมาก็อดไม่ได้ที่จะกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ

พวกเขาถูกไล่ออกมาอย่างกะทันหัน นอกจากเครื่องประดับติดตัวแล้วก็ไม่สามารถนำอะไรออกมาได้ หลายปีมานี้พวกเขาคุ้นเคยกับชีวิตที่ดีรายล้อมไปด้วยบ่าวรับใช้ ไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่ม แต่จู่ๆ ก็กลับไปมีชีวิตที่ยากจนเหมือนเมื่อก่อนอย่างกะทันหันจึงไม่ชินเล็กน้อย

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมารดาตระกูลจังกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก กล่าวกับบิดาตระกูลจังที่เอาแต่ถอนหายใจว่า “เปลือกตาข้ากระตุกไม่หยุด ก็ไม่รู้ว่าเจ้าใหญ่ไปไหนแล้ว ควรออกไปตามหาหรือไม่”

“ดูเหมือนว่าตอนนี้จะงดเดินทางตอนกลางคืนแล้ว” บิดาตระกูลจังกล่าวด้วยท่าทางเงียบขรึม

เมื่อมารดาตระกูลจังเห็นท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาก็กัดฟันด้วยความโกรธ อยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นแรงมากจนเจ็บปวด เจ็บปวดจนนางน้ำตาไหลออกมา

“ไม่ เกรงว่าเจ้าใหญ่จะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ข้าหวั่นใจเป็นอย่างมาก” น้ำตาของนางร่วงหล่นราวกับลูกปัด ที่เส้นด้ายขาด ที่เรียกกันว่าแม่ลูกเชื่อมโยงกัน นางรับรู้ได้แล้ว

บิดาตระกูลจังเปลือกตากระตุก ดุว่า “อย่าพูดเหลวไหล ให้เจ้ารองไปซื้ออะไรกลับมากินสักหน่อย ข้าหิวแล้ว”

มารดาตระกูลจังโมโหเป็นอย่างมาก แต่บุตรชายคนรองได้เข้ามาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ วางใจเถิด พี่ใหญ่คงไปหาให้สหายผู้นั้นช่วยเหลือแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงบัณฑิตจิ้นซื่อ หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ได้รู้จักกับคนชั้นสูงไม่น้อย”

มารดาตระกูลจังกลับไม่ได้รับการปลอบใจแม้แต่น้อย เรื่องเสียหายเกี่ยวกับตระกูลของพวกเขาได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว คนมีหน้ามีตาในเมืองหลวงต่างก็มีตาที่สามบนหน้าผาก ซ้ำยังมักจะหลีกเลี่ยงให้ไกลจากปัญหา ไหนเลยจะมีคนที่ดีขนาดนั้นมาช่วยเหลือพวกเขา

บุตรสาวบุตรชายที่อยู่ข้างกายนางก็เอาแต่ขอเงินนาง ไม่ได้สนใจความเป็นความตายของจังหย่งเลยแม้แต่นิด แล้งน้ำใจเป็นอย่างมาก

มารดาตระกูลจังมองดูท้องฟ้าข้างนอกยามค่ำคืนอย่างเหม่อลอย เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อไม่กี่วันก่อนนางยังคงเป็นนายหญิงใหญ่ผู้เฒ่าชั้นสูงที่ได้รับการเคารพจากผู้น้อย กำลังปรึกษาการจัดงานฉลองวันเกิดที่ยิ่งใหญ่ในปีนี้ เหตุใดหอสูงหลังนี้จึงได้พังทลายลงอย่างรวดเร็ว

“เห็นพวกเขาเจริญรุ่งเรือง แล้วก็เห็นพวกเขาพังทลายลงกับตา ในเมืองหลวงนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครอบครัวที่ตกต่ำโดยไม่มีรากฐานรองรับ ไม่มีอะไรน่าทอดถอนใจ ล้วนเป็นคนโง่เขลาที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน” อันเฉิงโหวพึ่งกลับมาจากงานเลี้ยง เดินไปยังห้องตำราพลางบ่นไปด้วย

เมื่อเข้าไปในห้องตำรา เสียงของเขาก็หยุดลงกะทันหัน ตะโกนเสียงแหลม “เจ้าเป็นใคร เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ใครก็ได้…เอื้อ”

บุรุษชุดดำบีบคอเขา เมื่อเห็นเขาจ้องตาโต ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นบอกให้เงียบ ก่อนจะเอ่ย “อย่าเอะอะ รับปากข้าแล้วจะปล่อยเจ้าไป”

อันเฉิงโหวรีบพยักหน้า เมื่อเขาปล่อยมือ ก็ตะโกนเสียงดังทันที “มีนักฆ่า!”

ไม่ร้อง? มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะไม่กรีดร้อง!

