ตอนที่ 622 ให้พวกเจ้าได้เห็นผีจนหนำใจ
เมื่อฉินหลิวซีเข้ามาสิ่งแรกที่ทำคือมองสำรวจผู้คน สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่ที่ตัวสร้างเรื่องอย่างเถิงฉี่
ถึงเถิงฉี่จะยังเป็นเด็ก แต่เด็กก็สามารถแยกแยะร้ายดีและรู้ว่าควรท้าทายหรือไม่ สายตาของฉินหลิวซีหยุดที่ตัวเขา เขาพลันตัวแข็งทื่อ หวาดกลัวยิ่งนัก รีบหลบไปอยู่ด้านหลังมารดาของตน
เขากลัวคนผู้นั้น
ผิงเล่อจวิ้นจู่เห็นลูกตนเองหวาดกลัว สีหน้าเยือกเย็นขึ้น หันไปทางสะใภ้เวิน เอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าคิดว่าตนเองเป็นสะใภ้ใหม่จึงเกรงกลัว ต้องตั้งกฎให้บ่าวรับใช้เพิ่มขึ้นมาสักข้ออย่างจริงจังแล้ว แม้แต่เรือนของนายหญิงผู้เฒ่ายังปล่อยให้คนบุกเข้ามาได้ตามใจชอบ เกิดมีคนบุกเข้ามายามค่ำคืนจะเป็นอย่างไร พวกคนไร้ความสามารถ มีพวกเขาแล้วมีประโยชน์อะไรกัน”
มุมปากสะใภ้เวินกระตุก ก้าวเข้าไปเอ่ยทักทายฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีกลับจ้องเขม็งไปทางเถิงฉี่ เอ่ย “เจ้าเด็กนั่น เป็นเจ้าที่ให้เถิงเจาเรียกผีออกมาเล่นหรือ”
ผิงเล่อจวิ้นจู่ขมวดคิ้ว
“ออกมา ข้าถามเจ้าอยู่นะ แม้แต่ตอบคำถามยังมิกล้า หลบอยู่หลังกระโปรงสตรีนับเป็นบุรุษได้อย่างไร หรือจะบอกว่าเจ้าเป็นเด็กผู้หญิงอย่างนั้นหรือ”
ผิงเล่อจวิ้นจู่โมโห “เจ้าบังอาจนัก”
“ยังนิ่งอยู่ไย ยังไม่เชิญนางออกไปอีกหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกเส้นเลือดขมับตึงเต้นตุบๆ ขึ้นมา
คนผู้นี้คืออาจารย์เต๋าผู้นั้นของเถิงเจาอย่างนั้นหรือ อายุน้อยเพียงนี้ ทว่ารังสีที่แผ่ออกมานั้นกลับไม่มีผู้ใดเทียบได้ รวมไปถึงลูกสะใภ้จวิ้นจู่ผู้นั้นของนาง
นางมีความรู้สึกเด่นชัดอยู่อย่างหนึ่ง ผู้มาใหม่ไม่เป็นมิตร
น่าแปลก นางเองไม่กล้าเอ่ยวาจาร้ายกาจ ทำเพียงให้คนเชิญนางออกไป อย่างไรก็ดูเหมือนไม่ควรหาเรื่องอีกฝ่าย
ฉินหลิวซีเมินเฉยต่อคนทั้งคู่ราวกับมองไม่เห็น เอ่ยต่อ “เถิงฉี่ ข้าสั่งให้เจ้าไสหัวออกมา ไม่เข้าใจภาษาคนหรือ”
วาจานี้เยือกเย็นทะมึนราวกับงูเจาะเข้ามาในหูของเถิงฉี่ เขาตกใจจนน้ำตาทะลักออกมา ทว่าสองขากลับเดินออกมาราวกับไม่สามารถควบคุมได้
ผิงเล่อจวิ้นจู่ตื่นตกใจ ก้าวเข้าไปดึงเขาเอาไว้ “ฉี่เอ๋อร์เจ้า…”
ฉินหลิวซีพลันหันมามองเถิงเจา เอ่ย “เพียงน้องชายอยากให้เจ้าใช้วิชาเรียกผีออกมาให้เล่น เรื่องเล็กเพียงนี้ไยจึงไม่ตามใจเขา อาจารย์จะสอนเจ้า เป็นคนต้องให้ความสำคัญกับพี่น้อง”
เถิงเจา “!”
