ตอนที่ 610 ข้าบอกว่าเจ้าจะตายไม่ช้าก็เร็ว
มีคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเล่าต่อๆ กันมาเรื่องที่ตระกูลจังไปก่อความวุ่นวายที่โรงประมูลจิ่วเสียน ข่าวลือนี้ไม่ได้มีเรื่องอื่นใดนอกจากบอกว่าฉินหลิวซีที่เป็นหมอลัทธิเต๋าผู้นี้ร้ายกาจเป็นอย่างมาก เพียงเพราะดูออกว่าร่างกายของสะใภ้ลวี่นั้นอ่อนแอจนไม่สามารถบำรุงได้ และมีแผนการชั่วร้ายอย่างการทำให้ไร้ผู้สืบทอด ทำให้ผู้คนประหลาดใจ และมีผู้สูงศักดิ์ที่อ่อนแอบางคนก็อดไตร่ตรองไม่ได้ว่าที่ร่างกายของตัวเองยิ่งบำรุงก็ยิ่งอ่อนแอนั้นเป็นเพราะอ่อนแอจนไม่สามารถบำรุงได้หรือไม่
มีอยู่ช่วงหนึ่ง การค้าขายทางด้านวัตถุดิบยาบำรุงก็ต่ำลงเล็กน้อย ทำให้ร้านขายยารายใหญ่เหล่านั้นโกรธเป็นอย่างมาก โทษฉินหลิวซีที่เข้าไปยุ่ง นี่เป็นเรื่องที่ตามมาทีหลัง
ลวี่เซี่ยวซานที่เกี่ยวข้องกับความวุ่นวายในเหตุการณ์นี้ได้จัดการเรื่องสุสานบรรพบุรุษ แล้วส่งฉินหลิวซีกลับไปที่โรงประมูลจิ่วเสียนด้วยตัวเอง คำนับด้วยความเคารพ “ค่าตอบแทนของท่านเจ้าอาวาสน้อยข้าจะส่งมาให้ในภายหลัง”
ครั้งนี้ฉินหลิวซีไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นปัญหาทางร่างกายของนางเท่านั้น ซ้ำยังช่วยนางจัดการกับภัยพิบัติครั้งใหญ่อีกด้วย และได้เลือกฮวงจุ้ยอันล้ำค่าให้แก่ตระกูลลวี่ใหม่ ค่าตอบแทนนี้จะต้องจัดการอย่างพิถีพิถัน
ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “ขอให้ท่านนำเจ็ดส่วนของค่าตอบแทนเปลี่ยนเป็นเสบียงอาหารและวัตถุดิบยาส่งไปให้ผู้ลี้ภัยทางด้านตะวันออกของมณฑลเสฉวน เพื่อเป็นการทำความดีในนามของอารามชิงผิง ที่เหลืออีกสามส่วนนำไปส่งไปที่โรงประมูลจิ่วเสียนก็พอแล้ว”
ลวี่เซี่ยวซานตกตะลึง “ทำการกุศลเจ็ดส่วน?”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “แต่เดิมลัทธิเต๋าก็ให้ความสำคัญเรื่องห้าโทษสามวิบัติ นักพรตเต๋าใช้ศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมินเพื่อขจัดภัยพิบัติแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้คน เดิมทีก็มีทฤษฎีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่ขัดต่อเจตจำนงค์ของสวรรค์ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ได้รับมานั้นมีข้อจำกัด และการทำการกุศลนั้นสามารถชดเชยให้กับห้าโทษสามวิบัติได้ นี่เป็นหลักการหนึ่งของลูกศิษย์อารามชิงผิงอย่างพวกเราที่เดินในทางโลกช่วยเหลือผู้คน ทำความดีสะสมบุญ”
ลวี่เซี่ยวซานสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านเจ้าอาวาสน้อยมีความเมตตายิ่งนัก” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เหตุใดจึงส่งไปที่ทางตะวันออกของมณฑลเสฉวน”
ฉินหลิวซีถอนหายใจ “ปีนี้ทางด้านนั้นจะประสบความยากลำบาก เกรงว่าจะมีภัยแล้ง”