“ไม่เชื่อฟังจริงๆ” บุรุษชุดดำไม่พอใจเป็นอย่างมาก ตบหน้าเขาแล้วยัดยันต์ใส่ปากของเขา “เงียบๆ หน่อย”

ใบหน้าของอันเฉิงโหวถูกตบจนบวม กุมลำคอพลางไอไม่หยุด ถอยไปอยู่ที่มุมกำแพง มองเขาด้วยท่าทางหวาดกลัว “เจ้าให้ข้ากินอะไร”

“มุกมังกรวารี เอามาให้ข้า” ชายชุดดำตอบไม่ตรงคำถาม

อันเฉิงโหวเบิกตาโต “มุกมังกรวารีอะไร ข้าไม่มี”

ทำไมแต่ละคนล้วนมาหามุกมังกรวารีกับเขา มันไม่ได้อยู่กับเขาตั้งนานแล้ว

บุรุษชุดดำสีหน้ามืดครึ้ม แมลงพวกนี้น่ารำคาญเกินไปแล้ว ไม่สู้เอาวิญญาณไปเสียเลย

ทันใดนั้นอันเฉิงโหวก็รู้สึกหนาวสันหลัง รีบกล่าวว่า “จริงๆ นะ เดิมทีอยู่กับข้า ต่อมาเสนาบดีลิ่นก็มาเอาไปจากข้าแล้ว เจ้าไปหาเขาเถิด หากข้าโกหก ขอให้ถูกฟ้าผ่า ไม่ตายดี”

ใครจะตายก็ช่างแต่ต้องไม่ใช่ข้า ไปหาเสนาบดีลิ่นคนสารเลวผู้นั้นแล้วสั่งสอนเขาสักหน่อย!

เมื่อบุรุษชุดดำเห็นว่าท่าทางของเขาดูไม่เหมือนกำลังโกหก ซ้ำยังสาบาน มองเขาอย่างแน่วแน่ จนเห็นเหงื่อหยดลงมาจากบนหน้าผากของเขา จึงได้เดินออกไปข้างนอกโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ ให้เขามาเสียเที่ยว คนที่เป็นเจ้าบ้านผู้นี้ไม่รู้จักจัดการเอาเสียเลย

แต่เขานั้นแตกต่าง ในฐานะแขกเขาจะนำของขวัญมาด้วย ดึงพลังหยินมาแล้วดีดใส่ ไม่ต้องขอบคุณ

เมื่ออันเฉิงโหวเห็นเขาหายไปภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ตกใจจนทรุดตัวลงนั่ง จะตายแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน องครักษ์ลับ เขาต้องการเพิ่มองครักษ์ลับอีกสิบคนมาคุ้มกันตัวเอง

เขาตัวสั่น เหตุใดจู่ๆ จึงได้หนาวขนาดนี้

โครกคราก ทันใดนั้นอันเฉิงโหวก็กุมท้อง เดินโซเซพุ่งเข้าไปที่ห้องชำระ ปวดท้องเป็นอย่างมาก เจ้าคนชาติสุนัขที่ไม่รู้ที่มาผู้นั้นเอาอะไรให้เขากิน หมอหลวง เรียกหมอหลวง

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เสนาบดีลิ่นที่กำลังเขียนหนังสืออยู่ที่ห้องตำรา จู่ๆ ก็เห็นบุรุษชุดดำปรากฏตัวขึ้นในห้องพร้อมกับพลังงานอันลึกลับและแปลกประหลาด รูม่านตาหดลงเล็กน้อย วางพู่กันลงโดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง รีบเอ่ย “หากท่านจะมาเอามุกมังกรวารี ช่างบังเอิญเสียจริง มุกมังกรวารีนั้นได้ถูกคนเอาไปแล้ว นางบอกว่าหากมีคนมาหา ให้บอกไปว่านางคือปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิงจากเมืองหลี”

เขาบีบเครื่องรางหยกที่เอว แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง

บุรุษชุดดำหรี่ตาลง “!”

เอาอีกแล้ว มาเสียเที่ยวอีกแล้ว แต่กลับเป็นนางที่เอาไปหรือ

ก็จริง ตอนนั้นเพื่อที่จะจัดการอาจารย์ ชื่อหยวนยินดีที่จะให้การฝึกบำเพ็ญถดถอย ต้องฝึกขั้นสร้างรากฐานใหม่อีกครั้ง พวกเขาจะต้องปรุงยาลูกกลอนหนึ่งเม็ดเพื่อให้แน่ใจว่าการบำเพ็ญขั้นสร้างรากฐานมีความหวัง

บุรุษชุดดำไม่พอใจเล็กน้อย เขาตามหามุกมังกรวารีนี้มาหลายปี ด้วยวิธีการทำนายต้าเหยี่ยนจึงได้รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่ต้องการในเมืองหลวง ดังนั้นเขาจึงได้ตั้งรกรากที่ภูเขาทังแล้วรอโอกาส

