ตอนที่ 626 ให้สวรรค์ส่งสายฟ้าหลายสายมาผ่าข้าให้ตายเถิด
ตอนที่เสวียนชิงจื่อได้เจอกับฉินหลิวซีอีกครั้ง มีความรู้สึกราวกับอยู่กันคนละโลก ทั้งๆ ที่ห่างจากครั้งที่แล้วที่เจอกันล่าสุดยังไม่ถึงครึ่งปี แต่เจอนางอีกครั้งนี้ มีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายอยู่ไกลเกินเอื้อมขึ้นมา
นอกจากนี้ ยังรู้สึกสับสนอยู่ในใจอย่างแปลกประหลาด เพราะชื่อเสียงของอารามเต๋าตนตกต่ำลงมาถึงทุกวันนี้ก็เพราะคนผู้นี้มอบให้ แต่จะโทษนางก็ไม่ได้ เพราะอาจารย์อาแตกแยกออกจากเส้นทางนั่นต่างหากที่เป็นเหตุผล
ฉินหลิวซีเห็นเขากลับไม่รู้สึกประหลาดใจ ตระกูลเถิงเกิดเรื่อง จำต้องเชิญผู้มีวิชามาช่วยหรือปิดดวงตาหยินหยางชั่วคราวนั่น
ชื่อเสียงอารามจินหัวช่วงนี้ค่อนข้างย่ำแย่ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาคืออารามที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง จะเชิญนักพรต แน่นอนว่าต้องเลือกเขา
และเมื่อคืน นางสัมผัสได้ว่าคาถาที่นางร่ายเอาไว้มีคนทำลายลงก่อน รีบร้อนและใกล้เพียงนี้ ไม่ใช่อารามจินหัวแล้วจะเป็นผู้ใดได้
เพียงแต่ฉินหลิวซีคาดไม่ถึง ผู้ที่มาจะเป็นเสวียนชิงจื่อ จึงกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “กลับเมืองหลวงแล้วหรือ”
เสวียนชิงจื่อทำความเคารพนาง “ท่านเจ้าอาวาสน้อย”
“หากมาเอ่ยเรื่องตระกูลเถิง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
เสวียนชิงจื่อไม่คิดว่าเพียงชั่วครู่นางก็เอ่ยดักทางเอาไว้แล้ว หมดคำพูดขึ้นมาทันใด เนิ่นนานจึงเอ่ย “พวกเขา ก็เพียงคนธรรมดาทั่วไป” หันไปมองเถิงเจาที่อยู่ด้านข้างนาง “และเป็นคนในครอบครัวของลูกศิษย์ท่าน”
“พล่ามอะไร ในเมื่อลูกศิษย์ข้ากราบข้าเป็นอาจารย์เข้าสำนักข้า ก็คือคนของข้า เอ่ยเรื่องครอบครัวไปไย อีกอย่างหากพวกเขาคิดว่าเขาเป็นคนในครอบครัว ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างเมื่อวาน” ฉินหลิวซีส่งเสียงหยัน “คนธรรมดาทั่วไปแล้วอย่างไร ทำความผิดก็ควรได้รับการลงโทษ”
“แต่การเปิดดวงตาหยินหยาง เห็นผีพลังหยินมากๆ เข้าจะทำให้พวกเขาสูญเสียพลังหยางอย่างมาก”
“เรื่องนี้ง่ายมาก ก็ปิดตาเอาไว้เสียสิ”
เสวียนชิงจื่อ “…”
ข้าจนคำพูด เอ่ยต่อไปไม่ได้แล้ว
เขาเครียดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย “อย่างไรก็ทำลายการเชื่อมโยงของสวรรค์”
ฉินหลิวซีเงยหน้ามองฟ้า มุมปากยิ้มร้าย “เช่นนั้นเจ้าก็เรียกให้สวรรค์ส่งสายฟ้ามาผ่าข้าให้ตายเถิด”
สวรรค์ พวกเราคือผู้ปกครองที่มีความคิดก้าวหน้า ปกติไม่ทำร้ายร่างกาย
เสวียนชิงจื่อ “!”