ลวี่เซี่ยวซานขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เรื่องนี้ข้าจำไว้แล้ว จะส่งคนไปจัดการ ตระกูลลวี่ของพวกเราก็จะทำความดีด้วย” ถือว่าเป็นการสะสมบุญให้แก่บิดา ให้เขาขจัดความขุ่นเคืองที่ถูกคนกดทับเมื่อก่อนหน้านี้
“สวรรค์จงประทานพรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” ฉินหลิวซีคำนับตามพิธีเต๋า มองนางพลางเอ่ย “ผลกรรมนั้นสวรรค์ย่อมเป็นคนตัดสิน คุณหนูลวี่ไม่จำเป็นต้องแปดเปื้อนบาปกรรมเรื่องชีวิตเพราะคนไม่สำคัญ จะทำลายพร”
ลวี่เซี่ยวซานตกใจ มองฉินหลิวซีอย่างแน่วแน่ ฉินหลิวซีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปในโรงประมูล
ลวี่เซี่ยวซานมองดูนางหายไป จากนั้นก็ขึ้นรถม้า หลับตาพักผ่อน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ก็ลืมตาขึ้น สายตาเย็นชา
โทษประหารหลีกเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นยากที่จะหนี
บางครั้งการมีชีวิตอยู่ทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก คนตระกูลจังก็ควรจะทนทุกข์ทรมานกับความโหดร้ายที่นางได้รับ
การปรากฏตัวของฉินหลิวซี ทำให้เสนาบดีลิ่นที่ได้ทราบข่าวถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ดี แต่เขานึกถึงในช่วงสองที่ผ่านมานี้อันเฉิงโหวท่าทางหวาดระแวง มาถามเขาอย่างลับๆ ล่อๆ ว่ามีคนไปเอามุกมังกรวารีกับเขาหรือไม่ ใบหน้าที่ดำคล้ำและซีดเซียวของเขาล้วนแสดงให้เห็นถึงสิ่งเลวร้ายที่เขาประสบในสองวันที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่รอบตัวของอันเฉิงโหวนั้นเย็นยะเยือกเป็นพิเศษ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสวมเสื้อคลุมผ้าแพรแล้วยังคลุมผ้าบางๆ ในสภาพอากาศอย่างเดือนสี่
เขาโดนของหรือ
เสนาบดีลิ่นลูบเครื่องรางหยก รู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างมาก
ต่อมาไม่กี่วัน นอกจากไปรักษาผู้ป่วยที่ตรวจไว้เมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ฉินหลิวซีก็ฝึกบำเพ็ญอยู่ในโรงประมูลจิ่วเสียน ไปเอาวัตถุดิบยาที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ทำยาเม็ด จากนั้นก็พาเถิงเจาไปรักษาโรคการกุศลที่วัดเฉิงหวงสองวัน ดังนั้นผู้ที่ต้องการไปหาฉินหลิวซีที่โรงประมูลจิ่วเสียนเพื่อขอรับการรักษาล้วนไปเสียเที่ยว
คนส่วนใหญ่ที่ย้ายไปอยู่รอบๆ วัดเฉิงหวงเป็นผู้ลี้ภัยที่หนีภัยพิบัติมาจากนอกเมือง ยากจน อีกทั้งมีอาการไม่สบายทางร่างกาย ส่วนใหญ่เป็นการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ สามารถฝังเข็มได้ ฝังสักหน่อยแล้วค่อยเขียนใบสั่งยาราคาถูก สมุนไพรทั้งหมดเป็นของที่พบได้ทั่วไปในภูเขาและเก็บได้
การรักษาการกุศลประการแรกเพื่อทำการกุศล ประการที่สองเพื่อฝึกฝนเถิงเจา ให้เขามีโอกาสฝึกฝนประสบการณ์จริง
เดิมทีที่เถิงเจาเห็นผู้ลี้ภัยตัวน้อยมอมแมมเหล่านั้นก็ยังไม่กล้าจับชีพจร เป็นฉินหลิวซีที่บังคับเขา พึ่งตรวจไปคนแรกก็อึดอัดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ตรวจคนที่สองจึงได้ทำใจได้ง่ายมากขึ้น เพียงแต่ทุกครั้งที่กลับมายังที่พักหลังจากรักษาการกุศล เขาก็จะทำความสะอาดตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ใช่ว่ารังเกียจที่คนอื่นป่วย แต่เขารับสิ่งสกปรกไม่ได้
ฉินหลิวซีก็ไม่ได้ว่าเขาเสแสร้งหรืออะไรทำนองนั้น ตราบใดที่เขาได้เรียนรู้วิชา กลายเป็นคนที่เก่งกาจ ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยแปลกๆ อะไรหรือเสแสร้งอย่างไร คนนอกก็จะไม่สนใจ สนใจเพียงแค่ว่าเขามีความสามารถหรือไม่
สำหรับวิชาแพทย์ นางมีคำขอที่เข้มงวดต่อเขาเป็นอย่างมาก เพราะการตรวจโรคผิดและเขียนใบสั่งยาผิดจะทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ง่าย ดังนั้นทุกวันที่รักษาการกุศล เถิงเจาจะต้องบันทึกผู้ป่วยที่ไปตรวจมา เพื่อที่จะได้ทบทวนซ้ำไปซ้ำมา
แน่นอนว่าเด็กที่โตได้เพียงครึ่งหนึ่งยังไม่เป็นผู้ใหญ่สองคนทำการรักษาการกุศลก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับข้อสงสัย โดยเฉพาะที่ฉินหลิวซีเป็นคนตรวจก็ไม่เท่าไร อย่างไรเสียก็ใช่ว่าจะไม่มีคนมีความสามารถที่อายุเท่านางเช่นนี้
แต่เห็นได้ชัดว่าเถิงเจายังเป็นเด็ก ไยจึงให้เขามาจับชีพจรตรวจโรค เห็นชีวิตคนเป็นของเล่นหรือ
เช่นเดียวกับตอนนี้
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามจากคนที่ดูเหมือนเป็นพวกนักเลง แล้วมองดูเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่รอบๆ ฉินหลิวซีเอามือกอดอก เอ่ยว่า “พวกเราอาจารย์และศิษย์ทำการรักษาการกุศลที่นี่ไม่รับเงิน เพียงแค่บำเพ็ญกุศล ลูกศิษย์ข้าอายุน้อย จึงต้องเรียนรู้การจับชีพจรตรวจโรค มีอะไรผิดปกติหรือ มีหมอคนไหนบ้างที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาตั้งแต่เล็ก ข้าบอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่า หากเต็มใจก็มาตรวจ หากไม่เต็มใจก็แล้วไป ดังนั้นอยากตรวจก็ตรวจ ไม่ตรวจก็ไสหัวไป ย่อมมีคนมาให้ข้าตรวจอยู่แล้ว!”
“เหอะ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนเย่อหยิ่งไม่น้อยเลย” นักเลงคนหนึ่งถกแขนเสื้อ เอ่ยอย่างร้ายกาจว่า “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำให้เจ้าเดินออกจากวัดนี้ไม่ได้”
ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “ข้าจะเดินออกจากวัดนี้ได้หรือไม่ก็ไม่รบกวนให้เจ้ามาเป็นหวง ว่าแต่เจ้าจะมีชีวิตรอดผ่านปีนี้ไปได้หรือไม่นั้นยังยากที่จะบอกได้”
นักเลงไป๋สีหน้าเปลี่ยนไป กำหมัดทั้งสองข้างทุบโต๊ะ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองตาโต “เจ้าเด็กเมื่อวานซืนพูดว่าอะไรนะ แน่จริงก็พูดอีกครั้ง!”
“ข้าบอกว่าเจ้าจะตายไม่ช้าก็เร็ว! เจ้าสีหน้าเหลือง ดวงตาทั้งสองข้างมีเส้นสีแดง ลูกตาสีเหลือง เบ้าตาดำ ช่วงนี้ตามองเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนกระมัง กลิ่นปากเหม็นราวกับกลืนอาจมเข้าไป เหงือกบวมมีเลือดออกตามฟัน โพรงจมูกก็มีเลือดออกอยู่เรื่อยๆ กระมัง”
“เจ้ากล่าวเหลวไหล…” นักเลงไป๋เพิ่งจะเอ่ยปาก เลือดกำเดาก็ไหลออกมาจากจมูกทั้งสองรูของเขา อดตกใจไม่ได้
ทุกคนต่างอุทานด้วยความตกใจ
นักเลงไป๋เอามือกุมจมูก สายตาที่มองไปยังฉินหลิวซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ศิษย์ข้า เจ้าว่าเขาเป็นโรคอะไร” ฉินหลิวซีจ้องมองอันธพาลไป๋อย่างเย็นชา
เถิงเจาเฝ้าดูตั้งแต่ตอนที่ฉินหลิวซีเอ่ยแล้ว ก่อนจะตอบว่า “ท่านอาจารย์ หรือว่าตับมีปัญหา”
“ก็เป็นตับน่ะสิ” ฉินหลิวซีจ้องอันธพาลไป๋แล้วจึงเอ่ย “เจ้าลองกดบริเวณตับของตัวเอง รู้สึกปวดเล็กน้อยใช่หรือไม่ ในชีวิตประจำวันอาหารสามมื้อของเจ้าต้องมีสุรา ร่ำสุราเคล้านารีทั้งวันทั้งคืน ซ้ำยังมีอาการปวดท้องท้องเสีย อ่อนเพลียเหนื่อยล้า ไม่รู้รสอาหารใช่หรือไม่”
อันธพาลไป๋สั่นไปทั้งตัว เพราะอีกฝ่ายกล่าวถูกทั้งหมด เขาคิดว่าเป็นเพราะตัวเองเล่นสนุกอยู่ที่หอนั้นมากเกินไป
“ข้า ข้า…” นักเลงไป๋ปากสั่น คุกเข่าลงบนพื้นอย่างแรง ยื่นมือออกมา “ท่านหมอ โปรดจับชีพจรให้ข้าด้วย ปัญหานี้ของข้าใหญ่หรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ปัญหาร้ายแรงแล้ว โรคเข้าสู่ตับ ยากที่จะกลับคืนมาได้ เมื่อกลับไปแล้ว อยากกินก็กิน อยากดื่มก็ดื่ม อย่าเสียตังซื้อยาเลย ดีกับลูกและภรรยาสักหน่อย อย่างน้อยก็จะทำให้ลูกๆ ของเจ้าเต็มใจถือธงโปรยกระดาษให้เจ้า!”
ถุย ชายที่ชอบใช้ความรุนแรงทั้งตัวมีแต่บาปรู้จักแต่ทุบตีลูกเมีย ในเมื่อป่วยหนักจนใกล้จะตายแล้ว เช่นนั้นก็รีบตายไปเกิดใหม่เสียเถิด!
ในฝูงชน ผู้ที่มองดูเหตุการณ์นี้ต่างพากันถอนหายใจ
หมายความว่านักเลงผู้นี้หมดหวังแล้ว
นักเลงไป๋ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดีดตัวขึ้นมา “เจ้าขี้โม้ เจ้าเป็นหมอไม่ได้เรื่อง ไม่มีความสามารถก็เลยมากล่าวไร้สาระอยู่ที่นี่”
“คนที่ไม่เต็มใจยอมรับความจริงอย่างเจ้าข้าเห็นมาเยอะแล้ว” ฉินหลิวซีไม่ได้โกรธ เอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าเคยทำบาปทำกรรม ผลกรรมย่อมตามสนอง”
รูม่านตาของนักเลงไป๋หดลง กำหมัดเสียงดังกร๊อบ
ฉินหลิวซีสบตาเขาโดยไม่มีความหวั่นเกรงใดๆ
“ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีหมอที่สามารถรักษาโรคนี้ของข้าให้หายได้ เจ้ารอข้ากลับมาเตะคนกระจอกอย่างเจ้าได้เลย” สุดท้ายนักเลงไป๋ก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่กล่าวทิ้งท้ายหนึ่งประโยค
เขายกเท้าเดินไปได้สองก้าว ฉินหลิวซีก็เอ่ยว่า “แน่นอนว่าจะมีหมอที่บอกว่ารักษาได้ แต่กลับทำเพื่อหลอกเอาเงินเจ้า ไฝร้ายอยู่ที่สันดั้งจมูก ขนคิ้วยุ่งเหยิง มันเป็นลางว่าเจ้าจะสูญเสียเงินในเร็วๆ นี้ ทางที่ดีเจ้าเก็บเงินไว้ให้แม่ของลูกเจ้าเลี้ยงลูกให้เจ้าเถิด”
นักเลงไป๋เดินเซ หันกลับมาจ้องมองฉินหลิวซีอย่างดุเดือด แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีละสายตา “ใครเป็นคนต่อไป”
“ข้า ข้า หมอ ถึงลำดับข้าแล้ว” มีคนรีบพุ่งเข้ามาทันที เอ่ยว่า “ท่านหมอ ท่านรีบบอกมาเร็วเข้าว่าข้าเป็นโรคอะไร”
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา กล่าวว่า “ปัญหาของเจ้าคือเจ้ากินมากเกินไป มีอาการท้องผูกเนื่องจากการสะสมของความเย็น เมื่อกลับไปให้กินปาโต้ว[1] คนต่อไป”
บุรุษผู้นั้นหน้าแดงก่ำ เอาแขนเสื้อปิดหน้าแล้ววิ่งหนีไป ทำเอาผู้คนที่เห็นเหตุการณ์พากันหัวเราะลั่น
“นายท่านน้อย ท่านหมอเต๋าท่านนี้ปากไม่ค่อยดี อารมณ์ก็ไม่ดี พวกเราอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า” ในฝูงชนมีบ่าวรับใช้กล่าวกับบุรุษที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา
บุรุษผู้นั้นกล่าวว่า “เป็นผู้ที่มีความสามารถจึงได้เป็นคนอารมณ์ไม่ดี สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออารมณ์ไม่ดีซ้ำยังไม่มีความสามารถ ไปเถิด ไปต่อแถว”
ฉินหลิวซีพึ่งจะจับชีพจรของเด็กที่ผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูกแต่กลับท้องโต จากนั้นก็มองไปยังสตรีที่พาเขามาตรวจอาการ ขมวดคิ้ว ถามว่า “พวกเจ้ากินดินขาวหรือ”
คนที่ได้ยินต่างก็พากันอุทานด้วยความประหลาดใจ ผู้ลี้ภัยในเมืองหลวงยังมีคนกินดินขาวด้วยหรือ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านก็ไม่ได้มีภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะลำบากยากแค้นแค่ไหน แม้ว่าจะต้องกินผักกินหญ้าแต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องกินดินขาว สองแม่ลูกคู่นี้ไปกินดินขาวได้อย่างไร
สตรีผู้นั้นก้มหน้าลง กล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ข้าถูกบังคับ”
ฉินหลิวซีเห็นว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า หน้าเหลืองผอมบาง เต็มไปด้วยพลังงานแห่งความตาย สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งที่ไม่พอดีตัว เอ่ยว่า “กินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หากจะกำจัดให้หมดจะพึ่งแค่ยาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องควบคู่ไปกับการฝังเข็มและดื่มยาด้วย ซึ่งต้องใช้เงิน”
เมื่อได้ยินดังนั้น มือที่โอบเด็กน้อยก็กระชับแน่นขึ้น เม้มริมฝีปาก กล่าวว่า “ขอบคุณท่านหมอ พวกเราไม่รักษาแล้ว”
หากพวกเขามีเงินรักษาก็คงไม่ล่าช้ามาจนถึงตอนนี้
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่านางกำลังจะจากไป ก็เอ่ยว่า “หากเจ้าอยากจะรักษาก็รออยู่ตรงนี้ก่อนเถิด จะมีคนช่วยเจ้า”
สตรีผู้นั้นตกตะลึง
ฉินหลิวซีมองไปยังผู้ลี้ภัยอีกสองคน จนกระทั่งเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามแต่สีหน้าซีดรูปร่างผอมบางนั่งลง นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “มาแย่งสวัสดิการกับผู้ลี้ภัย คุณชายไม่รู้สึกอายบ้างหรือ”
ลู่สวิน “…”
เดิมทีก็ไม่อาย แต่เมื่อถูกกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าก็เริ่มร้อนระอุและแดงก่ำขึ้นมา
เขาก้มหน้ามองดูเสื้อผ้าเก่าๆ หันไปเหลือบมองบ่าวรับใช้ของตัวเองเล็กน้อย ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า
บ่าวรับใช้ยิ้มอย่างลำบากใจ นายท่านน้อยมีสง่าราศี แม้จะสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ก็ไม่สามารถปกปิดราศีทั้งตัวของท่านได้
ลู่สวินเงยหน้าขึ้นมองฉินหลิวซีที่กำลังยิ้มใบหน้านิ่งมองมาที่เขา กระแอมขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ส่งเทียบไปขอพบท่านหมอแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ เลย บังเอิญพบท่านรักษาการกุศลอยู่ที่นี่ ก็เลย…”
ฉินหลิวซีชี้ไปยังสตรีที่กินดินขาว เอ่ยกับลู่สวินว่า “หากท่านจ่ายค่ารักษาให้พวกเขา ข้าจะตรวจให้ท่าน”
ลู่สวินรู้สึกประหลาดใจ มองไปยังสตรีผู้นั้นที่จูงมือเด็กน้อยใบหน้าซีดเหลืองร่างกายผอมบางแต่ท้องโต จึงพยักหน้า “ตกลง”
สตรีผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย รีบดึงเด็กน้อยให้คุกเข่าลงทันที โขกศีรษะคำนับทั้งสองคนหลายครั้ง
“รอก่อนเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ยปลอบโยนสตรีผู้นั้น
สตรีผู้นั้นสะอึกสะอื้นพลางพยักหน้า ถอยออกไปอยู่ด้านข้าง อุ้มเด็กน้อยพลางมองไปทางนั้นอย่างตั้งใจ
ฉินหลิวซีให้ลู่สวินยื่นมือออกมา สองนิ้ววางลงไป จับชีพจรที่ข้อมือซ้ายขวาสลับกันไป มองดูจุดสีขาวบนหน้าเขา กล่าวว่า “ท่านหมอที่ตรวจให้เมื่อก่อนหน้านี้วินิจฉัยว่าอย่างไร”
ลู่สวินตอบว่า “เนื่องจากปวดท้องอย่างหนัก มีอาการหนาวสั่น กระเพาะกับลำไส้มีสภาวะที่ไม่ดี บ้างก็บอกว่าม้ามและกระเพาะบกพร่อง บ้างก็บอกว่าเป็นโรคระบาด เมื่อเข้าหน้าหนาวจะดีขึ้น แต่ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ อาการปวดท้องก็เป็นเริ่มบ่อยขึ้นเรื่อยๆ หงุดหงิดกระสับกระส่าย ก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร”