แต่เมื่อถึงเวลากลับถูกคนแย่งชิงไปก่อน ซ้ำยังเป็นคู่ต่อสู้ที่พึ่งจะต่อสู้ด้วย และนางยังรู้อีกว่าตัวเองจะมาหามุกมังกรวารี ช่างน่าสนใจมากจริงๆ

ลูกศิษย์สำนักเดียวกันกับเขา หากเผชิญหน้ากันจะไม่เป็นคนบาปหรือ

เมื่อเสนาบดีลิ่นเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขยับเขยื้อนก็นิ่งเงียบ แต่ใจกลับเต้นแรง

เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นใคร แต่เมื่อเห็นว่าเขาปรากฏตัวตรงหน้าอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง คิดว่าคงจะเป็นคนในลัทธิเต๋าเช่นเดียวกันกับฉินหลิวซี

การพัฒนาของลัทธิเต๋าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่คาดเดาไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ

เสนาบดีลิ่นรู้จักปฏิบัติตน บุรุษชุดดำก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องลำบาก เพียงแต่ตอนที่หันหลังจากไป ได้เรียกผีสาวตนหนึ่งให้ไปก่อกวนเสนาบดีสักหน่อย อย่างไรเสียก็มาเสียเที่ยวทำให้รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ผีสาวไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ จากนั้นก็กรีดร้องแล้วล่องลอยไปพร้อมกับวิญญาณที่อ่อนแอของนาง

นักพรตเต๋าชุดดำท่าทางแปลกประหลาดบ้าคลั่งผู้นั้นน่ากลัว แต่พลังงานคุณธรรมบนตัวของเสนาบดีลิ่นก็น่ากลัวเช่นกัน และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ยันต์คุ้มภัยเปล่งประกายแสงสีทองที่เขาพกติดตัวไว้ ยังไม่ทันได้เข้าใกล้มากนักก็ส่องแสงจนวิญญาณของนางอ่อนแอไปครึ่งหนึ่ง

เป็นผีช่างลำบาก ไม่สู้ไปเกิดใหม่!

เสนาบดีลิ่นมองดูความว่างเปล่าอย่างอธิบายไม่ถูก จากนั้นก็ก้มลงมองเครื่องรางหยกที่ตัวเองพกติดตัว รู้สึกว่าเครื่องรางหยกนั้นดูเหมือนจะหม่นหมองลงกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย

ดังนั้นเมื่อครู่อาจไม่ได้รู้สึกไปเอง มีสิ่งสกปรกที่ชั่วร้ายบางอย่างต้องการจะเข้าใกล้เขาอย่างนั้นหรือ

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ยตอนมอบเครื่องรางหยกนี้ให้เขา เสนาบดีลิ่นก็ถอนหายใจ ช่างวางแผนได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ

เพียงแต่นักพรตชุดดำเมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะไม่ใช่นักพรตฝ่ายคุณธรรม ไม่รู้ว่าหากเผชิญหน้ากับเขาจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่

หว่างคิ้วของเสนาบดีลิ่นมีร่องรอยของความกังวล

ฉินหลิวซีกำลังนั่งขัดสมาธิเคลื่อนย้ายมหาจักรวาลในห้องที่ผู้ใหญ่บ้านผู้เฒ่าเตรียมไว้ให้ ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นมา แล้วกระโดดออกมาจากในห้อง

ตอนที่เถิงเจาไล่ตามออกมาก็ไม่เห็นเงานางแล้ว อดขมวดคิ้วไม่ได้

ฉินหลิวซีกระโดดสองสามทีก็ไปถึงที่เชิงเขาอันเงียบสงบ เมื่อเห็นเงาที่กลมกลืนกับความมืดก็กระตุกมุมปาก “ดำไปทั้งตัว เล่นของสายดำ หรือว่าแกล้งทำเป็นศพเดินได้พันปีที่ต้องแสงไม่ได้”

“เจ้าเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ ด้วย น่าสนใจเป็นอย่างมาก” ท่าทีของบุรุษชุดดำดูเหมือนมีความสุขมาก เดินออกมาจากความมืด บังเอิญดวงจันทร์ก็โผล่ออกมาจากเมฆดำมืดพอดี แสงจันทร์อันเยือกเย็นสาดส่องลงมา

เขาเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ใบหน้าถูกบางอย่างฝากฝังรอยกากบาทขนาดใหญ่ ผิวหนังม้วนเป็นวงกลม

เมื่อฉินหลิวซีเห็นอย่างชัดเจนก็เบิกตาโต ในขณะที่บุรุษชุดดำกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง นางก็อุทานพลางถอยหลังหนึ่งก้าว “ไปให้พ้น คนอัปลักษณ์!”

บุรุษชุดดำ “!”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท