คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 630 เจ้าโจรน้อยไม่หมดตัวไม่ยอมไป

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 630 เจ้าโจรน้อยไม่หมดตัวไม่ยอมไป

ฉินหลิวซีออกแรงยกกริชกิเลนขึ้นปักเข้าไปที่อกของศพเดินได้พร้อมหมุนคว้าน ความแหลมคมของกริชราวกับไฟแผดเผาหัวใจของเขาให้ทุกข์ทรมาน

นางดึงกริชออกมา เลือดสีดำพร้อมกลิ่นเหม็นฉุนจมูกหยดลงมาตามปลายแหลมของกริช

“ไม่!” นักพรตไท่หยางร้องตะโกนขึ้นมา กระโดดลอยตัวเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ปรมาจารย์ไท่เฉิงก็ตามติดมาทางด้านหลังของเขาและโจมตีใส่จากด้านหลัง

ในเวลาเดียวกัน

ครื้น

นักพรตไท่หยางพ่นเลือดออกมาจากปากทันใด ความรู้สึกเจ็บปวดหนึบชาจากการฉีกขาดเกิดขึ้นที่หัวใจ เขาทรุดลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นมองศพเดินได้ตัวน้อยที่กำลังถูกเผาไหม้จากภายในสู่ภายนอก เลือดไหลออกจากรูช่องทุกส่วนในร่างกาย ส่วนร่างกายของเขาเองก็มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

เส้นผมที่เดิมเป็นสีขาวยามนี้ขาวไปทั้งหมดจนสะท้อนแสง กล้ามเนื้อและความชุ่มชื้นบนใบหน้าหดตัวเหี่ยวย่นลงอย่างรวดเร็ว เขาแก่ชราลงอย่างรวดเร็วจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า กล้ามเนื้อและน้ำในร่างกายหดตัวฉับพลันกลายเป็นชายชราผอมแห้ง

และศพเดินได้ตัวน้อยที่กลายเป็นคนไฟลุกก็กำลังร้องโหยหวนน่าเศร้าอยู่ในกองเพลิง น้ำเสียงดังเสียดหูค่อยๆ ผ่อนลงไป

พรึบ

ศพเดินได้ถูกเผาไหม้จนล้มลงไปกับพื้น ดวงวิญญาณความโกรธแค้นที่เขาดูดกลืนเข้าไปล่องลอยออกมาท่ามกลางเปลวเพลิง ก่อนจะสลายหายไปในอากาศ

ส่วนนักพรตไท่หยางก็เหลือเพียงลมหายใจรวยริน

ปรมาจารย์ไท่เฉิงก้าวเดินเข้าไปหาด้วยความโกรธ เอ่ยตำหนิ “เจ้าฝึกจนทำให้ของสิ่งนั้นกลายเป็นอาวุธวิเศษที่ผูกติดกับชีวิตของเจ้า เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”

นักพรตไท่หยางไม่เอ่ยปาก มองกองไฟที่ไม่มีเสียงอีกต่อไปแล้ว ก่อนจะหลับตาลง

ฉินหลิวซีมองกริชกิเลนที่หล่อหลอมขึ้นมาด้วยไฟนรกอย่างพึงพอใจ มองมันหลังจากลับคมแล้วยิ่งดูมีจิตวิญญาณและอานุภาพมากขึ้น ตัวของกริชนี้ปกคลุมไปด้วยเกล็ดของกิเลน กริชไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็มีความคล้ายกระบี่

“เรียกดาบดูเหมือนจะไม่เหมาะนัก เรียกว่ากริชกิเลนดีแล้ว” ฉินหลิวซียกมือขึ้นมาสัมผัส ใช้วิชาล้างชำระทำความสะอาดตัวกริชที่ยังเปื้อนเลือดของศพเดินได้ตัวน้อย ก่อนจะเหลือบมองศพเดินได้ที่ถูกเผาไหม้กำลังจะหมด มีความอ่อนโยนปรากฏขึ้นมาในแววตา

จะมีชีวิตเช่นนี้ไปทำไมกันเล่า เพียงความเห็นแก่ตัวของคนอื่นเท่านั้น

ปรมาจารย์ไท่เฉิงเองก็มองมาทางศพเดินได้ จากนั้นมองฉินหลิวซี แววตาสับสน

เดิมยังเป็นการต่อสู้อันดุเดือด แต่หลังจากนางมาแล้ว ไยจึงต่างออกไปไม่เหมือนเดิมแล้วเล่า

ตาเฒ่าชั่วร้ายอย่างชื่อหยวนไปหาของล้ำค่าเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ยังมีกริชเล่มนั้นที่ดูไม่คล้ายดาบไม่คล้ายกระบี่นั่น มีพลังร้ายกาจเพียงนี้แทงคนแล้วยังแผดเผาด้วยหรือ

