ตอนที่ 609 ตาเฒ่ากล้าดีอย่างไร!
บุรุษชุดดำหรือผู้มีนามว่าซาหยวนจื่อหนีไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฉินหลิวซีคว้าตุ๊กตากระดาษตัวนั้นได้ ลมหายใจที่เขาทิ้งไว้ก็หายไปด้วย
ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชา คนบ้าผู้นี้โผล่มาจากไหน พึ่งจะสู้กันไปได้ไม่เท่าใดเอง นางยังไม่ทันได้ปล่อยไม้เด็ดเลย เขาก็หนีไปเสียแล้ว?
เหมือนคนกะล่อนที่มาหยอดแล้วก็หนีไป
อยากจะตีเขาให้ตายจริงๆ
ฉินหลิวซียืนอยู่ที่เดิม นึกถึงชื่อเรียกของเขา ซาหยวนจื่อ ซ้ำยังเรียกนางว่าศิษย์น้อง ไม่เพียงแต่รู้จักาอาจารย์ ยังสามารถแปลงกายเป็นอาจารย์ได้อีกด้วย ซ้ำยังมีกลยุทธ์ที่คล้ายกับสิ่งที่นางเรียนรู้มา หรือว่าตาเฒ่าจะแอบไปมีศิษย์ไม่เอาถ่านลับหลังนาง
นางจะคิดบัญชีนี้กับตาเฒ่าเมื่อกลับไป
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินหลิวซีอยากจะตีเขาให้ตายไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาเป็นคนบ้า แต่เพราะบนร่างกายของเขาแฝงไว้ด้วยพลังงานที่นางไม่ชอบ ยังไม่ทันให้นางได้สืบจนแน่ใจเขาก็หนีไปแล้ว
เขาหนีไปเร็วมาก ก็ไม่รู้ว่ามาเพื่อทดสอบความจริงเท็จของนางหรือมาเพื่อมุกมังกรวารี บางทีอาจเป็นทั้งสองอย่าง
ฉินหลิวซีมองไปที่ความว่างเปล่าที่ซาหยวนจื่อหายตัวไป สบถอย่างรุนแรง หันหลังกำลังจะจากไป ทันทีที่ขยับนางก็รู้สึกไม่สบายตัว
นางสีหน้านิ่ง ก้มหน้าลงมองมือทั้งสองข้าง ไม่รู้ว่าบนข้อมือทั้งสองข้างมีเส้นด้ายสีแดงเลือดตั้งแต่เมื่อใด พลังงานสีเลือดอันเย็นยะเยือกนั้นกำลังไหลไปตามเส้นลมปราณของนางอย่างรวดเร็ว ราวกับมังกรว่ายน้ำ
รู้สึกถึงพลังงานอันน่ากลัวเข้าสู่กระดูกแล้วโหมกระหน่ำไปที่ข้อมือ ร่างกายรู้สึกเย็นราวกับเป็นไข้หวัด ฉินหลิวซีหัวเราะด้วยความโกรธเคือง กระจกสีเลือดสกปรกบานนั้นกลับสามารถหาช่องโหว่ทำให้นางตกหลุมพรางได้
ตามที่คาดไว้ เขาเป็นนักพรตที่สามารถใช้คาถาสับเปลี่ยนโชคระดับสูงได้
ทันที่ฉินหลิวซีมีความคิดขึ้นมา ไฟนรกในร่างกายก็ปะทุ พลังงานชั่วร้ายอันเยือกเย็นที่ไหลไปทั่วร่างกาย ทันใดนั้นก็ราวกับพบมือปราบ ถูกเผาไหม้สลายไปอย่างรวดเร็ว
ซาหยวนจื่อหนีไปยังป่าบนภูเขาอันมืดมิดหยุดลง เกาะต้นไม้ไว้ก่อนจะกระอักเลือดออกมา กุมหน้าอกที่ปวดร้าว ดวงตาเผยให้เห็นความโหดเหี้ยมเล็กน้อย
นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้มีสภาพอนาถเช่นนี้ และความอนาถนี้ยังเกิดขึ้นภายในวันเดียว ให้ตายเถิด
เมื่อนึกถึงนิสัยหยิ่งผยองและออกไพ่อย่างไม่มีแบบแผนของฉินหลิวซี เขาก็หัวเราะด้วยความโกรธ และรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย
ครั้งนี้เขามาด้วยความเร่งรีบ ก่อนหน้านี้เขาก็ได้รับผลการสะท้อนกลับสองครั้งติดกัน เดิมทีควรจะรักษาให้หายดีแล้วค่อยมาหาฉินหลิวซี เป็นเพราะเขาใจร้อนเกินไป ทั้งอยากเห็นลูกศิษย์ที่อยู่ภายใต้การสั่งสอนของตาเฒ่าชื่อหยวนว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร อีกทั้งได้รู้ว่ามุกมังกรวารีอยู่ในมือนาง ด้วยความหุนหันพลันแล่น รอไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้มาที่นี่
แต่เขาประเมินค่าฉินหลิวซีต่ำไป คิดไม่ถึงว่านางอายุน้อยเพียงนี้แต่กลับเรียนรู้วิชาอาคมได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ยันต์เครื่องรางของขลังภายนอกเหล่านั้นเขาไม่สนใจ เพียงสิ่งพกติดตัวที่ตาเฒ่าชื่อหยวนเตรียมให้นาง แต่สิ่งที่ทำให้เขามีความหวาดกลัวต่อฉินหลิวซีก็คือตอนที่นางถูกดึงเข้าไปในภาพลวงตาของกระจกโลหิต ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ อายุเพียงเท่านี้แต่จิตใจกลับค่อนข้างมั่นคง
ซ้ำยังมีลูกไฟขนาดเล็กที่นางทิ้งลงไป ได้สร้างความเสียหายแก่กระจกโลหิตของเขาโดยตรง ทำให้เขาได้รับผลสะท้อนกลับอีกครั้ง
เมื่อตระหนักได้ว่าลูกไฟนั้นไม่ธรรมดา ซาหยวนจื่อจึงรู้สึกว่าถูกคุกคาม หากสู้กันต่อไป เขาอาจจะตายด้วยน้ำมือของฉินหลิวซี
ดังนั้นเมื่อเขารับรู้สถานการณ์เป็นอย่างดีจึงได้เลือกหนีเอาตัวรอด เมื่อฉินหลิวซีปรากฏตัวจึงใช้ตัวแทนเพื่อหลบหนี
คำกล่าวที่ว่ายอมตายดียอมจำนนอะไรนั่นไม่มีอยู่จริง สู้ไม่ไหวก็หนี เช่นนี้จึงจะมีอนาคต
วันนี้เป็นเพราะเขามาอย่างเร่งรีบ ไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างดี ซ้ำยังถูกผลสะท้อนกลับติดต่อกัน จึงได้ปล่อยให้ฉินหลิวซีเด็กเมื่อวานซืนผู้นั้นได้เปรียบ รอให้เขาฟื้นตัวอีกสักหน่อย ค่อยกลับมาเอามุกมังกรวารี
พวกเขายังมีเวลาอีกยาวนาน
ซาหยวนจื่อกระอักเลือดร้อนออกมาคำโต เลียมุมปาก หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ลูกไฟนั่น มีพลังอำนาจมาก ราวกับสามารถแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าดวงจิตสั่นสะท้าน นั่นคือไฟอะไรกัน
…
เมื่อฉินหลิวซีกลับมายังที่พักในหมู่บ้านก็เห็นเถิงเจายืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าเล็กๆ ตึงเครียด เมื่อเห็นนางกลับมา ดวงตาพลันเป็นประกายเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาปกติ
“ต่อสู้ชนะแล้ว” เขามองสำรวจบนตัวนางโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
ฉินหลิวซีเดินเข้ามาใกล้ ดีดหน้าผากเขา “เด็กน้อยไม่หลับไม่นอน มัวทำอะไรอยู่ ระวังจะหัวล้าน”
“ได้รับบาดเจ็บหรือ” เถิงเจาขมวดคิ้ว เขาได้กลิ่นเหม็นของคาวเลือด น่าสะอิดสะเอียน สกปรก
“เปล่าสักหน่อย” ฉินหลิวซีมองดูตัวเอง ยกแขนขึ้นสูดดมกลิ่นก็ได้กลิ่นคาวเลือดนั้นเช่นกัน อดรู้สึกคลื่นเหียนไม่ได้
เถิงเจาเดินตามหลังฉินหลิวซีกลับเข้าไปในห้อง แสงจากตะเกียงทำให้มองเห็นว่าเสื้อคลุมของนางสกปรกและมีคาบเลือด จึงไปเอาเสื้อคลุมที่สะอาดมาให้อย่างเงียบๆ
ดวงตาของฉินหลิวซีอบอุ่น ลูบศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน “ไปนอนเถิด”
“เป็นใครกัน” เถิงเจาถามพลางจ้องมองไปยังมุมเสื้อที่สกปรกของนาง
ฉินหลิวซีนึกถึงใบหน้าของซาหยวนจื่อผู้นั้น ตอบว่า “เป็นคนอัปลักษณ์คนหนึ่ง”
เถิงเจา “?”
“บางทีเขาอาจเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับอารามชิงผิงของพวกเรา” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “ออกมาข้างนอกนานแล้ว พวกเราจะกลับไปหลังงานประมูล”
“อืม” เถิงเจาก็คิดถึงปีศาจโสมน้อยแล้ว ไม่รู้ว่าใบของมันเติบโตเรียบร้อยดีหรือไม่
ปีศาจโสมน้อยที่กำลังดูดซับแสงจันทร์หาวขึ้นมา ทันใดนั้นก็ตัวสั่นสะท้าน ลืมตาขึ้น ลูบใบไม้ที่อยู่บนหัวของมัน และกำลังจะออกผลสีแดง เหตุใดจึงรู้สึกถึงลางร้ายเล็กน้อย
หรือว่าเป็นผลที่ตามมาจากการคิดถึงจอมปีศาจน้อยผู้นั้น
ไม่ มันไม่ได้คิดถึงจอมปีศาจเสียหน่อย มันแค่รู้สึกว่าในลานไม่มีกลิ่นไอของคน ก็เลยน่าเบื่อ
อารามชิงผิง
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนลืมตาจากการฝึกบำเพ็ญ ลองคำนวณนับนิ้วดู ขมวดคิ้วขาว สีหน้าเคร่งขรึม
เขาลุกขึ้นยืน เดินไปที่กำแพงภูเขาด้านหลังห้องเต๋า ท่องคาถา มือข้างหนึ่งร่ายมนต์ มืออีกข้างหนึ่งกดลงบนหินที่นูนออกมา กำแพงภูเขาที่พื้นผิวขรุขระค่อยๆ เปิดช่องประตูออก
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเดินเข้าไป ทางเดินยาวสว่างไสวด้วยตะเกียงนิรันดร์ ส่องสว่างทางเดิน เผยให้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังบนทางเดิน
นี่คือจิตรกรรมฝาผนังบันทึกประวัติศาสตร์การก่อตั้งสำนักชิงผิงในเมื่อก่อน
เมื่อผ่านทางเดินไปจะพบถ้ำที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ฝังด้วยหินหยกอย่างกระจัดกระจาย พลังวิญญาณเข้มข้น ภายใต้การส่องสว่างของตะเกียงนิรันดร์ ทำให้สว่างไสวราวกับเป็นตอนกลางวัน
ทางด้านซ้ายของถ้ำเป็นช่องเล็กๆ ที่ถูกแกะสลักทีละช่อง มีคัมภีร์โบราณหลายม้วนวางอยู่ รวมถึงศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมิน กระทั่งมีพระสูตรการเล่นแร่แปรธาตุและวิชาลับโบราณบางอย่างที่ไม่ได้รับการสืบทอด และทางด้านขวาของถ้ำวางป้ายชะตาชีวิตอยู่หลายป้าย
ป้ายชะตาชีวิตบางแผ่นมีสีเทาหมองคล้ำเนื่องจากถูกปกคลุมด้วยพลังงานสีดำ เป็นเพราะเจ้าของป้ายชะตาชีวิตนี้ได้เสียชีวิตไปแล้วจึงได้เป็นเช่นนี้
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนมองไปยังป้ายชะตาชีวิตของตัวเองแล้วถอนหายใจ จากนั้นก็เดินไปที่มุมห้อง โน้มตัวลงไปหยิบป้ายชะตาชีวิตมาจากมุมที่ควรถูกฝุ่นปกคลุมจนมืดดำไปนานแล้ว จ้องมองนิ่ง
ป้ายชะตาชีวิตที่เดิมทีกลายเป็นสีดำไปแล้ว กลับเรืองแสงสีแดงจางๆ ขึ้นมาอีกครั้ง พลังงานสีแดงนั้นค่อยๆ ปกคลุมป้ายชะตาชีวิต
“เจ้ายังไม่ตายจริงๆ ด้วย” นักพรตชื่อหยวนออกแรงบีบป้ายชะตาชีวิต สีหน้ามืดครึ้ม เอ่ยชื่อหนึ่งออกมา “ชื่อหลินจื่อ”
ตอนนั้นเขาเห็นว่าชื่อหลินจื่อวิญญาณแตกสลายไปกับตา เหตุใดจึงยังมีชีวิตอยู่ เขาเหลือแผนสำรองอะไรไว้ หรือว่าได้รับโอกาสอะไร
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเดินไปยังโต๊ะแปดเหลี่ยมที่อยู่กลางถ้ำแล้วนั่งลง ทันทีที่หยิบหญ้าซือในกล่องที่อยู่บนโต๊ะเล็กๆ ด้านข้างเตรียมจะใช้วิชาต้าเหยี่ยนเพื่อทำนาย ข้างหูก็ได้ยินเสียงตะคอก “ตาเฒ่ากล้าดีอย่างไร!”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนตัวสั่น หญ้าซือที่อยู่ในมือพลันร่วงลงบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองซ้ายขวา กุมหน้าอก ตกใจหมด นึกว่าศิษย์เนรคุณกลับมาแล้ว!
เขามองไปยังหญ้าซืออีกครั้ง ไม่ขยับอยู่พักใหญ่ ผ่านไปเป็นเวลานานจึงได้ถอนหายใจ นำหญ้าซือวางกลับเข้าไปในกล่อง
ช่างเถิด