คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 629 สองต่อหนึ่ง ไร้ยางอายเกินไปแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 629 สองต่อหนึ่ง ไร้ยางอายเกินไปแล้ว

ภูเขาโยว

ปรมาจารย์ไท่เฉิงกลืนยาเม็ดบำรุงหัวใจหนึ่งเม็ด หลังจากนั่งสมาธิเดินลมปราณบนก้อนหินเป็นเวลากว่าสองวัน จึงถอนหายใจกรุ่นร้อนออกมาเฮือกใหญ่ ลืมตาขึ้น สีหน้ายังคงเขียวคล้ำ

ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่ลูกศิษย์ใจดำของเจ้าคนชั่วชื่อหยวนเอ่ยเย้ยหยันเขา เขายังไม่เอามาใส่ใจ แต่ไม่คิดว่าใบหน้าแก่ชรานี้จะถูกตบอย่างเจ็บปวด

ไท่หยางผู้นั้นบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งให้ศพเดินได้ตัวน้อยทำร้ายผู้คนหลายคน เวรกรรมเหล่านี้ ตกมาอยู่ที่ตนเองทีละนิด ส่งผลขัดขวางการบำเพ็ญเพียรและถดถอยลงเรื่อยๆ

เดิมคิดว่าตนเองคงพอมีอิทธิพลให้เขากลับตัวกลับใจ ที่แท้ก็เป็นสิ่งที่คิดและรู้สึกไปเอง

เขายังแย่งกระจกฮวงจุ้ยไท่จี๋[1]หยินหยางของตนไปด้วย นั่นเป็นสิ่งสืบทอดต่อมาจากเจ้าอาวาสรุ่นก่อนๆ ต้องส่งต่อให้เจ้าอาวาสเท่านั้น สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะเพื่อกระจกแปดเหลี่ยมชิ้นนี้หรือเพื่อหยุดการกระทำชั่วของอีกฝ่าย เขาก็ไม่อาจปรานีอีกฝ่ายได้อีกแล้ว

ไท่หยางไม่ใช่ศิษย์น้องที่คอยตามก้นต้อยๆ เขาอีกต่อไปแล้ว

เขากลายเป็นเต๋าที่ชั่วร้าย

ชั่วร้าย จำเป็นต้องกำจัด

ปรมาจารย์ไท่เฉิงลุกขึ้นจากก้อนหิน สองมือประสานอาคม ปากร่ายมนต์คาถา หลับตาลงจากนั้นลืมตาขึ้น เส้นเวรกรรมราวกับลอยลงมาจากสวรรค์ เชื่อมเข้ากับปลายนิ้วของเขา

ปรมาจารย์ไท่เฉิงดีดตัวลอยตามเส้นเวรกรรมนั้นไปไม่นานก็หายลับไป

เขาจากไปไม่นาน ท่ามกลางความว่างเปล่าก็ปรากฏวงน้ำขึ้น ฉินหลิวซีกระโดดออกมา ย่นจมูกเล็กน้อย ก่อนจะตามไปทันที

นักพรตไท่หยางมองปรมาจารย์ไท่เฉิงที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ สีหน้าทะมึน เอ่ย “ศิษย์พี่ ท่านกับข้าสำนักเดียวกัน ท่านจะตามล่าข้าไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้จริงหรือ”

ปรมาจารย์ไท่เฉิง “ก่อนมาข้าได้จุดธูปขอโทษต่อท่านอาจารย์และเหล่าอาจารย์ปู่แล้ว ลบชื่อของเจ้าออก เจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์อารามจินหัวของข้าอีกแล้ว”

นักพรตไท่หยางสีหน้าทะมึน “ท่านไม่สนใจมิตรภาพที่ผ่านมาของเราแม้เพียงนิดเลยหรือ”

“เป็นเจ้าเองที่ดื้อรั้น อย่าได้มาโทษข้าไร้ความปรานี”

“ได้ ในเมื่อท่านปรมาจารย์ตัดสิ้นความสัมพันธ์ ไยข้าต้องใส่ใจ” นักพรตไท่หยางถีบปลายเท้าขึ้น ลอยตัวพุ่งเข้าหาเขา

ปลายเท้าปรมาจารย์ไท่เฉิงถีบตัวจากก้อนหินเบาๆ สองมือเปิดออกราวกับปีกใหญ่สยาย ทว่าไม่ได้หันไปหาไท่หยาง ถือยันต์เอาไว้ในมือทั้งสองข้าง สะบัดออกไปยังศพเดินได้ด้านหลังไม่ไกล

“นิ่ง”

นักพรตไท่หยางโมโห “ไร้ยางอาย”

ศพเดินได้ตัวน้อยสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงกระโดดหลบทันที ปรมาจารย์ไท่เฉิงสะบัดยันต์อีกหนึ่งแผ่นออกไป “ห้าสายฟ้าฟาด”

เปรี้ยง

นั่นคือ ยันต์ห้าสายฟ้า

ศพเดินได้ตัวน้อยกรีดร้องเสียงดังเสียดหูขึ้นมา

นักพรตไท่หยางดวงตาแทบถลน ร่อนแผ่นแปดเหลี่ยมออกไปทางปรมาจารย์ไท่เฉิง แผ่นนั้นมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ เขาร่ายมนต์คาถา แผ่นแปดเหลี่ยมนั้นก็กลับมีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าคน ทุบไปยังปรมาจารย์ไท่เฉิงโดยไม่มีความลังเล

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเห็นเช่นนั้น ดวงตามีแววเจ็บปวด ไม่เพียงเพราะศิษย์สำนักเดียวกันสู้กันเอง มากกว่านั้นคือความเสียดาย

ยามไท่หยางร่ายค่ายอาคมนั่นเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังเป็นพรสวรรค์ หากถูกใช้ในทางที่ถูกต้อง พวกเขาร่วมมือกัน ยังต้องกังวลว่าอารามจินหัวจะไม่ดีอีกหรือ

ยังคิดเดินทางชั่วร้ายสายนี้อยู่ได้

ในตอนที่แผ่นแปดเหลี่ยมลอยลงมา ปรมาจารย์ไท่เฉิงถอยเท้าถอยหลังอย่างรวดเร็วด้วยระยะห่างเพียงหนึ่งจั้ง

อีกทั้งแผ่นแปดเหลี่ยมนั้นราวกับมีความรู้สึกลอยตามติดเขามา ขณะเดียวกันวิญญาณชั่วร้ายทั้งห้าก็โผล่ออกมาจากแผ่นแปดเหลี่ยม พุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความดุร้าย กลิ่นอายความดุร้ายนั้นทำให้คนรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่าง

“มารผจญ” ปรมาจารย์ไท่เฉิงหยิบแส้หางม้าของตนออกมา ปากร่ายคาถาอย่างแข็งขัน สะบัดแส้หางม้าไปยังวิญญาณร้ายเหล่านั้น

“อ๊ากกก” ผีร้ายส่งเสียงร้องโหยหววนออกมา

นักพรตไท่หยางเห็นเช่นนั้นกัดฟันด้วยความโกรธ ทว่าเขาไม่มีเวลาแล้ว จึงเขียนยันต์ไว้ที่ร่างของศพเดินได้ ปากร่ายมนต์คาถา คว้าเอาวิญญาณที่กำลังจะหนีจากพื้นที่ตรงนี้มาสองดวงป้อนให้ศพเดินได้

ถูกห้าสายฟ้าฟาด ความดุร้ายของศพเดินได้ปะทุขึ้น กลืนกินดวงวิญญาณนั้นอย่างหิวโหย

นักพรตไท่หยางรู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอก ทว่าเห็นปรมาจารย์ไท่เฉิงกำจัดผีร้ายในแผ่นแปดเหลี่ยมนั้นจนสิ้นซาก และแผ่นแปดเหลี่ยมนั่น…

แย่แล้ว

มองเห็นว่าแส้หางม้าของปรมาจารย์ไท่เฉิงกังลังมุ่งไปยังแผ่นแปดเหลี่ยมนั่น เขารีบเหาะไปข้างหน้า พร้อมเรียกแผ่นแปดเหลี่ยมกลับคืนมา

ในเวลาเดียวกัน ศพเดินได้ตัวน้อยส่งเสียงร้องพร้อมทั้งลอยตัวพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว หนึ่งคนหนึ่งศพปะทะเข้ามาพร้อมกันหน้าหลัง

ศพตัวน้อยรวดเร็ว มาถึงด้านหลังปรมาจารย์ไท่เฉิงแล้วอ้าปากออก ฟันสีดำนั้นแหลมยาวราวกับเข็ม กัดไปที่คอของเขา

ปรมาจารย์ไท่เฉิงโมโห แส้หางม้าฟาดไปด้านหลัง

“อ๊ากกก”

ในขณะที่ปรมาจารย์ไท่เฉิงถูกโจมตีพัวพันแทบดิ้นไม่ได้ พลันมีเสียงตะโกนดังขึ้นมา

“สองรุมหนึ่ง ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ข้ามาช่วยท่าน”

สองคนหนึ่งศพหันมองมาทางเสียงนั้น ร่างในชุดสีน้ำเงินลอยตัวลงตรงหน้า

ไท่หยางมองคนตัวเล็กที่ปิดหน้าปิดตา สีหน้าไม่พอใจ “เจ้าเป็นใคร”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงกลับตากระตุกเมื่อเห็นการแต่งกายของฉินหลิวซีอย่างชัดเจน

ปลอมตัวก็ใส่ใจสักนิดเถิด ปิดหน้าแล้วคิดว่าข้าจะจำเจ้าไม่ได้หรือ

คนนิสัยไม่ดีอย่างเจ้า ต่อให้ปิดมาทั้งตัวข้าก็จำได้

ฉินหลิวซียื่นมือไปดึงศพตัวน้อย เอ่ย “นักพรตเฒ่า เจ้าตัวประหลาดน้อยนี่ข้าจัดการเอง ท่านตีเจ้านักพรตชั่วผู้นั้นให้ตายเถิด วิญญาณของเขาเห็นจะเป็นบ้าไปแล้ว”

ไหนเลยไท่หยางจะยอมให้เด็กที่ไหนมาชี้นิ้วสั่งการกับเขา

“เจ้าเด็กนี่รนหาที่ตาย” เขาโจมตีไปทางฉินหลิวซี

เมื่อฉินหลิวซีดึงศพเดินได้ออกมาแล้ว ศพตัวน้อยก็อ้าปากขึ้นจะกัดนาง

เพียะ

ฝ่ามือของฉินหลิวซีฟาดลงไป

ใบหน้าของศพตัวน้อยถูกตบจนบิดไปอีกฝั่ง มึนงงขึ้นมา

นักพรตไท่หยางเห็นเช่นนั้นยิ่งโมโหขึ้นไปอีก ในใจของเขากลับหวาดกลัวไม่น้อย เพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น

มือเขาวาดเข้ามาใกล้ ฉินหลิวซีก็ไม่ได้โง่ยืนอยู่ที่เดิมให้เขาตี อีกฝ่ายคว้าศพตัวน้อยที่เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้สติแล้วกระโดดไปอีกฝั่ง

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเข้าไปรับ ตำหนิพลางเอ่ย “ไท่หยาง เจ้าอย่าได้หลงผิดอีกเลย”

“ไร้สาระ” ไท่หยางร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายจากฉินหลิวซี ฉังเซิงจะตกอยู่ในมือของนางไม่ได้

เขาสะบัดแผ่นแปดเหลี่ยมที่เรียกกลับคืนมาไปทางปรมาจารย์ไท่เฉิงราวกับคนบ้า

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเข้าไปต่อสู้อีกครั้ง

และฝั่งฉินหลิวซี ศพเดินได้ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นก็พุ่งเข้าหานาง เล็บมือและฟันยาวขึ้น ตวัดไปทางนาง

เล็บมือนั้นเป็นสีดำ หากถูกข่วน พลังความแค้นต้องเข้าสู่ร่างกายกระจายตัวไปทั่วทุกทิศอย่างแน่นอน

ในตอนที่เล็บของศพเดินได้ตัวน้อยกำลังจะถึงตัวฉินหลิวซี นางดึงกริชที่มีลักษณะคล้ายดาบคล้ายกระบี่ออกมาจากเอวด้านหลัง

“ดูว่ากรงเล็บของเจ้าคม หรือกริชกิเลนของข้าคมกว่ากัน ใช้เจ้าเจิมกริชข้าก็แล้วกัน” ในขณะที่เอ่ยฉินหลิวซีก็ชักกริชออกมาอย่างรวดเร็ว ตวัดฟันเข้าไป

ฉึบฉึบ

กรงเล็บทั้งสองข้างร่วงลงกับพื้น

ศพตัวน้อยกรีดร้องโหยหวน ยกสองมือขึ้นมาก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว เพราะถูกมีดรูปร่างแปลกประหลาดนั้นตวัดเข้าใส่ มือของเขายังคงค่อยๆ สลายลอยขึ้นข้างบน ราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา ราวกับวิญญาณกำลังถูกเผาไหม้

“ฉังเซิง” ไท่หยางมองสภาพของศพตัวน้อย หัวใจกระตุก ราวกับมีมือไร้รูปบีบหัวใจของเขาเอาไว้แน่น เจ็บปวดจนยากจะหายใจ

“ดูเหมือนของข้าจะคมกว่าสักหน่อย” ฉินหลิวซีจุ๊ปาก เคลื่อนไหวรวดเร็ว พุ่งตัวแทงเข้าไป “ฉังเซิงคำนี้ เจ้าไม่คู่ควร”

พรึบ

[1] ไท่จี๋ ความจริงสูงสุดของจักรวาล ไท่จี๋ทำให้เกิดหยินหยาง หยินหยางทำให้เกิดฤดูกาลทั้งสี่ ฤดูกาลทั้งสี่ทำให้เกิดสภาวะทั้งแปด คือ ฟ้า ดิน น้ำ ลม ไฟ ฟ้าร้อง คลองบึง และภูเขา เมื่อเกิดปฏิสัมพันธ์กันก็เกิดเป็นสรรพสิ่งในจักรวาล

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท