ตอนที่ 620 เถิงเจาถูกรังแก
สำหรับการไปตระกูลเถิง เถิงเจารู้สึกต่อต้านในใจอยู่บ้าง แต่เมื่อมองเห็นสายตาคาดหวังจากบิดา เขาจึงพยักหน้า
ช่างเถิด หลังจากครั้งนี้แล้ว ต่อจากนี้คงเจอกับครอบครัวน้อยลงแล้ว ถือเสียว่าเป็นการทำข้อตกลงให้เด็ดขาด
หลังว่าราชการราชสำนักในเช้าวันต่อมา บิดาจึงรับเถิงเจากลับไปยังจวนตระกูลเถิง
ลูกศิษย์ไม่อยู่ ฉินหลิวซีก็ดึงเกล็ดของปลามังกรแดงโลหิตออกมาเตรียมทำอาวุธอาคม
เกล็ดปลามังกรแดงโลหิตเหล่านี้แข็งและแหลมคม ทำเป็นมีดเกล็ดปลา สังหารคนปล้นทรัพย์สิน ไม่ใช่สิ กำจัดมารปีศาจสังหารอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็นับว่าเป็นอาวุธติดตัวได้เป็นอย่างดี
จะทำมีดเกล็ดปลาเป็นอาวุธอาคมมีเพียงเกล็ดปลายังไม่พอ ยังต้องใช้อย่างอื่น และของดีในคลังสินค้าของโรงประมูลจิ่วเสียนก็มีมากมาย เอามาทำได้พอดีเลย
ดังนั้น หลังจากฉินหลิวซีซีสำรวจคลังเก็บของแล้ว เรือนหลังก็มีเสียงดังตึงตังทั้งวัน มองเห็นแสงไฟวูบวาบขึ้นมาเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่านางกำลังทำสิ่งใด
กระทั่งถึงยามพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงสีแดงทอประกายไปทั่วท้องฟ้า ฉินหลิวซีเพิ่งได้ยืดเส้นยืดสาย เดินออกมาจากในห้อง
ขนตาถูกย้อมไปด้วยแสงยามอาทิตย์กำลังจะตก นางหันไปมอง ส่งเสียงฮึมฮัมถึงความสมบูรณ์แบบนี้ กำลังจะกระโดดขึ้นไปชื่นชมมันบนหลังคา มีคนวิ่งเข้ามา เร่งฝีเท้ามาอย่างเร็วไว
ฉินหลิวซีมองไปยังประตูเรือนหลัง นางอยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้าบุกเข้ามารบกวน นอกจากจะมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ
พ่อบ้านหลิ่วแห่งจิ่วเสียนรีบสาวเท้าเข้ามา มองเห็นนางก็ยกมือขึ้นประสานทำความเคารพ เอ่ยเสียงรีบร้อน “ท่านเจ้าอาวาสน้อย จวนตระกูลเถิงส่งคนมา บอกว่าเกิดเรื่องกับนักพรตน้อยเสวียนอีแล้วขอรับ”
สีหน้าของฉินหลิวซีขรึมลงทันใด สองตาหรี่ลง “เกิดเรื่องแล้วอย่างนั้นหรือ”
นางเอ่ยอย่างด้วยความสงบ แต่พ่อบ้านหลิ่วกลับสัมผัสได้ถึงความโกรธและข่มขู่อยู่ในที รัศมีเย็นยะเยือกนั้น ราวกับมีดนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้ามาหาเขาจากทุกทิศทุกทาง
พ่อบ้านหลิ่วสองขาอ่อนยวบ คุกเข่าลงกับพื้น เหงื่อเย็นบนขมับซึมไหลลงมา เอ่ยตะกุกตะกัก “คนที่มาเอ่ยเช่นนี้ขอรับ เชิญท่านเจ้าอาวาสน้อยไปดูสักหน่อย”
พ่อบ้านหลิ่วรวบรวมความกล้าเงยหน้ามองไป ตรงหน้าไม่มีคนอยู่แล้ว มองขึ้นไปด้านบน มีเงาไหววูบกระโดดไปมาอยู่บนหลังคา ไม่นานก็หายไปต่อหน้าต่อตา
เขาพ่นลมหายใจออกมา เช็ดเหงื่อที่ขมับ ตกใจแทบแย่
ตระกูลเถิงนี่ก็น่าโมโห รับคนกลับไปก็ช่างเถิด ยังสร้างเรื่องไม่น่าสบอารมณ์อีก ขอพรให้ตัวเองไปเถิด
เถิงเทียนฮั่นเองก็รู้สึกไม่สบายใจ เดิมเขาคิดว่าเถิงเจาอยู่เมืองหลวง พอดีมาทันวันเกิดของท่านแม่ คนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา และเขาเองก็ไม่ได้อยู่มาหลายปี อยากกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาสักครั้งก็ยังดี อย่างไรเขาก็เข้าสู่เต๋าแล้ว ต่อไปเกรงว่าคงยากจะมาปรากฏตัวที่บ้านแล้ว
แต่ความคิดนั้นดี ความเป็นจริงกลับเต็มไปด้วยความเลวร้าย
เถิงเจามาคือมาแล้ว ทว่าไม่เข้ากับครอบครัว เขาราวกับคนนอกคนหนึ่ง มองครอบครัวนี้ด้วยความนิ่งเงียบ
เขาสามารถอธิบายประโยคที่ว่า คนอื่นหัวเราะเยาะที่ข้านั้นเสียสติ ข้าหัวเราะเยาะคนอื่นที่ไม่รู้แจ้ง ได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวเกิดขึ้นได้อย่างไรน่ะหรือ
เป็นหลายชายเถิงฉี่ที่กำลังเล่น แต่งเสื้อผ้าหลากสีเอาใจญาติผู้ใหญ่[1]อยู่กับเหล่าสาวใช้เด็กสาวรุ่นหลัง พลันมองเห็นกระดิ่งวิญญาณอาวุธอาคมแขวนอยู่บนเอวของเถิงเจา ซึ่งเป็นของที่ราชาผีควงซานเคยมอบให้ เขารู้สึกชื่นชอบ อยากได้มาครอบครอง
นั่นคือของที่ราชาผีเคยมอบให้ แน่นอนว่าเถิงเจาไม่ให้ ต่อให้เอาให้แล้วก็ไม่มีประโยชน์กับเขา อีกทั้ง เขากับน้องชายที่เป็นญาติผู้น้องผู้นี้ก็ไม่ได้สนิทสนม เรื่องอะไรต้องให้เล่า
แม้เถิงฉี่ไม่ใช่หลานชายคนโตเชื้อสายหลัก แต่ศักดิ์ของเขาก็ไม่ได้แย่ เพราะมารดาของเขาคือผิงเล่อจวิ้นจู่ น้องรองมีบรรพบุรุษเช่นนี้ ปกติแล้วไม่ได้อาศัยอยู่ในจวน แต่อยู่ที่จวนจวิ้นจู่ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ก็ถูกมารดาเอาอกเอาใจไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านั่นเป็นบุตรชายของจวิ้นจู่ด้วยแล้ว
ดังนั้นเอ่ยได้ว่าเถิงฉี่อยากได้ลมย่อมได้ลม อยากได้ฝนย่อมได้ฝน สิ่งที่เขาต้องการ ก็ต้องคิดหาวิธีให้ได้มันมาในที่สุด
เถิงเจาไม่ให้ แน่นอนว่าเขาต้องงอแง เมื่องอแงขึ้นมา มารดาก็ไม่พอใจแล้ว สีหน้าไม่พอใจขึ้นมาบ้าง ยิ่งเห็นสายตาเหยียดหยามและถากถางนั้นของจวิ้นจู่ สายตาที่มองไปยังเถิงเจาก็ยังไม่พอใจขึ้นไปอีก
วันนี้เป็นวันเกิดของนาง กลับก่อเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้ ผู้ใดจะมีความสุขได้
เพียงกระดิ่งโง่ๆ ที่ไม่มีราคาและไม่น่าสนใจเล็กๆ หนึ่งใบเท่านั้น ยกให้น้องแล้วทำไมเล่า
มารดาจึงให้คนไปเอากระดิ่งทองคำมา จะแลกกับเถิงเจา
เถิงเจาไม่รับ เพียงเอ่ยกับนางนิ่งๆ “นี่คือกระดิ่งที่สามารถทำให้ผีทุกตนเกรงกลัวได้ เป็นอาวุธอาคม คนที่อยู่ตรงนี้ไม่มีผู้ใดใช้เป็น ให้เขาไปก็ไม่มีประโยชน์”
ผู้ใดจะคิด เถิงฉี่กลับไม่พอใจวาจานี้ เมื่อได้ยินก็กระโดดขึ้นมา เอ่ยเสียงดัง “เจ้าโกหก เจ้าเพียงไม่อยากให้ บนโลกนี้ไหนเลยจะมีผี ท่านอาจารย์บอกว่าไม่ให้เอ่ยถึงเรื่องลี้ลับเหลวไหลนั่น ท่านแม่ข้าบอกแล้ว เจ้าเข้าสู่เต๋าก็คือออกบวชแล้ว เช่นนั้นก็คือนักพรต ในเมื่อเจ้าบอกว่ามีผี เร็ว เรียกผีออกมาให้ข้าดูว่าเป็นอย่างไร แล้วใช้กระดิ่งวิญญาณนี้ไปจัดการพวกมัน ทำให้วิญญาณแตกสูญสิ้นแตกสลายไปเลย”
เขายิ่งเอ่ยยิ่งตื่นเต้น ทว่าไม่เห็นสีหน้าของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์