ฉินหลิวซีลุกขึ้น ให้เขาอ้าปาก เห็นเม็ดตุ่มใสที่ริมฝีปากด้านในของเขา จากนั้นก็ให้เขายืนขึ้น กดที่บริเวณท้องของเขา เอ่ยว่า “ชีพจรของท่านแสดงให้เห็นถึงความเย็นและความร้อนที่ไม่สม่ำเสมอในกระเพาะอาหาร ลมปราณของปอดบกพร่อง บอกว่าท่านม้ามและกระเพาะบกพร่องนั้นก็ถูกอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ต้นเหตุที่ทำให้ท่านไม่สบายไม่ใช่เพราะมัน”
“เช่นนั้นเป็นเพราะอะไรหรือ”
“พิษ” ฉินหลิวซีเห็นว่าลู่สวินสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเอ่ยอธิบายว่า “พูดให้ถูกก็คือพิษแมลง ก็คือพิษของแมลงกู่ ก่อนที่จะเริ่มมีอาการป่วยครั้งแรกท่านได้ไปยังสถานที่ร้อนชื้นอย่างเช่นหนานเจียงหรือเซียงหนานซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคแมลงระบาดหรือไม่”
“ในปีที่ผ่านมานายท่านน้อยของพวกเราอยู่ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด ไม่ได้ไปสถานที่เหล่านั้นเลยขอรับ” บ่าวรับใช้กล่าว
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ไปสัมผัสกับน้ำที่มีพิษกู่หรือการดื่มโดยไม่ตั้งใจ ก็สามารถเกิดปรสิตได้ทั้งนั้น”
นางหยิบชาดแดงกับพู่กันปลุกเสก แล้วหยิบยันต์ยาหนึ่งแผ่นออกมาวาดยันต์ศักดิ์สิทธิ์ไล่แมลงกู่ กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป มันเป็นแค่ปรสิตแมลงกู่ธรรมดาทั่วไป ฤดูหนาวอากาศเย็น ปรสิตก็จะอยู่เฉยๆ ไม่ขยับไปไหนจึงทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น แต่เมื่ออากาศร้อน การทำงานของลมปราณในปอดของท่านอ่อนแอ แม้แต่ความเย็นและความร้อนของกระเพาะอาหารก็ไม่สม่ำเสมอ ทำให้การทำงานของอวัยวะภายในทั้งห้าไม่สมดุล ปรสิตจะไม่อยู่กับที่ จึงได้เคลื่อนไหวขึ้นลงจนทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย”
ลู่สวินขนลุกซู่
บ่าวรับใช้ถูมือพลางเอ่ย “ท่านหมายความว่ามีแมลงอยู่ในท้องนายท่านน้อยของบ่าวหรือขอรับ”
“อืม” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ปรสิตชอบวิ่งไปมาและชอนไช กลัวความเย็น ชอบความร้อน มันจะเคลื่อนไหวเมื่อได้กลิ่นหวาน และหยุดเมื่อเจอรสเปรี้ยว ช่วงนี้อากาศร้อน เป็นเรื่องปกติที่พวกมันจะชอนไชอยู่บ่อยๆ”
ใบหน้าของลู่สวินเริ่มเขียวขึ้นเรื่อยๆ หยุดพูดได้แล้ว พูดจนเขาอยากจะกรีดท้องเอาแมลงออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
ฉินหลิวซีมอบยันต์ที่วาดเสร็จแล้วให้แก่เขา จากนั้นก็เขียนใบสั่งยาตำหรับยาซื่อจวินจื่อทัง[2] แล้วจึงเอ่ยว่า “ใส่ยันต์ยานี้ลงไปในตำหรับยาซื่อจวินจื่อทังแล้วดื่ม นั่งส้วมแล้วถ่ายออกมาก็จะดีขึ้น”
ลู่สวินปลายนิ้วสั่น เมื่อคิดถึงภาพนั้นก็สั่นไปทั้งตัว
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ พวกเจ้าตามข้าไปที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะเถิด” ฉินหลิวซีชี้ไปยังสองแม่ลูกที่กินดินขาวผู้นั้น
นางพึ่งจะลุกขึ้นยืน ก็มีคนมาขับไล่ผู้ลี้ภัยออกไปอย่างเกรี้ยวกราด เดินเข้ามาด้วยใบหน้าหยิ่งผยองพลางเอ่ย “ท่านนี้ก็คือหมอลัทธิเต๋าที่อาศัยอยู่ในโรงประมูลจิ่วเสียนกระมัง นายท่านของข้าเชิญท่านไปรักษา ไปกับพวกเราตอนนี้เลยเถิด”
[1] ปาโต้ว มีรสเผ็ด มีพิษมาก ร้อน เข้าสู่เส้นลมปราณกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่
[2] ซื่อจวินจื่อทัง บำรุงชี่กระเพาะม้าม