ตอนที่ 637 สายสัมพันธ์ทางสายเลือด
ท้ายที่สุดฉินหมิงเยี่ยนก็ไม่อาจต้านทานการหลอกล่อนี้ได้ ซื้อหนังสือที่ฉินหลิวซีเรียกว่าคัมภีร์เคล็ดลับที่ไม่ถ่ายทอดแก่ผู้ใดนั้นมา แต่ไม่ได้จ่ายหนึ่งตำลึง เพียงให้เงินสิบกว่าแผ่นทองแดงที่ได้มาจากการช่วยคนเขียนจดหมายในวันนี้ให้ไป
เมื่อเผชิญหน้ากับฉินหลิวซี ฉินหมิงเยี่ยนรู้สึกขาดความมั่นใจเล็กน้อย ใบหูและลำคอเปลี่ยนเป็นสีแดง เอ่ยว่า “ข้ามีเพียงเท่านี้”
“ทั้งหมดนี้เจ้าหามาเองหรือ ไม่ถูกแย่งไปหรือ” ฉินหลิวซีขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ฉินหมิงเยี่ยนพยักหน้า น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “หากโชคดีก็ไม่ถูกแย่งไป”
ฉินหลิวซีหันหน้ากลับมา เด็กอายุยังน้อยอยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ใช้เศษผ้ามัดมวยผมเอาไว้ แต่งตัวเหมือนคนทั่วไปในเมืองนี้ ใบหน้าของเขาชิงเอาจุดเด่นของบิดามารดาไปจนหมด ไม่ได้ละเอียดอ่อนมากนัก ทว่างดงามเป็นที่สุด ย่อมมีความแตกต่างจากผู้คนในท้องที่
เพียงแต่เด็กหนุ่มที่เคยเป็นคุณชายสูงศักดิ์ต้องโทษเนรเทศ ได้เห็นความโหดร้ายของโลกใบนี้ ใบหน้าของเขาจึงมีความมืดมนอยู่บ้าง
“ตั้งใจเรียนเคล็ดวิชานี้ให้ดี เมื่อฝึกได้แล้วก็ปกป้องของของตนเองได้แล้ว”
ฉินหมิงเยี่ยนกลับเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา เอ่ย “ท่านให้ความสำคัญกับนักโทษเนรเทศเกินไปแล้ว ในเมืองอู่ ฐานะที่ต่ำต้อยที่สุดก็คือนักโทษเนรเทศ โดยเฉพาะคนที่มีรอยสักอักษรเอาไว้ ต่อให้ร่างกายแข็งแกร่ง ไหนเลยจะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ได้”
“ทุกที่ล้วนมีอันธพาล อันธพาลทุกคนมีกลุ่มก้อนมีพรรคพวก เจ้าบอกว่านักโทษเนรเทศต่ำต้อย ข้าเชื่อว่านักโทษเองก็มีพรรคพวกของตนเอง มีหัวโจกกระมัง”
ฉินหมิงเยี่ยนชะงักไป เรื่องนี้ เหมือนจะมี
“คนที่จะเป็นหัวโจกใช่ว่าจะอาศัยเพียงปากก็เป็นได้ ต้องมีกำลังและรู้วิธีการต่อสู้ เอ่ยไปเอ่ยมาอย่างไรก็คือต้องมีความสามารถ”
ฉินหมิงเยี่ยนครุ่นคิด
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา เอ่ย “เห็นแก่ที่เจ้าซื้อเคล็ดลับวิชาของข้า เจ้าจะเขียนจดหมาย พับเป็นนกกระเรียนปล่อยโบยบินออกไป ให้มารดาเจ้าอ่านหรือไม่”
ฉินหมิงเยี่ยนได้สติขึ้นมา กลอกตาให้อีกฝ่าย “หากข้าเขียนจดหมายให้นาง แน่นอนว่าต้องส่งผ่านคนนำส่งจดหมาย พับเป็นนกกระเรียนบินไป ท่านคิดว่าข้าโง่หรือ”
“ไม่แน่นางอาจได้รับก็ได้”
เชื่อกับผีน่ะสิ
“เจ้ารีบเขียน ข้าช่วยเจ้าพับ ถือว่าเป็นการอวยพร นางจะได้รับอย่างแน่นอน” ฉินหลิวซีเอ่ย
ฉินหมิงเยี่ยนหัวเราะในลำคอ เขามองอีกฝ่ายเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด แล้วหยิบกระดาษพู่กันขึ้นมา เขียนจดหมายด้วยคำเพียงไม่กี่คำ
ฉินหลิวซีไม่ได้มองว่าเขาเขียนอะไร รับกระดาษจากเขามาพลิกพับมันรวดเร็วด้วยนิ้วมือ ไม่นานก็กลายเป็นนกกระเรียนกระดาษ เสกคาถาเล็กน้อย นกกระเรียนกระดาษก็บินขึ้นไป
ฉินหมิงเยี่ยนตกตะลึงเล็กน้อย บินได้จริงๆ หรือ
สายตาที่มองฉินหลิวซีมีความระมัดระวัง เอ่ยถาม “ท่านเป็นใครกันแน่ เมื่อครู่ท่านทำอะไร นกกระเรียนกระดาษนั่นบินได้ได้อย่างไร”
ฉินหลิวซียิ้ม เอ่ย “เพียงคาถาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
“คาถาหรือ หรือว่าท่านเป็นนักพรตเต๋าหรือผู้วิเศษอะไรแบบนั้น” ฉินหมิงเยี่ยนมองด้วยความสงสัย
ฉินหลิวซีให้ความรู้สึกคุ้นเคยและใกล้ชิดโดยไม่อาจอธิบายได้ อีกทั้งใบหน้านั้นของนางราวกับเคยเจอที่ใดมาก่อน
ฉินหมิงเยี่ยนจ้องใบหน้าของนาง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกแปลก คนผู้นี้ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนท่านพ่อ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
พี่สาวคนโตของเขาไปอยู่ในอารามเต๋าตั้งแต่เด็ก คนผู้นี้ก็เป็นนักพรตเต๋า ทั้งสองคนเกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือไม่
ฉินหมิงเยี่ยนมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคาดเดาอยู่ในใจทว่าไม่อาจมั่นใจได้ อย่างไรคนตรงหน้าก็เหมือนบุรุษผู้หนึ่ง ไหนเลยจะเป็นพี่สาวคนโตของเขา
เขากักเก็บความคิดยุ่งเหยิงนั้นเอาไว้ เตือนตนเองว่าคิดมากเกินไปแล้ว
ฉินหลิวซียิ้ม ก็ยังไม่ได้โง่เขลาทั้งหมด และยังตื่นตัวอยู่บ้าง
“ข้ามีพี่สาวคนหนึ่งอยู่ในอารามเต๋าเช่นกัน” ฉินหมิงเยี่ยนเอ่ยประโยคนี้พร้อมสังเกตท่าทีอีกฝ่าย
ฉินหลิวซีใบหน้าไร้ความรู้สึก ส่งเสียง อ้อ “สตรีคนหนึ่ง ไยต้องเข้าไปฝึกอยู่ในอารามเต๋าเล่า พวกเจ้าปฏิบัติโหดร้ายกับนางหรือ”
ฉินหมิงเยี่ยนโกรธ “ตระกูลเรามิได้เป็นเช่นนั้น นางเป็นคนในตระกูล ทั้งยังเป็นพี่สาวเชื้อสายหลักด้วย จะถูกปฏิบัติโหดร้ายได้อย่างไร”
“แต่ความจริงนางต้องไปอยู่อย่างยากลำบากในอาราม พวกเจ้ากลับมีชีวิตสุขสบายสวมผ้าแพรไหม ตำแหน่งพี่สาวเชื้อสายหลักของบ้านก็เท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเย็น
ฉินหมิงเยี่ยนสะอึก พูดไม่ออกเล็กน้อย เนิ่นนานจึงเอ่ย “ท่านเอ่ยก็ถูก พวกเราเอาเปรียบนางแล้ว” ชะงักไปชั่วครู่จึงเอ่ย “นางอยู่ที่อารามเต๋าก็ดี อย่างน้อยตอนตระกูลเราถูกกวาดล้างนางก็ไม่อยู่ จะได้ไม่ต้องได้รับความหวาดกลัว”
เอ่ยไปเรื่อยๆ พลันรู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ไยเขาต้องมาเอ่ยถึงครอบครัวกับคนแปลกหน้าคนหนึ่งเช่นนี้
ฉินหมิงเยี่ยนระแวงขึ้นมา ลุกขึ้นยืน ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก คนผู้นี้ล่อลวงถามในตอนที่เขาไม่ทันระวังตัว ไม่รู้เพื่อสิ่งใดกันแน่
เห็นปฏิกิริยาของเขาฉินหลิวซีจึงยกยิ้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นมา “การค้าขายสำเร็จแล้ว พวกเรามีโอกาสค่อยเจอกันอีกเถิด”
นางเดินเข้าไปในตรอกในซอยนั้น ฉินหมิงเยี่ยนเรียกตามนางอยู่ด้านหลัง เอ่ยถาม “ท่านชื่อเฉิงเย่าจินจริงหรือ” ไม่ใช่คนของมารดาส่งมาจริงหรือ
ฉินหลิวซีโบกมือ “เจ้าลองทายดูสิ”
ฉินหมิงเยี่ยนหน้าตึง รอจนอีกฝ่ายไปแล้วก็หยิบเคล็ดวิชาลับนั้นขึ้นมาพลิกเปิด ด้านในเป็นกระบวนท่าหมัดมวย รูปภาพพร้อมข้อความ ทว่าภาพวาดกลับเป็นภาพที่วาดอย่างไม่ใส่ใจเป็นที่สุด บางภาพวาดท่าของแขนขาง่ายๆ เท่านั้น
นี่คือเคล็ดลับวิชาหรือ
โกหก
ฉินหมิงเยี่ยนโยนหนังสือลงบนพื้นด้วยความโกรธ รู้สึกเสียดายเงินทองแดงที่แลกมาด้วยการเขียนจดหมายที่เททิ้งน้ำไป
เมื่อก่อนนั้นเขามักจะมีกระเป๋าใบเล็กบรรจุเงินจำนวนหนึ่ง ไหนเลยจะสนใจเงินเพียงไม่กี่แผ่นทองแดงนั่น
แต่หลังจากถูกเนรเทศ เขาก็ไม่เหลืออะไรเลย
เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษกลายเป็นคนบ้าได้ ครอบครัวของเขามีประสบการณ์เรื่องนี้เป็นอย่างดี
และการใช้ชีวิตเป็นนักโทษเนรเทศยิ่งน่าสังเวชอย่างไม่อาจเอ่ยได้ พวกเราทุกคนกัดฟันหาเงินเพื่อให้ชีวิตสุขสบายขึ้นมาบ้าง เขาเองก็ไม่แตกต่าง เขาอายุน้อยเกินที่จะทำงานหนัก เพียงเขียนจดหมายแทนคน จดหมายหนึ่งฉบับสามสี่แผ่นทองแดง หากเจอกับอันธพาลยังอาจโดนแย่งไป ดังนั้นจึงลำบากอย่างยิ่ง
เงินซื้อหนังสือนี่สิบกว่าแผ่นทองแดงสามารถซื้อหมั่นโถวพอกินได้ทั้งครอบครัว
ฉินหมิงเยี่ยนยังกระทืบหนังสือไปอีกสองครั้งพลางครุ่นคิด สุดท้ายก็เก็บมันขึ้นมา พลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย หน้าสุดท้ายมีกระบวนท่าให้ท่อง
เขาอ่านกระบวนท่านั้น เก็บหนังสือไว้ที่หน้าอกแล้วเดินจากไป
ฉินหมิงเยี่ยนกลับมาถึงบ้าน ได้ยินเสียงไอโขลกๆ จึงรีบเดินเข้าไปด้านใน
“ท่านปู่ ไยจึงไออีกแล้วขอรับ” เขาเข้าไปในบ้าน หยิบกาน้ำชาขึ้นมา เทใส่ถ้วยแล้วยื่นไปให้
“ไม่เป็นไร” ฉินหยวนซานเงยหน้ามองเขา “ไยจึงกลับมาเร็วเพียงนี้…เจ้าไปต่อยตีกับคนมาหรือ”
ฉินหมิงเยี่ยนชะงัก เอ่ย “เล็กน้อยเท่านั้นขอรับ ไม่มีอะไร”
“จริงหรือ ไม่มีบาดแผลใต้เสื้อผ้าที่ใดใช่หรือไม่” ฉินหยวนซานร้อนใจ เมื่อร้อนใจยิ่งไอหนักมากขึ้น
ฉินหมิงเยี่ยนรีบลูบหลังให้เขา เอ่ย “ท่านไม่ต้องร้อนใจ หลานไม่เป็นไรขอรับ ถลอกเล็กน้อยเท่านั้น ยังมีคนเดินผ่านมาช่วยเอาไว้ด้วย”
“อ้อ ใครกัน”
“เฉิงเย่าจินขอรับ”
ฉินหยวนซาน “?”
เจ้าเด็กคนนี้ถูกต่อยจนเป็นบ้าไปแล้วหรือ
ฉินหลิวซีที่ปิดบังตนเองด้วยเครื่องรางได้ยินวาจานี้เกือบจะหลุดจากคาถา เจ้าเด็กคนนี้บ้าไปแล้วหรือไม่