ขอโทษด้วย ข้ามาผิดแล้ว
ฉินหลิวซีเห็นสีหน้าของเขาม่วงคล้ำ มุมปากกระตุกขึ้น กำลังจะเดินจากไป สายตาพลันเหลือบไปเห็น เท้าหยุดชะงัก “ปรมาจารย์ไท่เฉิงยังไม่กลับมาหรือ”
เสวียนชิงจื่อไม่คิดว่านางจะเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน และยังเอ่ยถามถึงอาจารย์เขา เขาส่ายศีรษะเป็นคำตอบ
“เกรงว่าเขาคงต้องลำบากสักหน่อย ดูเหมือนอาจารย์อาของเจ้าจะทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้มาก” ฉินหลิวซีเอ่ยทิ้งเอาไว้หนึ่งประโยคแล้วพาเถิงเจาขึ้นรถ
อาจารย์เปรียบดั่งบิดา จุดบิดามารดาบนใบหน้าของเสวียนชิงจื่อคล้ำอยู่บ้าง คงเป็นเพราะไท่เฉิงถูกศิษย์น้องของเขาทำให้ลำบากอยู่มาก
สีหน้าของเสวียนชิงจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เบนทิศทางกลับไปโดยไม่ต้องคิด ส่วนตระกูลเถิง ไม่สนใจแล้ว เอาไว้เช่นนี้เถิด
ฉินหลิวซีแสยะยิ้มหยัน เคาะผนังรถม้า รถม้าเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ
ผู้ป่วยที่ต้องกลับไปตรวจชีพจรดูอาการมีไม่มาก มีเพียงซุนหลี่ซวินที่ต่อกระดูกที่หนักที่สุด ตอนฉินหลิวซีไปถึง อีกฝ่ายกำลังถูกเคลื่อนย้ายออกมารับแสงแดดนอกเรือนพอดี เมื่อมองเห็นนางพลันนึกถึงเรื่องในวันนั้น
แย่แล้ว เดิมรู้สึกว่ากระดูกที่เอวจะหายแล้ว ตอนนี้กลับรู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
นายหญิงรองซุนเข้ามาต้อนรับฉินหลิวซีอย่างกระตือรือร้น ความกระตือรือร้นนั้น หากไม่รู้ว่าฉินหลิวซีเป็นนักพรตหญิง ซุนหลี่ซวินคงรู้สึกว่าบนศีรษะตนเองคล้ายเป็นสีเขียวแล้ว
“บำรุงฟื้นฟูได้ไม่เลว มีเนื้อมีหนังขึ้นมาแล้ว” ฉินหลิวซีมองใบหน้าซุนหลี่ซวินที่ดูเปล่งปลั่งมีสีแดงขึ้นมาแล้ว ยังมีเนื้อมากขึ้น พลังหยินที่ปกคลุมได้สลายออกไปแล้ว
นายหญิงรองซุนเม้มริมฝีปากยกยิ้ม “กินแล้วก็นอน นอนตื่นก็กิน ขยับก็ขยับมากไม่ได้ ไหนเลยจะไม่อ้วนได้”
ความจริงเป็นเพราะซุนหลี่ซวินรู้ว่าตนเองมีโอกาสหาย ความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในใจสลายหายไป แน่นอนว่ากินอิ่มนอนหลับ มีเนื้อหนังอวบอ้วนขึ้นมา
ฉินหลิวซีจับชีพจร สั่งให้พวกเขาแกะไม้ที่ดามออก ผสมยาทาใหม่ ทำความสะอาดแล้วนางจึงใช้มือไปสัมผัสส่วนเอวบริเวณกระดูกนั่น กดเบาๆ สัมผัสจุดนั้นเพื่อดูว่ากระดูกเชื่อมกันแล้วหรือไม่
“ฟื้นตัวได้ไม่เลว อีกสักพักก็เอาไม้ดามนี้ออกได้แล้ว จากนั้นลุกขึ้นมาขยับร่างกาย แต่ยังไม่อาจขยับรุนแรงนัก ยาก็ยังต้องทาต่อไป”
นายหญิงรองซุนเอ่ยด้วยด้วยความตื่นเต้น “ท่านบอกว่าเอาไม้ดามนี่ออกก็ลุกขึ้นมาได้แล้วใช่หรือไม่”
เร็วเพียงนี้เลยหรือ
“ได้ แต่ยังลุกนานไม่ได้ เพียงให้เขาลองหัดเดินเท่านั้น ค่อยๆ ปรับตัว ดังนั้นขยับตัวนานไม่ได้ เดี๋ยวจะรับไม่ไหว” ฉินหลิวซีเอ่ย “ขานี้ก็นวดสักนิด ช่วยให้มีแรงขึ้นมาบ้าง ถึงตอนนั้นยืนแล้วจะได้ไม่ล้ม ข้าจะเปลี่ยนใบสั่งยาให้ท่านใหม่หนึ่งชุด ยาเม็ดเชื่อมกระดูกนั่นก็ยังต้องกินต่อ”
ซุนหลี่ซวินฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ เอ่ย “ท่านจะไปจากเมืองหลวงแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีตกใจ เอ่ย “ที่แท้ท่านก็ใช้สมองเป็นนี่นา”
ซุนหลี่ซวิน “!”
เขาเอ่ยสิ่งใดมากไปหรือไม่
นายหญิงรองซุนตกใจ “ท่านจะไปแล้วหรือ”
“วัตถุประสงค์ที่มาเมืองหลวงสำเร็จแล้ว ต้องไปแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นนี่เป็นการมาตรวจครั้งสุดท้าย ทำตามที่ข้าบอกไปเรื่อยๆ ดูแลไปสามเดือน เขาก็ขี่ม้าวิ่งเล่นได้แล้ว”
นางชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “แต่ต่อให้ขี่ม้า ก็อย่าไปเลียนแบบท่ากายกรรมยากๆ นั่น จะได้ไม่ตกลงมาอีก อย่างไรกระดูกที่เอวของท่านก็เคยหัก หากหักอีกก็คงยุ่งแล้ว”
สีหน้าซุนหลี่ซวินขาวขึ้นมาเล็กน้อย มีวาจานี้ อย่าว่าแต่ความอวดดีเลย ยังกล้าขี่ม้าอยู่อีกหรือไม่
ฉินหลิวซีมองเขาที่นิ่งไป พึงพอใจมาก เขียนใบสั่งยา ปฏิเสธข้อเสนอของนายหญิงรองซุนที่จะให้นางอยู่ต่อและให้เงินรางวัล ก่อนจะพาเถิงเจามาถึงบ้านถงจี้จิ่ว
ความจริงบ้านถงจี้จิ่วไม่จำเป็นให้นางต้องตรวจซ้ำแล้ว นางมาก็เพราะอยากมอบยันต์คุ้มภัยให้กับถงเมี่ยวเอ๋อร์ คนผู้มีบุญบารมีมากล้น ดวงวิญญาณยังไม่มั่นคง ง่ายที่เหล่าวิญญาณโลภมากจะจับจ้องร่างกายและดวงชะตา
ยันต์คุ้มภัยนี้ใช้สติปัญญาและเสน่ห์ถักทอเข้าเป็นหนึ่งปม ด้านล่างมีหยกชิ้นเล็กสลักอักษรคาถาห้อยอยู่ วัสดุดูเก่า แต่มีเพียงคนที่ถือมันเอาไว้ในมือจึงจะสัมผัสได้ถึงความวิเศษของมัน ขอเพียงถือเอาไว้ ก็รู้สึกได้ถึงความสงบในจิตใจ มีพลังงานเคลื่อนไหว
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ชอบมาก ผูกเอาไว้ที่หน้าอก หยิบถุงผ้าปักตัวอักษรโชคดีมีสุขและลายเมฆาแห่งโชคลาภที่ตนทำในช่วงหลายวันมานี้มอบให้นาง เอ่ยอย่างเขินอาย “ทำได้ไม่ดีนัก ท่านอย่าได้รังเกียจ”
