ตอนที่ 614 เมื่อครู่ยังพูดหลอกเอาเงินข้าอย่างมั่นใจอยู่เลย?
ระหว่างทางไปตระกูลซู องค์ชายสามยังคงมึนงงเล็กน้อย เชิญคนมาได้แล้ว แต่เหตุใดจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอยู่เสมอ
การไปเชิญคนมาได้บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่กระบวนการกลับเป็นไปอย่างอธิบายได้ยาก ค่อนข้างหงุดหงิดซ้ำยังเสียเงิน
องค์ชายสามหยิบขวดหยกออกมามองดู สิ่งนี้ราคาสองพันตำลึง ราวกับถูกปล้นเงินไปไม่ใช่หรือ
“พี่สวิน ท่านว่าข้าถูกโกงหรือไม่” องค์ชายสามมองไปยังลู่สวิน
ลู่สวินเอ่ยเสียงเรียบว่า “นี่เป็นการสอนให้เจ้ารู้จักถ่อมตัวมากขึ้น”
องค์ชายสาม “?”
เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสถานะของพวกเราคืออะไร คำว่าอ่อนน้อมถ่อมตนควรใช้กับราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์หรือ
“จะโกงหรือไม่ไม่สำคัญ เมื่อให้เงินสองพันตำลึงไป ก็เชิญคนมาได้แล้วไม่ใช่หรือ จงพอใจเถิด” ลู่สวินหลับตาลง
องค์ชายสามเหลือบมอง เอ่ยว่า “เช่นนั้นพี่สวินไปทำอะไร”
“แน่นอนว่าไปรับการรักษา”
“รักษาอะไร ไตพร่องเหมือนกันหรือ” ดวงตาขององค์ชายสามเป็นประกาย ไตพร่องไปด้วยกัน การปลอบใจนี้ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่มากก็น้อย
ลู่สวินลืมตา “ข้ามีหนอน”
“หา?” มีหนอนคืออะไร
องค์ชายสามเหลือบมองไปที่ท้องของเขา “เช่นนั้นท่านถูกโกงเงินไปเท่าใดแล้ว” โดนโกงไปด้วยกัน นี่เป็นการปลอบใจที่เหมาะสมอย่างยิ่ง!
ลู่สวินยิ้มให้เขา “ข้าไปเข้าร่วมการรักษาการกุศล ไม่เสียเงิน!”
องค์ชายสาม “?!”
มลายไปเสียเถิด โลกใบนี้โหดร้ายเกินไปสำหรับเขา!
ลู่สวินไม่ได้ตามองค์ชายสามและคนอื่นๆ ไปที่ตระกูลซู แต่ไม่ได้เป็นเพราะฐานะสูงต่ำของตระกูลซู แต่เป็นเพราะสถานะของเขา เขาทำงานอยู่ที่สำนักจินเซิ่นของฮ่องเต้ หากมาที่นี่อย่างอุกอาจ เกรงว่าตระกูลซูจะคิดว่าตัวเองไปทำอะไรผิดมา อีกอย่างจะเป็นการดึงดูดความหวาดระแวงของฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงไม่ใกล้ชิดกับตระกูลมารดาขององค์ชายทั้งหลาย ขุนนางคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
หลังจากกำชับองค์ชายสามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าล่วงเกินฉินหลิวซีอีก เขาก็ไล่อีกฝ่ายลงจากรถม้าไป
หลิวซวงหันมาด้านในรถม้า เอ่ยกับลู่สวินว่า “นายท่าน ท่านว่าจะจัดการกับแม่ลูกคู่นี้อย่างไรดีขอรับ”
“เจ้าให้เหล่าหูส่งเงินไปที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ให้พวกเขาดูแลอย่างดี ค่ายาทั้งหมดและอาหารทั้งสามมื้อให้ส่งมาที่จวนแล้วบันทึกไว้ในบัญชีของข้า” ลู่สวินกล่าว
หลิวซวงพยักหน้าแล้วจำไว้ กล่าวว่า “แล้วตัวตนของพวกเขาล่ะขอรับ”
“ส่งคนไปตรวจสอบ” ลู่สวินเอ่ย “คงจะเป็นเรื่องจริง”
หลิวซวงท่าทางฟึดฟัด “ผู้ช่วยหลินโหดเหี้ยมมากจริงๆ เพื่อที่จะปีนป่ายขึ้นที่สูง แค่ลดจากภรรยาเอกเป็นอนุภรรยายังไม่เท่าไร แต่นั่นก็เป็นถึงบุตรชายแท้ๆ ของเขา กลับปฏิบัติได้ต่ำช้าขนาดนี้”
ลู่สวินไม่ได้เอ่ยอะไร เขากำลังคิดเรื่องพิธีบวงสรวงเมื่อปีที่แล้ว สำนักกวงลู่แทบจะเปลี่ยนบุคลากรทั้งหมดแล้ว แต่คนอย่างผู้ช่วยหลินกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำยังได้แต่งงานกับสตรีที่ดี โชคดีเกินไปหรือไม่
“ให้คนไปตรวจสอบผู้ช่วยหลินด้วย” ลู่สวินเอ่ยเสริมขึ้นมา คนผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ
ตระกูลซู
องค์ชายสามได้ส่งคนไปแจ้งไว้นานแล้วว่าเขาจะพาฉินหลิวซีมาที่จวน ดังนั้นคนที่รออยู่หน้าประตูก็คือนายท่านใหญ่ซู ท่านลุงแท้ๆ ของเขา
“ท่านลุงใหญ่ ไยท่านมารออยู่ที่นี่”
นายท่านใหญ่ซูแต่งกายดั่งปัญญาชน ยกมือขึ้นคำนับอย่างนอบน้อม “องค์ชายสามเสด็จมาถึงที่นี่ กระหม่อมย่อมต้องมารอรับเสด็จ”
นี่ก็คือสถานะที่ลู่สวินพูดถึง แม้ว่าจะเป็นถึงท่านลุงขององค์ชาย แต่เมื่อเห็นองค์ชายก็ยังต้องคำนับ นี่เป็นการแสดงความเคารพต่อตระกูลสวรรค์
“ท่านลุงใหญ่ไม่ต้องมากพิธี” องค์ชายสามโบกมือ ชี้ไปที่ฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านนี้ก็คือท่านเจ้าอาวาสน้อย”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบก้าวไปข้างหน้า เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ค่อนข้างขี้โมโหง่าย ท่านลุงใหญ่อย่าได้ถือสา”
นายท่านใหญ่ซูประหลาดใจเล็กน้อย เหลือบมองฉินหลิวซี
องค์ชายสามเป็นหลานชายแท้ๆ ของตัวเอง นิสัยของเขา ในฐานะที่เป็นลุงแท้ๆ ไหนเลยจะไม่รู้ เนื่องจากมาจากตระกูลสูงศักดิ์ และได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอยู่บ้าง จึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขา
แต่กลับเตือนตัวเองว่าไม่ควรไปทำให้ฉินหลิวซีขุ่นเคือง คงจะขี้โมโหยิ่งกว่า
เขากำลังหลีกเลี่ยงการปะทะกับฉินหลิวซี!
เขากลับไม่รู้ว่านี่คือบทเรียนที่หลานชายของเขาซื้อมาด้วยเงินสองพันตำลึง
เมื่อนายท่านใหญ่ซูมองไปยังฉินหลิวซี ได้ก้าวฝีเท้าเดินไปหานางแล้ว ยกมือขึ้นคารวะ “ได้ยินมานานแล้วว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยมีวิชาแพทย์ที่โดดเด่น ในจวนก็เคยส่งเทียบเชิญไปที่โรงประมูล แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้พบ วันนี้เมื่อได้เห็น ท่านเจ้าอาวาสน้อยโดดเด่นสง่างามจริงๆ”
ฉินหลิวซีมองไป คำนับตามธรรมเนียมเต๋า “สวรรค์จงประทานพรไม่มีที่สิ้นสุด ข้าน้อยมิกล้า”
องค์ชายสาม “!”
ท่าทางถ่อมตนอย่างจริงใจนี่มันอะไรกัน เมื่อครู่เจ้ายังพูดหลอกเอาเงินข้าอย่างมั่นใจอยู่เลย
เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีถ่อมตัว เถิงเจาก็มองไป คนผู้นี้ไม่เลวเลย บนร่างกายมีแสงสีทองแห่งบุญกุศลที่เจิดจ้า
นายท่านใหญ่ซูก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นี่ก็ไม่ได้ดูเหมือนคนที่ขี้โมโห ดูเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ต้องเป็นองค์ชายสามที่เล่นซุกซนและโกหกแน่ๆ
สีหน้าของเขายิ่งดูอ่อนโยนมากขึ้น กล่าวว่า “เชิญเข้าไปดื่มชาข้างในก่อนเถิด”
ฉินหลิวซีเดินตามหลังเข้าไปอย่างถ่อมตน
นายท่านใหญ่ซูเป็นคนช่างพูดจา เมื่อรู้ว่าฉินหลิวซีมาจากเมืองหลีก็พูดถึงทิวทัศน์ของเมืองหลี บอกว่าภูเขาและแม่น้ำที่นั่นสวยงาม ไม่แปลกใจเลยที่ฉินหลิวซีเติบโตที่นั่น
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “ไม่ดีเท่าผู้ประเสริฐ”
ท่านนี้เป็นขุนนางที่ดีที่ทำผลประโยชน์แก่ราษฎร มีบุญกุศลติดตัว ย่อมมาจากความศรัทธาของราษฎร
องค์ชายสามมองดูฉินหลิวซีกับท่านลุงใหญ่ที่ท่าทางราวกับเสียดายที่รู้จักกันช้าไป อดดึงเถิงเจาที่อายุยังน้อยมากระซิบถามไม่ได้ “อาจารย์ของเจ้าผู้นี้เปลี่ยนคนแล้วหรือ เหตุใดจู่ๆ ก็สุภาพขึ้นมา”
เถิงเจา ‘ปัญญาอ่อน’
“เจ้ารีบบอกมาสิ” องค์ชายสามร้อนใจเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าหากจะโกงก็มาโกงข้า ห้ามโกงท่านลุงใหญ่ข้าเด็ดขาด”
เถิงเจา “เขาทำงานอะไร”
เถิงเจา “วางใจเถิด โกงท่านแค่คนเดียว”
องค์ชายสาม ‘ตอนนี้วางใจแล้ว แต่เหตุใดฟังดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ’
“ท่านผู้ประเสริฐสัมผัสกับน้ำมาเป็นเวลาหลายปี ร่างกายมีความเย็น ตอนนี้ในวันที่ฝนตกก็จะรู้สึกปวดเมื่อยขาและเท้าเล็กน้อยใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยกับนายท่านใหญ่ซูว่า “ข้าจะฝังเข็มขับไล่พิษความเย็นให้กับท่านในภายหลัง จากนั้นค่อยเขียนใบสั่งยาปรับสภาพให้กับท่าน มิเช่นนั้นขาของท่าน เมื่อเวลาผ่านไปนานก็จะเกิดอาการหนาวขาอยู่บ่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะเดินไม่ไหวแล้ว”
นายท่านใหญ่ซูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไปๆ มาๆ ไยจึงลากตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องเสียแล้ว หรือว่าหลานชายบอกผิดไป คนที่ต้องการรับการรักษาเป็นบุตรสาวของเขาต่างหาก
“เรื่องนี้ท่านก็ดูออกด้วยหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าเป็นหมอลัทธิเต๋า ใช้หลักเต๋าในการรักษา เมื่อเห็นคนมีอาการป่วยย่อมไม่มองข้าม คิดว่าในวันปกติทั่วไปท่านเองก็ได้ศึกษาลัทธิเต๋า และได้รู้ถึงความดีงามของวิชาเต๋าด้วย”
นายท่านใหญ่ซูดวงตาเป็นประกาย “เป็นเช่นนั้น ข้าได้รับแรงบันดาลใจจากเต๋าว่าธรรมชาติและคนรวมกันเป็นหนึ่ง จึงได้นำมาประยุกต์ใช้กับโครงการอนุรักษ์น้ำ และได้รับประโยชน์มากมาย”
“เช่นนั้นท่านควรอ่านบทควบคุมน้ำของคัมภีร์เต้าเต๋อจิง[1] และคัมภีร์อี้จิง[2]โบราณ”
เมื่อนายท่านใหญ่ซูได้ฟังดังนั้นก็เริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านเจ้าอาวาสน้อยผู้นี้มีความรู้ไม่เลวเลย เขากำลังจะถามเพิ่มเติมอีกสองสามประโยค แต่เห็นฉินหลิวซีจ้องมองไปยังสระน้ำเล็กๆ ทางด้านขวามือ
“มีอะไรหรือ”
ฉินหลิวซีเดินไปที่สระน้ำเล็กนั่น กล่าวว่า “ทำไมสระน้ำนี้จึงได้ถูกกลบ เดิมทีเป็นสระบัวที่มีน้ำไม่ใช่หรือ”
“ใช่แล้ว ท่านรู้ได้อย่างไร” นายท่านใหญ่ซูประหลาดใจเล็กน้อย
ฉินหลิวซีคิดอยู่หนึ่ง ถามว่า “องค์ชายสามบอกว่าบุตรสาวของท่านป่วยด้วยโรคประหลาด ขอถามได้หรือไม่ว่าประหลาดอย่างไร”
รอยยิ้มของนายท่านใหญ่ซูจางลง เม้มริมฝีปาก
[1] คัมภีร์เต้าเต๋อจิง เป็นคัมภีร์ซึ่งก่อกำเนิดจากแนวคิด ของ เหลาจื่อ (เล่าจื๊อ) ซึ่งเป็น ปราชญ์โบราณชาวจีน
[2] คัมภีร์อี้จิง คือวิชาที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง จากมีเป็นไม่มี ไม่มีเป็นมี บวกกลายเป็นลบ ลบกลายเป็นบวก