ข้ากำลังคิดว่าท่านเอ่ยวาจาที่มีความหมายตรงกันข้าม
ฉินหลิวซียิ้มหยัน “เพียงเห็นผีเท่านั้น ง่ายมาก ไม่ต้องเรียนด้วย ที่นี่ก็มีอยู่ไม่น้อย”
สองมือนางประสาน อ้าปากร่ายมนต์เบิกเนตร มือข้างหนึ่งร้อยเรียงผู้คนที่จำเป็นต้องเบิกเนตรด้วยวิชาเข้าด้วยกัน
ส่งมอบดวงตาชุดใหญ่ให้แล้ว ไม่ต้องขอบคุณ
ทุกคนมองท่าทางร่ายคาถาของนาง รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ สัญชาตญาณบอกกับพวกเขาว่าต้องหนีออกไปจากตรงนี้ ที่น่ากลัวก็คือขาของพวกเขาไม่อาจขยับได้
“เบิกเนตร หมื่นผีร้ายปรากฏ เพี้ยง”
คนที่ถูกฉินหลิวซีพ่วงเข้าด้วยกัน รู้สึกเจ็บดวงตาขึ้นมาเล็กน้อย หลังลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
สวรรค์ นั่นคืออะไรกัน
ผี ผี อ๊ากกก ผีเต็มไปหมด
เสียงกรีดร้องดังทะลุกลุ่มเมฆ
มีคนวิ่งหนีออกไปทางประตู ทว่าเพียงเคลื่อนไหว ขาพลันอ่อนยวบลงกับพื้น ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้น
ฮูหยินผู้เฒ่าใบหน้าซีดขาว โดยเฉพาะนางยังเห็นน้องสาวที่ตายจากไปนานหลายปี กำลังก้มหน้ามองนาง ยังมีอนุภรรยาแพศยาเหล่านั้น ดวงตาคู่นั้นกลอกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ กำลังจะเป็นลมไป
คนที่ได้รับประสบการณ์เดียวกันยังมีผิงเล่อจวิ้นจู่ ดวงตาหยินหยางถูกเปิดออก ได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ที่ปกติไม่อาจมองเห็นได้ ตกใจจนกรีดร้องเสียงดังขึ้นมา
เผิงซื่อ เผิงซื่อนางลากรกที่อยู่ด้านหลังของนาง
สวรรค์ สวรรค์
ผิงเล่อจวิ้นจู่ไม่เหลือความเย่อหยิ่งสูงส่งอีกต่อไปแล้ว ก้นกระแทกนั่งลงไปกับพื้น ตัวสั่นเทาตาเหลือกขึ้น ใจเต้นแทบกระเด็นออกมาอยู่แล้ว นางอยากตะโกนเรียกคน ทว่าลำคอราวกับมีมือไร้รูปมาบีบเอาไว้ เอ่ยออกมาไม่ได้แม้เพียงคำเดียว
สิ่งนี้ทำให้แววตาของนางยิ่งมีความหวาดกลัวแตกตื่น ดวงตากลิ้งกลอกไปมากำลังจะล้มลง
“อย่าเป็นลมเล่า เรียกร้องอยากเจอผีมิใช่หรือ ง่ายมาก ข้าจะให้พวกเจ้าดูให้หนำใจ ถึงขั้นสื่อสารก็ยังได้ ไม่คิดเงิน” ฉินหลิวซีเอ่ยพร้อมหัวเราะสนุกสนาน
ทุกคน ช่วยด้วย ใครก็ได้จับผีร้ายที่ถลกหนังคนตนนี้ออกไป
เถิงฉี่ตกตะลึงนิ่งงัน กำลังมองเห็นเด็กสาวที่ตนเองผลักตกน้ำจนจมน้ำตาย เขานึกขึ้นได้โยนกระดิ่งวิญญาณในมือทิ้งไป ร้องไห้พลางเอ่ย “ข้าไม่เอาแล้ว ข้าไม่อยากเห็นแล้ว ปล่อยข้า อ๊าก ผีมากมายนัก ท่านแม่ ข้ากลัว ข้ากลัว”
เขาพุ่งไปอยู่ข้างกายผิงเล่อจวิ้นจู่ แต่มองเห็นอี๋เหนียงที่เคยอาศัยอยู่ที่บ้านกับสภาพน่าเกลียดน่ากลัวนั่น สองขาสั่นไหวโซเซ ร่างกายส่วนล่างของเขาเปียกชื้นขึ้น ก่อนจะส่งกลิ่นเหม็นออกมา
ใบหน้าเล็กของเถิงฉี่ซีดขาว ร่างกายร่วงอ่อนยวบลงกับพื้น หวาดกลัวเป็นที่สุด
“อย่านอน เจ้าอยากเรียกผีมาเล่นมิใช่หรือ พวกเขามากันแล้ว ลุกขึ้นมา เล่นด้วยกัน” ฉินหลิวซีหว่านผงหอมไปในอากาศ
หว่านเสร็จแล้ว คนที่จะเป็นลมก็ไม่เป็นลม ถูกผงหอมดึงสติไว้ ดวงตาเบิกโตมองดู กอดกันตัวสั่นระริก
ไยรอบกายฮูหยินผู้เฒ่าและจวิ้นจู่จึงมีผีมากมาย น่ากลัวยิ่งนัก
คนอื่นที่ไม่ได้เบิกเนตรใกล้เป็นบ้าแล้ว ไม่รู้ว่าฉินหลิวซีทำอะไร ต่อให้พวกเขามองไม่เห็น เพียงมองไปตามสายตาของคนที่มองเห็น ถึงแม้มองไม่เห็นอะไรเลย
ขนกลับลุกซู่
มองไม่เห็นทว่าสัมผัสได้ ยิ่งทำให้คนหวาดกลัวกว่าหลายเท่า
ฉินหลิวซีหยิบกระดิ่งวิญญาณบนพื้นขึ้นมา ยื่นให้เถิงฉี่ “เป็นอย่างไร สนุกหรือไม่ ชอบหรือไม่ อยากเร้าใจยิ่งกว่านี้หรือไม่ กระดิ่งนี้สามารถทำให้หมื่นผีหวาดกลัวได้ เจ้าใช้มันสิ เจ้าอยากได้มิใช่หรือ”
เถิงฉี่ส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่อยากได้ ไม่อยากได้อีกแล้ว ฮือๆ
ฟันของผิงเล่อจวิ้นจู่กระทบกันกึกกัก ตะเกียกตะกายคลานมากอดบุตรชายเอาไว้ในอ้อมอก ถลึงตามองฉินหลิวซีตะโกน “พอแล้ว เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
“พอได้อย่างไร” ฉินหลิวซีเอ่ย “เพิ่งจะเริ่มต้นเอง พวกเจ้ามีความสามารถมากมิใช่หรือ ให้คนจับลูกศิษย์ของข้าเพื่อแย่งของ รังแกคนไม่มีทางสู้หรือ”
ทุกคน หากรู้ว่าทำให้เทพแห่งความซวยอย่างเจ้ามา ใครจะกล้าแตะต้องเขาแม้เพียงนิด อย่างไรก็ราวกับคนไม่มีตัวตน ไม่สนใจก็ได้แล้ว
“เพียงเด็กๆ เล่นกันเท่านั้น…กรี๊ด ออกไป เจ้าผีบ้านี่ เจ้าเป็นคนข้ายังจัดการเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นพอเป็นผีเล่า” ผิงเล่อจวิ้นจู่สะบัดดวงวิญญาณของเผิงซื่อที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ นึกถึงบางอย่าง ก่อนจะดึงสร้อยมุกบนลำคอออกมา ฟาดออกไป
กรี๊ด
ดวงวิญญาณผีนั้นกรีดร้องทุรนทุรายออกมา ดวงวิญญาณจางลง
ผิงเล่อจวิ้นจู่ดวงตาวาวขึ้น อยากเพิ่มความรุนแรงขึ้น ทว่ามือกลับเบาหวิว ก้มลงไปมอง เพราะออกแรงมากเกินไปทำให้สร้อยมุกในมือขาดกระจายไปทั่วพื้น
ขาดแล้ว
ใบหน้าผิงเล่อจวิ้นจู่ไร้สีคน นางมองเถิงเทียนฮั่นที่เดินเข้ามา เสียงแหลมดังขึ้น “ท่านลุง ท่านยังไม่รีบเอาคนบ้านี่ออกไปอีก ข้าจะทูลเรื่องนี้ต่อฮองเฮา ทูลต่อฝ่าบาท พวกท่านรังแกข้า”
เถิงเทียนฮั่น สมองมีปัญหาจริงๆ เจ้าว่าเจ้าเงียบสักหน่อยได้หรือไม่ จะหาเรื่องนางให้ได้ทำไมกัน
เป็นเช่นนั้น ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ดูเหมือนยังมีกำลังวังชา เช่นนั้นก็เล่นอีกสักหน่อย”
ริมฝีปากของนางสั่นเล็กน้อย จากนั้นทุกคนที่ถูกเบิกเนตรพลันมองเห็นเงาดำลอยเข้ามามากมาย ชั่วพริบตาก็เต็มไปทั่วทั้งห้อง
ทุกคน พวกเราทุบกันเองให้สลบไปดีหรือไม่ อยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
ฮูหยินเถิงผู้เฒ่าที่หลบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะแล้วพลันมองเห็นภาพนี้ ตะโกนร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “รีบไปเชิญท่านเจ้าอาวาสอารามจินหัว”