ฉินหลิวซีรับถุงผ้านั้นมา ท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย
งานฝีมือที่ทำออกมาด้วยใจทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงานประดิษฐ์หรืองานปัก ล้วนสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจของผู้ทำ หากจิตใจคนผู้นี้บริสุทธิ์ สิ่งของที่ทำออกมาจะยิ่งมีพลังวิญญาณ
ฉินหลิวซีสัมผัสได้ถึงการอวยพรด้วยความจริงใจและบริสุทธ์ใจของอีกฝ่ายจากถุงผ้าใบนี้
เป็นคนมีบุญบารมีจริงๆ
“ทำได้ดีมาก” นิ้วมือเรียวยาวของฉินหลิวซีสัมผัสตัวอักษรโชคดีมีสุขนั้น ก่อนจะนำของทั้งหมดออกมาจากถุงผ้าใบใหญ่ที่ติดตัวอยู่ตลอด เช่น ห่อเข็ม ยันต์เครื่องราง อีกทั้งขวดเล็กขวดน้อย แล้วเอามาใส่ในถุงผ้าที่มีขนาดเท่ากันใบนี้
ดูเหมือนถงเมี่ยวเอ๋อร์จะสังเกตเห็นถุงผ้าใบนี้ของนาง และตั้งใจทำออกมาให้ขนาดเท่ากัน
ถงเมี่ยวเอ๋อร์เห็นนางเปลี่ยนถุงผ้าทันที ดวงตาเป็นประกายราวกับดวงดาว ท่าทางพึงพอใจยิ่ง
“สิ่งนี้ให้เจ้า ทาแผลเป็นบนหน้าผากแล้วจะหายเร็วขึ้น” ฉินหลิวซียัดขวดแก้วเล็กๆ หนึ่งขวดใส่มือนาง จากนั้นจึงกล่าวลา
พวกถงฮูหยินออกมาส่งฉินหลิวซีออกจากจวนด้วยตนเอง มองรถม้าออกไปไกลแล้ว จึงกลับเข้ามาในจวน
“น้องสาว ท่านเจ้าอาวาสน้อยบอกว่านี่เอาไว้ทารอยแผลเป็นบนหน้าผากเจ้าหรือ” นายหญิงถงมองขวดเล็กๆ ในมือถงเมี่ยวเอ๋อร์
“อืม”
“ให้ข้าดูสักหน่อย”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ยื่นขวดนั้นไปให้ นายหญิงถงยกขึ้นขึ้นมา มองผ่านแสงแดด ของเหลวด้านในเปล่งประกาย ดวงตาหดเกร็งขึ้นมาโดยไม่อาจห้ามได้
“นี่ นี่คือ” ริมฝีปากนางตะกุกตะกัก
ถงฮูหยินและถงจี้จิ่วต่างก็มองมา ทำไมหรือ ตื่นตกใจเพียงนี้
นายหญิงใหญ่ถงเปิดฝาขวดอย่างระมัดระวังดมเบาๆ สมองพลันเคว้ง รีบปิดคืนให้ดี
“น้ำนี้มีปัญหาอะไรหรือ” ถงจี้จิ่วมองท่าทางโง่เขลาของลูกสะใภ้ เคราสั่นเบาๆ เอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ใบหน้านายหญิงใหญ่ถงกระตุกเบาๆ เอ่ย “ท่านพ่อรู้จักอวี้เสวี่ยจีหรือไม่เจ้าคะ”
แน่นอนว่าถงจี้จิ่วรู้จัก ของที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะร้านค้าใจดำนั่นทำออกมาชิงเงินในกระเป๋าน่ะหรือ ขายราคาแพงมาก ใช้เงินนั้นมาซื้อเครื่องเขียนและตำราไม่ดีกว่าหรือ
“เมื่อคืนการประมูลในโรงประมูลจิ่วเสียนก็มีประมูลสิ่งนี้ ราคาสูงที่สุดอยู่ที่สามหมื่นตำลึง ใหญ่กว่าขวดนี้เล็กน้อยเท่านั้นกระมัง” นายหญิงใหญ่ถงเอ่ยข่าวที่ตนได้ยินจากบ่าวรับใช้แต่เช้า
ถงจี้จิ่วเบิกตาโต เป็นเขาที่บ้าไปแล้วหรือคนบนโลกนี้บ้าไปแล้ว สามหมื่นตำลึงซื้ออะไรไม่ได้บ้าง
“ท่านพ่อ นี่ก็คือเจ้าสามหมื่นตำลึงนั่นเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ถงเขย่าขวดเบาๆ ด้วยความอิจฉา
นี่คืออวี้เสวี่ยจีเลยนะ เจ้าอาวาสน้อยผู้นนั้นมอบให้น้องสาว
ถงจี้จิ่วเซเล็กน้อย ลูบเครางดงามเบาๆ อะไรนะ
ฮูหยินถงร้องตะโกนด้วยความตกใจ “นี่คืออวี้เสวี่ยจีจริงๆ หรือ”
นายหญิงใหญ่ถงคืนขวดให้ถงเมี่ยวเอ๋อร์ ก่อนจะเอ่ย “ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ ข้าเคยเห็นจากพี่สาวผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง”
ไม่รู้ว่าพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของนางนั้นเอามาจากที่ใด เล็กกว่าขวดนี้ด้วยซ้ำ แต่เก็บเอาไว้ในกล่องไม่ใช้ประโยชน์อะไร
ตอนนี้น้องสาวมีหนึ่งขวด นางรู้สึกอิจฉาจริงๆ
“นี่ นี่แพงเกินไปแล้ว ได้อย่างไรกัน” ฮูหยินถงทำอะไรไม่ถูก น้ำใจนี้มากเกินไปแล้ว
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ก้มหน้ามองอวี้เสวี่ยจีในมือ เอ่ย “ท่านแม่ ข้าจะนำเงินทั้งหมดที่ข้ามีมาให้ท่าน ท่านช่วยข้าทำบุญกุศลในนามของท่านเจ้าอาวาสน้อย ถือเป็นการตอบแทนของข้าแล้ว”
เดี๋ยวนางจะสร้างแผ่นจารึกอายุยืนยาว ทำเป็นเครื่องกราบไหว้สักการะ
“เพียงเงินต่อเดือนของเจ้าจะพอได้อย่างไร ข้าต้องเพิ่มให้อีก” ฮูหยินถงเหลือบมองถงจี้จิ่ว
ถงจี้จิ่ว “…”
แย่แล้ว เงินส่วนตัวที่เขาซ่อนเอาไว้ในชั้นรองเท้ากลัวว่าจะถูกขโมยแล้ว
นายหญิงใหญ่ถงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็จะเพิ่มให้สักหน่อย เดี๋ยวจะให้ท่านแม่ส่งไปเจ้าค่ะ”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์เม้มริมฝีปากเบาๆ ดวงตาโค้งรี
และบนรถม้าระหว่างทางกลับ เถิงเจามองฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านชอบสตรีนางนั้น” อวี้เสวี่ยจีแพงเพียงนั้นยังมอบให้ได้ง่ายๆ
ฉินหลิวซีลูบถุงผ้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อืม เป็นบุคคลที่บริสุทธิ์งดงาม”
เถิงเจามองตัวอักษรโชคดีมีสุขบนถุงผ้า ไม่เอ่ยวาจาใด
เขาก็ต้องทำอะไรบ้างถึงจะได้
ไปดูใบสั่งยาสองใบที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ เปลี่ยนให้สองแม่ลูกที่กินดินขาว บอกพวกเขาว่านางจะไปแล้ว ยานี้ให้กล้ากิน อย่างไรก็คิดเงินกับคนแซ่ลู่นั่น รับการคำนับจากสวีซื่อแล้วก็สั่งกำชับให้เหล่าไป๋ช่วยดูแล
กลับมายังโรงประมูลจิ่วเสียนอีกครั้ง ฉินหลิวซีมองเห็นสยงเอ้อร์เดินวนกลับไปมา เพียงมองเห็นนางก็ราวกับเห็นดาวช่วยเหลือพลันรีบเดินเข้ามาหา
“ทำไม บ้านจิ่งเสี่ยวซื่อเกิดเรื่องอีกแล้วหรือ” ฉินหลิวซีเห็นใบหน้าร้อนรนของเขา เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
สยงเอ้อร์ยิ้มเขินหาย “ท่านช่างฉลาดยิ่งนัก”
แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว
นี่ยังไม่ใช่เสี่ยวซื่อคนเดียวที่เกิดเรื่อง แต่ซวยทั้งบ้าน เป็นท่านย่าของเขาป่วยก่อน จากนั้นก็เป็นบิดาชั่วผู้นั้นของเขาตอนที่นอนกับอี๋เหนียง ไม่รู้ทำอย่างไรอี๋เหนียงผู้นั้นก็ตาเหลือก ตายแล้ว
นอนจนตายแล้ว ทำให้ฉังอันโหวตกใจจนร่วงลงมา ตอนที่ตกลงมาจากเตียง ชนเข้ากับเหลี่ยมเตียงพอดี เลือดออก ร่วงจนไม่รู้จะร่วงอย่างไรได้อีกแล้ว
ต่อมาจิ่งเสี่ยวซื่อนั่น นั่งรถม้าตกลงไปในคูน้ำ แต่เขามียันต์คุ้มภัยที่ฉินหลิวซีมอบให้คอยปกป้องคุ้มกัน ไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงมือซ้นเท่านั้น ตอนนี้คนที่เป็นหนัก กลับเป็นคนขับรถม้าของเขาที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย
เรื่องราวความซวยมากมายเข้ามาพร้อมกัน ทั้งยังมีบทเรียนจากอดีตอีก ตีให้ตายจิ่งเสี่ยวซื่อก็ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญ คาดว่าคงเป็นฝีมือนักพรตไท่หยางที่สมควรตายนั่นแล้ว
เป็นเช่นนั้นเมื่อฟ้าไม่ทันสาง คนที่จวนฉังอันโหวส่งไปเฝ้าสุสานบรรพบุรุษส่งข่าวมา บอกว่าสุสานบรรพบุรุษถูกแตะต้อง นายหญิงผู้เฒ่าโกรธจนเป็นลมไป ฉังอันโหวไม่ทันได้สนใจว่าตนเองเป็นอย่างไร พาจิ่งเสี่ยวซื่อรีบเดินทางไปโดยไม่ได้พัก
จิ่งเสี่ยวซื่อระมัดระวัง ไม่ลืมให้สยงเอ้อร์มาขอความช่วยเหลือจากฉินหลิวซี เขาจึงได้มาเดินวนไปวนมาอยู่ที่นี่
ฉินหลิวซีรู้วันเวลาเกิดของจิ่งเสี่ยวซื่อ คำนวณอยู่ชั่วครู่ จึงเอ่ย “ไม่เป็นไร จะมีคนแก้ไขได้แน่นอน วางใจเถิด”
ดูเหมือนปรมาจารย์ไท่เฉิงจะเฝ้ารอจนได้สู้กับไท่หยางสักตั้งแล้ว เฮอะ สำนักเดียวกันสู้กันเอง น่าเวทนาจริงๆ ฮวงจุ้ยหมุนเวียนไปตามลำดับก็เท่านั้น
สยงเอ้อร์ส่งเสียง อ่า ขึ้นมา “ท่านแน่ใจหรือ ไม่ใช่สิ ฉังอันโหวผู้นั้นจะไม่ไหวแล้ว ไม่เป็นไรเช่นกันหรือ”
“ข้าเอ่ยตั้งแต่แรกแล้ว เขามีจิ่งซื่อเป็นบุตรชายคนเดียว”
“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย” สยงเอ้อร์กระโดดโลดเต้นขึ้นมา รู้สึกดีใจจนเกินคน กระแอมไปเล็กน้อย ลูบท้ายทอยเบาๆ เอ่ยอธิบายแห้งๆ “ข้าหมายถึงว่าพวกเขาไม่เป็นอะไรก็ดี”
ใช่แล้ว เขาเป็นห่วงตระกูลจิ่ง ไม่ได้ดีใจเพราะต่อไปจะไม่มีคนมาแย่งเสี่ยวซื่ออย่างแน่นอน
“สุสานบรรพบุรุษตระกูลจิ่งอยู่ที่ใดหรือ เดิมข้าตั้งใจว่าจะกลับเมืองหลีพรุ่งนี้ วันนี้ข้าจะไปดูเขาสักหน่อยก็ได้” ฉินหลิวซีเอ่ย
ไม่ใช่เพราะนางเป็นห่วงว่าตระกูลจิ่งซวยหรือไม่ เพราะเจ้าไท่หยางนั่นฝึกฝนศพเดินได้ขึ้นมาได้ ของสิ่งนั้นเป็นภัยร้าย ไม่แน่ว่าปรมาจารย์เฉิงไท่จะเสียเปรียบเมื่อปะทะกับศพเดินได้นี่
เก็บปรมาจารย์ไท่เฉิงเอาไว้ปราบมารด้วยกันในอนาคตถึงจะดี ต่อให้ตัวตายเขาก็คงไม่มีทางปล่อยให้ซื่อหลัวนั้นทำร้ายผู้คนอย่างแน่นอน
เต๋าที่แท้จริง ก็มีนิสัยเช่นนี้มิใช่หรือ
นี่นางกำลังมอบบุญกุศลให้กับเขา
ปรมาจารย์ไท่เฉิง ข้าขอบคุณเจ้าอย่างยิ่ง
สยงเอ้อร์ได้ยินว่านางจะไป ก็ตกใจไม่น้อย “เร็วเพียงนี้เลยหรือ ข้ากับเสี่ยวซื่อยังอยากเชิญท่านมากินอะไรดีๆ สักหน่อย”
“ควรกลับไปแล้ว”
สยงเอ้อร์ทำใจไม่ได้ อยากเอ่ยยื้อ แต่ยื้อเพียงไม่กี่ประโยคก็ไม่เอ่ยอะไรอีก บอกที่ตั้งสุสานของตระกูลจิ่งเขาก็กลับไป
คนอย่างฉินหลิวซีแบบนี้ ไม่ใช่คนที่เขาอยากให้อยู่ก็อยู่ได้
สยงเอ้อร์ออกมาจากโรงประมูลจิ่วเสียน เดินยังไม่ทันได้กี่ก้าว ก็ถูกชายผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำพาเข้าไปในตรอก
“เอ่ยมา เจ้าเด็กปู้ฉิวนั่นเตรียมตัวไปที่ใด”
สยงเอ้อร์เอ่ยบอกอย่างอย่างโง่เขลาโดยไม่รู้ตัว
คนชุดดำยกยิ้ม “ซื่อสัตย์ยิ่งนัก แต่กลิ่นของเขาไม่น่าชื่นชมนัก”
กลิ่นคนดีไปทั้งตัว น่ารังเกียจยิ่งนัก
“ให้ของขวัญเจ้าเล็กๆ น้อยๆ” คนชุดดำยัดบางอย่างใส่มือเขา จากนั้นก็ถีบเขา “ไสหัวไป”
พลั่ก
สยงเอ้อร์ล้มลง พลันได้สติขึ้นมา มองซ้ายมองขวาอย่างงุนงง เขาอยู่ที่ใด เกิดอะไรขึ้น
ในมือมีของแปลกๆ เขามอง กลางเชือกยาวมีผ้าหนึ่งผืน สีแดงสด มีกลิ่น นี่คือเลือดหรือ
“เร็ว คนที่ขโมยผ้าชั้นในรองระดูอยู่ตรงนั้น”
ระ…ระดูหรือ
สยงเอ้อร์ ให้ตายสิ ข้าถูกผีสิง ท่านเจ้าอาวาสน้อยช่วยด้วย