ไม่นานสะใภ้เวินก็ลุกขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยประนีประนอม “เดี๋ยวเถอะ เด็กน้อยไม่มีข้อห้ามใดๆ ก็จริง แต่วันนี้เป็นวันเกิดของท่านย่า ฉี่เอ๋อร์ พวกเราไม่เอ่ยเรื่องเหล่านี้นะ ป้าใหญ่มีหุ่นเชิดหนึ่งอัน เดี๋ยวให้คนเอามาให้เจ้าเล่นเป็นอย่างไรไ
เถิงฉี่ส่งเสียงหยัน “ข้าไม่ต้องการ หุ่นเชิดผู้ใดไม่มีบ้าง ของท่านดีกว่าของจวนจวิ้นจู่อย่างข้าอีกหรือ ที่บ้านข้าก็มี ข้าจะเอากระดิ่งนั่น”
สะใภ้เวินกระอักกระอ่วนขึ้นมา
จวิ้นจู่จึงหน้าตึง เอ่ย “ฉี่เอ๋อร์ อย่าเสียมารยาทกับท่านป้าใหญ่ แล้วก็ไม่ต้องอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้แล้วก็ทำนิสัยไม่ดี”
รอยยิ้มของสะใภ้เวินค่อยๆ เจื่อนลง กวักมือเรียกเถิงเจา เอ่ย “เด็กดี มารดารู้ว่าเจ้าไม่ได้หวงของ คิดว่าของสิ่งนี้คงเป็นอาจารย์หรือสหายร่วมสำนักมอบให้ ไม่ใช่ของของคนทั่วไป เจ้าจึงยกให้ไม่ได้ น้องชายของเจ้าเพียงงอแงอยากเล่น อย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
เถิงเจามองสะใภ้เวินเล็กน้อย ไม่เอ่ยวาจา
หากทุกคนประนีประนอมเช่นนี้ก็คงจบลงแล้ว แต่เถิงฉี่กลับเป็นเด็กชอบใช้อำนาจไม่สนกฎสนฟ้า เถิงเจายิ่งรักษา เขาก็ยิ่งอยากได้ พุ่งเข้ามาแย่งกระดิ่งวิญญาณใบนั้น “ไม่ ข้าจะเอา”
เพียงฉินหลิวซีไม่เห็น ถ้าเห็นเจ้าเด็กหมีเช่นนี้คงจะตบไปสักฉาด
แต่นางไม่อยู่ เถิงเจาก็ไม่มีทางให้ เห็นอีกฝ่ายมาแย่งจึงผลักออกไป ผลักเขาล้มลงกับพื้น
นี่เป็นเรื่องใหญ่ สะใภ้เวินส่งสายตาให้สาวใช้ทันใด ตนเองกลับสาวเท้าเดินเข้าไปหาเถิงเจาอย่างรวดเร็ว
เถิงฉี่ถูกผลักล้ม ร้องไห้เสียงดังขึ้นมา “เข้ากล้าผลักข้า เด็ก โบยเขาให้ตาย ท่านแม่ ข้าจะถูกผลักตายแล้ว”
เล่อผิงจวิ้นจู่โกรธจนสีหน้าเขียวคล้ำ
ฮูหยินเถิงผู้เฒ่าทั้งโกรธทั้งปวดใจ ตบโต๊ะ “ยังไม่รีบประคองนายน้อยรองขึ้นมาอีก ไม่เห็นหัวข้าแล้วหรืออย่างไร ไปเอากระดิ่งวิญญาณสีดำนั่นมาให้ข้า ข้าจะดูสิว่ามันสำคัญอะไร”
สาวใช้และบ่าวรับใช้ของจวิ้นจู่รีบก้าวเข้าไปแย่ง
สะใภ้เวินตกใจ “ท่านแม่ไม่ได้นะเจ้าคะ”
นางอยากขวางเอาไว้ ทว่าถูกบ่าวรับใช้ลากไปอยู่อีกข้าง เมื่อตกใจ ส่วนท้องก็เจ็บจี๊ดขึ้นมา บริเวณเอวกรุ่นร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
ท้องไม่เจ็บแล้ว
แต่สะใภ้เวินกลับไม่ได้สนใจความผิดปกติของร่างกาย เพียงมองไปยังเถิงเจา “เจาเอ๋อร์รีบหนี”
ไม่ทันแล้ว
ไม่ว่าเถิงเจาจะดูโตเพียงใดอย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง เดิมไม่ชอบให้ใครแตะต้อง ยิ่งไม่ชอบให้ผู้ใดเข้าใกล้ ทั้งมีอาการป่วยทางความรู้สึก ครั้งนี้ถูกหลายคนเข้ามากดดันแย่งชิง เขาเกิดอาการคลั่งราวกับคนบ้าขึ้นมาทันใด ร้องตะโกนดิ้นรนต่อต้าน
[1] การที่เด็กแต่งตัวมีสีสัน ทำตัวเป็นเด็กน้อยเล่นเพื่อทำให้ผู้ใหญ่มีความสุขและรู้สึกสนุกไปด้วย ใช้อุปมาถึงการกตัญญูต่อบิดามารดา