ดวงตาของปรมาจารย์ไท่เฉิงมีความสงสัยอย่างแรงกล้า เขาไม่แม้แต่สนใจนักพรตไท่หยางที่อยู่แทบเท้าที่ใกล้จะกลายเป็นคนพิการไปแล้ว และตอนนี้กำลังลอบร่ายมนต์คาถา ขยับเคลื่อนย้ายพลังหยินที่อยู่รอบข้าง

“ระวัง” ฉินหลิวซีสัมผัสได้ พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วดึงปรมาจารย์ไท่เฉิงเอาไว้

และในตอนนั้นเอง นักพรตไท่หยางอาศัยพลังทั้งหมดพาตนเองลุกขึ้นและพุ่งเข้ามาหาทั้งสองคนหมายจะระเบิดตนเอง “ตายไปด้วยกัน”

ครื้น

ฉินหลิวซีร่ายคาถาสร้างเกาะป้องกันให้ตนเองอย่างรวดเร็ว กั้นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นเอาไว้ได้ในที่สุด

ปรมาจารย์ไท่เฉิงโกรธคนที่ระเบิดตนเองจนกระอักเลือด เขาพ่นเลือดออกมา ก่อนจะทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น ละอองเลือดโปรยปรายอยู่ในอากาศเปื้อนไปทั่วทั้งตัวของเขา

เสียงสายลมโหยหวนพัดผ่าน

ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองตำแหน่งที่นักพรตไท่หยางระเบิดตัวเองนิ่ง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง

ไยจึงเป็นเช่นนี้ ไยต้องทำเช่นนี้

“อารามจินหัวของพวกท่านอบรมสั่งสอนโหดร้ายยิ่งนัก สู้ไม่ได้ ยังระเบิดตนเองดึงสหายร่วมสำนักให้ตายไปด้วย” ฉินหลิวซีย่อตัวลงข้างปรมาจารย์ไท่เฉิง บ่นพึมพำพร้อมส่ายศีรษะ

ปรมาจารย์ไท่เฉิงนิ่งชะงัก

ใช่แล้ว การกระทำเมื่อครู่ของไท่หยาง เห็นได้ชัดว่าต้องการลากเขาให้ตายไปด้วยกัน

ความเสียใจของปรมาจารย์ไท่เฉิงหายไปทันใด ลุกขึ้นมา เอ่ยกับฉินหลิวซี “สหายนักพรตน้อยไยจึงมาอยู่ที่นี่”

“ข้าบอกว่าข้าเดินทางผ่านมาท่านจะเชื่อหรือไม่” ฉินหลิวซีคลี่ยิ้ม

ปรมาจารย์ไท่เฉิงยิ้มเย็น “เจ้าว่าข้าเชื่อหรือไม่”

ฉินหลิวซียักไหล่ เชื่อหรือไม่อย่างไรนางก็ไม่สนใจ มองศพเดินได้ตัวน้อยที่เผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว โบกมือพลางเอ่ย “ไม่เชื่อก็ตามใจ มีธุระ ต้องขอตัวก่อนแล้ว”

นางก้าวเท้ากำลังจะเดินไป

ปรมาจารย์ไท่เฉิงหน้าตึง เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนไป ควรคืนกระจกฮวงจุ้ยให้ข้าก่อนหรือไม่”

ฉินหลิวซีหันหน้ากลับไป เอ่ยถามด้วยใบหน้าใสซื่อ “กระจกฮวงจุ้ยอะไรหรือ”

“กระจกฮวงจุ้ยไท่จี๋หยินหยาง ยังคงเป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบต่อมารุ่นสู่รุ่นของอารามจินหัวของเรา เจ้าเอาไปตั้งแต่เมื่อใด” ปรมาจารย์ไท่เฉิงร่ายคาถา กระจกแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยลอยออกมาจากอ้อมอกของฉินหลิวซี ตกมาอยู่ในมือเขา

เยี่ยม จับได้คาหนังคาเขา

ฉินหลิวซีร้องเสียงดัง “นั่นข้าเก็บได้นะ”

“ของสิ่งนี้ถูกเขาเอาไป เดิมข้าก็จะเอากลับมา เจ้าหัวขโมย คล่องแคล่วยิ่งนัก หยิบของกลางอากาศ เจ้าฝึกตั้งแต่เข้ามาสู่เต๋าใช่หรือไม่” ปรมาจารย์ไท่เฉิงกัดฟันเอ่ย

ฉินหลิวซีเบิกตาโต “อย่าเอ่ยเหลวไหลนะ ดวงตาข้างไหนท่านมองเห็นเล่า ข้าเก็บได้ จากตรงนั้น”

นางสุ่มชี้ไปชี้นิ้วไปยังตำแหน่งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ “ไม่แน่อาจไม่ใช่ของพวกท่าน ของสำคัญเพียงนี้ นักพรตชั่วศิษย์น้องของท่านต้องเอาไว้ติดตัว เตรียมลอบโจมตี จะโยนทิ้งเรี่ยราดได้อย่างไร”

เจ้ามันคนชั่วน้อย

ปรมาจารย์ไท่เฉิงคร้านจะต่อเถียงกับนาง เอ่ย “เจ้าไปเถิด”

เขายังอยากเสียใจอีกสักหน่อย

ฉินหลิวซีไม่ขยับ เอ่ย “ท่านต้องให้อะไรดีๆ แก่ข้าสักหน่อยหรือไม่”

ปรมาจารย์ไท่เฉิงชะงัก “อะไรดีๆ หรือ”

“ข้าช่วยท่านจับสองสิ่งชั่วร้ายนี่สลายไปแล้ว แม้แต่คำขอบคุณท่านก็ไม่เอ่ย ข้าคิดว่าท่านกำลังเสียใจกับศิษย์น้องของท่าน ข้าไม่โทษท่าน แต่ควรให้เงินค่าเหนื่อยสักนิดหรือไม่ ต่อสู้มันเหนื่อยนะ” ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว “เป็นถึงปรมาจารย์ คงไม่เอาเปรียบผู้น้อยอย่างข้ากระมัง”

เส้นเลือดบนขมับปรมาจารย์ไท่เฉิงกระตุกขึ้นมาทันใด “โจรเฒ่าชื่อหยวนนั่นสอนเจ้าอย่างไร เป็นนักพรตเต๋าไยจึงทำตัวอย่างกับคนเสเพลไปได้”

“ท่านไม่ต้องยุ่ง อย่างไรค่าเหนื่อยนี้ท่านก็ต้องจ่าย” ฉินหลิวซีมองกระจกฮวงจุ้ยในมือของเขา เอ่ย “ดังนั้นท่านเรียกข้าเอาไว้ทำไมหรือ ข้าเก็บกระจกฮวงจุ้ยนี่ได้ก็พึงพอใจแล้ว ก็คงไม่เอ่ยปากแล้ว”

เจ้ายังพอใจอีกหรือ ไยเจ้าจึงไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยเล่า

ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองนางด้วยความระแวง ยัดกระจกฮวงจุ้ยเข้าไปในเสื้อ หยิบยันต์สองแผ่นออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้ “เอาไปๆ รีบไป”

ฉินหลิวซีรับมาดู ขมวดคิ้วเอ่ย “ยันต์ห้าสายฟ้าเพียงสองแผ่น จะคู่ควรกับฐานะปรมาจารย์ท่านได้อย่างไร ต่ำต้อยเกินไปแล้ว”

“เพียงอะไรกัน วาดยันต์ห้าสายฟ้าหนึ่งแผ่นเจ้าว่ามันง่ายหรือ” เป็นเขา ยังต้องจุดธูปคารวะเทพเจ้า หนึ่งเดือนกว่าจะวาดออกมาได้หนึ่งแผ่น และทั้งที่เจ้าก็เอ่ยปากดูถูก ไยเจ้าจึงยังยัดมันใส่กระเป๋า เก่งนักก็เอาคืนมาสิ

ฉินหลิวซี “ข้ามองว่ามันง่ายยิ่งนัก”

ปรมาจารย์ไท่เฉิง “…”

อวดโอ้คุยโวไม่หยุด เจ้าเก่งเรื่องโอ้อวดยิ่งแล้ว

เขาคลำหาเครื่องรางหยกหนึ่งชิ้นยัดใส่มือนาง “รีบไป”

“สิ่งนี้ข้าก็มีมากมาย” ฉินหลิวซีมองแส้หางม้าที่เอวของเขา “ข้าว่าเจ้านี่ดีมาก เพียงสะบัด แสงสีทองแวววาว เหมาะสมกับนักพรตน้อยอย่างเราๆ”

“เจ้าฝันไปเถิด” ปรมาจารย์ไท่เฉิงแทบระเบิดออกมา เจ้าเด็กเสเพลนี้ไม่รู้จักพอหรืออย่างไร

เขากัดฟัน เขาควักกระดิ่งจินกังสีดำออกมาหนึ่งชิ้น “ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ปกติหรือสะกดวิญญาณก็ดีทั้งนั้น บทสวดคือ…จะเอาไม่เอา ไม่เอาจะเก็บแล้ว”

“ขอบคุณมาก” ฉินหลิวซีรีบแย่งกลับมา “ท่านเจ้าอาวาสช่างใจกว้างนัก ขอเทียนจุนอวยพรมายังท่าน ข้าน้อยขอตัวแล้ว”

ปรมาจารย์ไท่เฉิง เจ้าโจรตัวน้อยไม่เอาจนหมดตัวก็คงไม่ยอมไป รีบไปไกลๆ เถิด

ฉินหลิวซีถือกระดิ่งจินกังเดินห่างออกมากว่าสิบลี้ จึงหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองยังความว่างเปล่า “ดูละครมาตั้งนาน ควรออกมาได้แล้วกระมัง”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท